CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown



    +:+:+ ยังอยู่ข้างกันเสมอและเคียงกันตลอดไป+:+:+

    (๑)
    หญิงสาวในวัยปลายยี่สิบ…อืม ไม่ๆ ไม่ใช่สิ… ควรเริ่มจาก…รองเท้าส้นสูงกระทบบันไดไม้ที่ขัดจนวาววับส่งเสียงดังกึกๆ ในขณะที่เจ้าของข้อเท้าเล็กๆ นั่นรีบร้อนถลาลงมาตามบันไดวนกลางบ้าน

    เธอรู้ตัวว่าสายมากแล้ว… มีรอยกังวลฉายชัดบนใบหน้าคมสวย

    เจ้าของร่างสูงระหงแวะตรวจความเรียบร้อยอีกทีที่กระจกในห้องนั่งเล่นด้านหน้า วันนี้เธอเกล้าผมยาวดำขลับเป็นมวยที่ท้ายทอยทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่เกินกว่าอายุจริง ผมยังเป็นทรงดูเรียบร้อยดี หน้าตาก็แต่งแต้มแต่พองามและเหมาะสม หญิงสาวยิ้มพึงพอใจกับเงาที่เห็นตรงหน้าในกระจก

    แต่แล้วจู่ๆ คิ้วที่กันไว้อย่างดีนั่นก็ขมวดเข้าหากัน

    ลืมอะไรนะ…ฉันลืมอะไรไป
    อะไรบางอย่าง… อืม…ลืมอะไร อะไรนะ อะไร

    อิงอรพยายามลืมตาตื่นจากฝันเมื่อครู่ คนบนเตียงสัมผัสได้ถึงผ้าปูที่นอนลินินเนื้อหยาบ เธอรู้ทันทีว่านี้ไม่ใช่ห้องนอนในบ้านของเธอ นี้ไม่ใช่เตียงที่เธอคุ้นเคย… อิงอรกระพริบตาปริบๆ สองสามที ในที่สุดก็เอาชนะความง่วงงุนนั้นได้ กลิ่นเดียวที่สัมผัสได้คือกลิ่นหอมสะอาดผสมน้ำหอมอ่อนๆ อย่างที่ใช้ในโรงแรมทั่วไป กลิ่นซึ่งฝังแน่นอยู่ในหมอนนุ่มๆ ที่เธอใช้หนุน

    ไม่ใช่กลิ่นกายเขา ไม่ใช่กลิ่นกายเธอ

    หญิงสาวปรือตามองไปรอบๆ ห้อง ความที่เพิ่งตื่นทำให้เธอเรียบเรียงความคิดได้ไม่ดีนัก แต่ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่เธอก็จำเรื่องราวต่างๆ ได้- - - สมองเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง  

    พอเห็นห้องเต็มตา ห้องที่ตกแต่งสไตล์ฝรั่งปนศิลปะล้านนาอย่างประดักประเดิกแบบนี้ อิงอรก็จำได้ทันทีว่านี้ต้องเป็นหนึ่งในรีสอร์ทที่ไหนซักแห่ง ส่วนเสี้ยวเล็กๆ ของธุรกิจโรงแรมขนาดใหญ่โตของครอบครัวสามีของเธอ - - ตฤณ เขาพาเธอขึ้นเชียงใหม่มาพักผ่อนที่นี้บ่อยๆ ในช่วงวันหยุด

    ตฤณรักที่นี้ รักอากาศบริสุทธิ์สดชื่นกลางหุบเขามากกว่าลมทะเล

    อิงอรพลิกตัวจากที่นอนตะแคงหันหน้าไปทางประตูระเบียงห้องนอนที่เผยให้เห็นวิวเขาเขียวขจี มาเป็นทางฝั่งประตูห้องนอนอย่างขี้เกียจ  รู้สึกเนื้อตัวมันล้าไปหมด

    ประตูถูกเปิดให้แย้มอ้าอยู่โดยจงใจ เพราะเธอเห็นเจ้าตุ๊กตาไม้สลักถูกนำมาขัดเอาไว้ไม่ให้มันงับเข้าหากัน…สงสัยจะเป็นฝีมือตฤณ เธอคิด ว่าแต่เขาอยู่ที่ไหนนะ ข้างล่างหรือเปล่า แล้วนี้มันกี่โมงแล้ว

    แทนที่อิงอรจะลุกไปตามหาคนที่คิดถึงหรือมองนาฬิกาเพื่อดูว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว อิงอรกลับเอื้อมมือไปหยิบสมุดโน้ตคู่ตัวจากโต๊ะหัวเตียงที่ทำจนติดเป็นนิสัย… เธอเป็นนักเขียน แล้วเธอก็คิดว่าเรื่องที่เธอฝันถึงเมื่อครู่ น่าจะมีประโยชน์กับเธอในภายหน้า…ยังไงเธอก็ควรจะจดมันไว้

    ไอเดียดีๆ ก็เหมือน ‘ขโมย’ มันมาตอนที่คุณไม่ทันได้ตั้งตัว และจากไปอย่างเงียบเชียบ… ดังนั้นถึงคุณเห็นแค่หลังมันไวๆ ก็ต้องรีบจดจำบันทึกรายละเอียดทุกอย่างเอาไว้ ใครจะไปรู้ว่ามันอาจจะได้ใช้ภายภาคหน้าก็ได้ ถ้ามันมาอีกที คุณจะได้รายละเอียดมากขึ้น มันอาจจะมีค่า มันอาจจะช่วยให้คุณปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทั้งหมด แล้วตามจับตัวได้ถูกคน

    ระหว่างจดยิกๆ ลงบนกระดาษ เรียงเรียบเรื่องราวและภาพฝันเพื่อเรียงร้อยถอดความเป็นตัวอักษร ช่วงเวลาแบบนี้อิงอรมักจะดำดิ่งลงในโลกของตัวหนังสือจนลืมสนใจสิ่งรอบตัว ดังนั้นพอรับรู้ได้ว่ามีแรงกดบนเตียงที่กำลังนั่งอยู่ เธอก็สะดุ้งโหยง

    อิงอรหันขวับ
    อ้อ ลูกเอมนั่นเอง…

    แม่หนูอิ่มเอม ลูกสาวคนเดียวของเธอ ใบหน้าที่ประดุจนางฟ้าตัวน้อยๆ ยิ้มแป้นในขณะที่คลานเข้ามาหาแม่อย่างเงียบเชียบ ไรผมหยักศกนิดๆ ชุ่มชื้นไปด้วยเหงื่อจนติดลีบไปกับหน้าผาก นี่คงไปวิ่งเล่นมาสิท่า…การได้มาอยู่ในที่ที่มีสวนกว้างเขียวชะอุ่มแบบนี้ดีต่อสุขภาพของลูกสาวเธอจริงๆ อย่างที่ตฤณว่าไว้ นี้ย่อมดีกว่าการจมจ่ออุดอู้ในคอนโดหรูหราที่กรุงเทพ

    “พ่อล่ะจ๊ะ” อิงอรเอ่ยปากถามลูกสาว

    “ไปข้างนอกค่ะ…แม่ไม่เขียนแล้วเหรอคะ เอมไม่กวนหรอก”

    คนถูกถามคลี่ยิ้มแล้วพับสมุดเก็บเข้าในลิ้นชัก พอเห็นอย่างนั้น แม่หนูน้อยก็ตรงเข้าอ้อนโดยทันที เธอคลานเข้าไปใกล้แล้วปีนขึ้นไปนั่งบนตักแม่ อิงอรก้มลงจูบหน้าผากลูกสาวด้วยความรักใคร่ เธอรักเหลือเกินกลิ่นนมหวานๆ ที่ติดตัวลูกสาวของเธอ กลิ่นที่จะคงอยู่เฉพาะกับเด็กที่ใสบริสุทธิ์ ในขณะที่ปากเจ้าตัวเล็กถามคำถามจ๋อยๆ เหมือนทุกที

    กับเด็กวัยนี้ พ่อกับแม่ก็เปรียบเป็นพระเจ้าผู้รู้ทุกอย่างในโลก

    คนส่วนใหญ่มักจะหลงและเห็นลูกของตัวเองน่ารักเกินความจริง แต่อิงอรรู้ว่า ‘อิ่มเอม’ ของเธอพิเศษกว่าเด็กคนไหนๆ เธอไม่ได้เห็นความน่ารักของลูกเกินจริงเลยซักนิด ข้อนี้เธอแน่ใจ ทุกครั้งที่ออกไปไหนกับลูกสาว ต้องมีคนหยุดมองแล้วยิ้มให้ทั้งคู่เสมอๆ คำชมว่า “อย่างกับตุ๊กตาเลย” เป็นอะไรที่ได้ยินจนชินหู และนั่นก็ไม่ใช่แค่ “น่ารักจัง” ตามมารยาทแน่นอน

    แต่ที่สำคัญกว่าหน้าตาน่ารักจนอยากจะเก็บเอาไว้กกกอดเพียงคนเดียว อิงอรภูมิใจเหลือเกินที่ลูกรักเป็นเด็กคิดเป็น ครั้งหนึ่ง แม่หนูน้อยเคยหยุดยืนหน้าตุ๊กตาแสนสวยในแผนกของเล่น ท่าทีที่เธอค่อยๆ สัมผัสผมเส้นไหมสีทองบอกได้หมดว่าตัวน้อยนั่นปรารถนาจะเป็นเจ้าของมันแค่ไหน

    แต่ทว่า ครั้นอิงอรถาม เอมกลับตอบอย่างฉะฉานว่า “ไม่หรอกค่ะ หนูเพิ่งได้ตุ๊กตาเป็นของขวัญวันเกิด” นั่นเมื่อเดือนที่แล้ว “ถ้าซื้อไปอีก เดี๋ยวคุณพ่อจะเสียใจ เอาไว้รอหมดเทอมนี้ ถ้าหนูสอบได้ที่หนึ่งอีก คุณแม่ค่อยซื้อให้หนูได้มั้ยคะ”

    ปากก็ทำเก่ง แต่ดวงตากลับฉายแววอาลัยอย่างลึกซึ้ง โถ แม่คุณทูนหัวของแม่ ถึงหนูขอหมดร้าน แม่ก็จะหาทางซื้อให้ได้

    สองแม่ลูกเล่นกันกุ๊กกิ๊กอยู่พักนึง ถึงได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบันไดมา
    “คุณพ่อมาแล้วมั้ง”
    “ไม่ใช่หรอกค่ะ ยายปริกต่างหาก”
    ยายปริกที่ว่าไม่ใช่มารดาของอิงอร แต่เป็นแม่บ้านประจำรีสอร์ทที่ตฤณสนิทสนมด้วย เรียกว่าเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี้ เธอขยันมาดูแลตฤณไม่ขาดทุกครั้งที่เขาขึ้นมาพักผ่อน ราวกับเขาเป็นลูกคนหนึ่งเลยก็ว่าได้

    “ป่ะ ลงไปหวัดดีคุณยายหน่อย” เธอชักชวน
    “ไม่ไปได้มั้ยคะ” เอมก้มหน้างุด ปากแบะออกแสดงท่าว่าไม่พอใจ “คุณยายชอบกอดหนูแรงๆ หนูเจ็บ”

    เธอมองหน้าลูกด้วยความเห็นใจ ก่อนหน้านี้ ลูกเคยหลุดปากมาหนหนึ่งตอนอยู่ที่กรุงเทพฯ เธอว่า เธอฟังยายปริกไม่ออก แล้วยายก็มีกลิ่นประหลาดๆ ด้วย… ที่เธอไม่อยากเข้าใกล้ก็ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใดเลย นอกจากทุกครั้งที่ยายถาม แล้วเธอไม่ตอบ ยายจะทำท่าเสียใจและขัดเคือง ทุกครั้งที่ถูกกอด หนูน้อยต้องอดทนแทบตายไม่ให้ยกมือขึ้นมาอุดจมูก

    อิงอรรับความจริงในข้อนี้พร้อมๆ ด้วยความหนักใจ กับโลกบวมๆ ใบนี้เธอไม่อยากให้ลูกทำตัวเป็นคนดีเกินไปนัก เพราะลองคุณใช้ชีวิตแบบกลัวจะไปเหยียบเท้าใครบางคนเข้าตลอดเวลา พอรู้ตัวอีกที ก็กลายเป็นว่าคุณจะทำอะไรผิดไม่ได้เลย ใครจะไปคิดว่าเรื่องอย่างนี้กลับมาเล่นงานคุณได้ในภายหลัง

    คนที่ไม่เคยผิดหวังหรือไม่เคยทำในเรื่องที่ตัวเองจะนึกเสียใจก็เหมือนคนที่ใช้ชีวิตเดินไต่อยู่บนเส้นลวด…ท่ามกลางผู้ชมที่ลุ้นว่าจะตกลงมาไหม

    “เสียมารยาทนะ” คนเป็นแม่ท้วง
    “เราก็แกล้งทำเป็นหลับก็ได้นี่คะ ใครๆ ก็รู้ว่าแม่หลับเก่ง”

    อิงอรได้ยินคำนี้ก็อดไม่ไหวก็ต้องปล่อยหัวเราะออกมา เอาล่ะเหวย ขนาดลูกมันยังรู้เลยว่าเธอหลับเก่ง คนอื่นเค้าจะพูดกันยังไงล่ะเนี่ย อิงอรนึกขำๆ ช่วยไม่ได้จริงๆ ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เธออาศัยการหลับเป็นที่ที่หลบหนีจากปัญหาเสมอ มันเป็นที่ที่เดียวที่เธอรู้สึกปลอดภัย…และผ่อนคลาย

    พอโตมา กับไอ้อาชีพนักเขียนอย่างนี้ เธอเลยเผลอยึดเอานิสัยหลับนอนไม่เป็นเวลาติดมาจนเป็นนิสัยถาวรชนิดแก้ไม่หาย

    ด้วยจนใจยอมจำนนต่อข้ออ้างของลูกสาว บวกกับเห็นใจแม่หนูน้อย อิงอรเลยออกหน้าไปรับทัพข้าศึกตามลำพัง เว้นแต่ว่า ข้าศึกไม่ได้ตั้งท่ารอ พออิงอรก้าวเท้าออกไปเห็นยายปริกยืนอยู่หน้าห้องนั้น คนถูกทักและคนทักก็แทบจะอุทานใส่หน้ากันเพราะตกใจ หน้าตายายปริกดูซีดๆ พิกลอย่างกับคนถูกจับได้ว่าทำผิด

    ตายแล้ว! นี่จะได้ยินที่เธอกับลูกคุยกันหรือเปล่าเนี่ย

    “เอ่อ สวัสดีค่ะ ป้ารู้มั้ยคะว่าตฤณไปไหน” อิงอรแกล้งเฉไฉไปเรื่องอื่น
    “คุณตฤณเอารถไปเติมน้ำมันค่ะคุณ…เห็นว่าเย็นนี้จะลงไปทานข้าวในเมืองกันไม่ใช่เหรอคะ”
    อิงอรเริ่มจำคำเขาบอกได้ลางๆ
    “ค่ะ ก็คุยกันไว้อย่างนั้น ว่าแต่…”
    “อ๋อๆ ป้าแค่แวะเอาผ้าขนหนูใหม่มาเปลี่ยนให้… ป้าวางไว้ข้างล่างน่ะ กะว่าจะขึ้นมาบอกคุณเอาไว้”
    “ขอบคุณมากค่ะ” เธอรีบยกมือขึ้นไหว้คนสูงวัยกว่า ซึ่งก็รีบยกมือรับไหว้ทันที
    “เอ่อ งั้นป้าไปละนะคะ ถ้ามีอะไรป้าจะอยู่รดน้ำต้นไม้แถวๆ นี้อีกซักพัก ตามป้าได้นะคุณ”
    “ขอบคุณมากนะคะ เดี๋ยวหนูขอตัวไปอาบน้ำก่อนแล้วกันคะ ตฤณจะได้ไม่บ่น”

    เธอขอตัวแล้วกลับเข้าห้องไป เอมยังคงนั่งรอเธออยู่บนเตียง สองเท้าแกว่งไปมาแก้เบื่อ พอเห็นหน้าแม่ เธอก็เอียงคอยิ้มหวาน อิงอรเอามือแตะปากตัวเองเป็นสัญญาณให้รู้ว่าอย่าเสียงดังไป…


    รถสเตชันวากอนสีขาวแล่นฉิวผ่านทางเข้ารีสอร์ท คนขับคงไม่ทันเห็นยามที่ตั้งอกตั้งใจตะเบ๊ะรับ แต่ครั้นใกล้จะถึงตัวบ้าน เจ้ารถคันใหญ่เทอะทะกลับแล่นเอื่อยเฉื่อยบดกรวดทางเข้าราวกับหมดแรงซะดื้อๆ

    พอตฤณจอดรถนิ่งสนิท เขาก็ประวิงเวลาไปซักสองนาทีก่อนจะลงจากรถ ยายปริกที่ได้ยินเสียงรถรีบแล่นถลามาจากสวนหลังบ้านทันก่อนที่เขาจะเข้าบ้าน เธอรายงานความเป็นไปเป็นไปมาฉอดๆ ตรงหน้าประตูนั้นเอง

    “คุณตฤณคะ คุณตฤณ”
    “มีอะไรหรือเปล่าครับ” พอคำพูดหลุดปาก ตฤณก็นึกขำแบบขื่นๆ ทำไมช่วงนี้เขาถึงพูดประโยคนี้บ่อยจังนะ
    “แฟนคุณน่ะค่ะ เธอพูดอีกแล้ว”

    ที่ชั้นบน อิงอรเองก็ได้ยินเสียงรถของตฤณ เธอลงมาเพื่อตั้งใจจะรอรับเขาเต็มที่ แต่พอเห็นยายปริก เธอเลยหยุดแอบซ่อนอยู่หลังประตูในระยะที่ยังพอได้ยินเสียงคนทั้งสอง เธอหันไปจุ๊ปากกับลูกสาว สองมือของคนทั้งสองที่ครั้งหนึ่งเคยรวมอยู่ในร่างเดียวกันกระชับรัดกันแน่น ดวงตาถอดแบบกันมาเต้นระริกด้วยความสนุกเหมือนกำลังสมคบกันทำความผิด

    “พูดอะไรเหรอครับ”
    “คุยกับลูกสาวที่ตายไปแล้วน่ะค่ะ”

    คำว่า ‘ตายไปแล้ว’ ดังวิ้งๆ อยู่ในหัวอิงอร นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ป้าปริกแก่จนเลอะเลือนไปแล้วหรือยังไง ก็จริงอยู่เมื่อกี้เธอกับลูกอาจจะทำตัวไม่ดีเกินไปหน่อย แต่ไม่เห็นต้องพูดใส่ไฟกันขนาดนี้เลย แล้วตฤณเป็นอะไรไป…ปล่อยคนบ้ามาพูดอะไรแบบนี้ได้ยังไง

    อิงอรเหลียวไปดูลูกสาวซึ่งตอนนี้หน้าเสียเหมือนจะร้องไห้ เธอย่อตัวลงไปหาลูกแล้วดึงเอาตัวลูกมาโอบกอดเอาไว้

    “อะไรคะแม่ ยายพูดอะไร หนูยังไม่ตายซักหน่อย”
    “จ๊ะๆ แม่รู้ ชู่ววๆ ไม่เป็นไรลูก ไม่เป็นไร ยายเค้าคงเลอะเลือน”

    ใช่… เธอต้องเลอะเลือนไปแน่ๆ ก็ดูนี่สิ ถ้าเอมตายไปแล้วจริงๆ แก้มเนียนที่สัมผัสกับแก้มของเธอนี้จะเป็นแก้มใครไปได้ กลิ่นหอมนี้มีหรือจะเป็นของคนอื่น ไหนจะร่างอุ่นๆ นี้อีกล่ะ… อยู่ๆ ภาพความทรงจำบางอย่างก็แทรกเข้ามาเหมือนมีดคมกริบเฉือนเลาะเนื้อปลานุ่มๆ แค่ตวัดข้อมือเดียว จนแม้แต่ปลาเองก็ยังไม่รู้ตัวและกลับลงไปเริงร่าว่ายวนในลำน้ำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    ภาพเอมตั้งอกตั้งใจนับแอปเปิลในถุงจากห้างสรรพสินค้าชื่อดัง นั่งคู่กับเธอบนเบาะข้างคนขับ สลับกับภาพรถกระบะสีกรมในเลนส์สวนทางตรงดิ่งมาทางรถของเธอ… อิงอรรู้ดีว่าถึงเธอจะหักหลบยังไงก็ไม่พ้น ด้วยสัญชาติญาณความเป็นแม่ เธอรีบแกะเข็มขัดนิรภัยของตัวเอง โผถลาไปกอดลูกสาวเอาไว้กะใช้ตัวเองเป็นเกาะกันภัยให้เต็มที่

    …ครั้นแรงปะทะกระเด้งกระดอนและเสียงอึกทึกโครมครามหยุดลง ทิ้งแต่เสียงวิ้งๆ ดังก้องอยู่ในหู…เหมือนที่ดังอยู่ในโมงยามนี้

    ตุบ! แอปเปิลลูกหนึ่งตกลงไปยังที่วางเท้า อิงอรพยายามปรือตามองหาต้นเสียงอย่างยากลำบาง อย่างน้อยเธอก็ยังรู้สึกได้ว่าภารกิจของเธอสำเร็จ ลูกสาวของเธอยังอยู่ในอ้อมกอด

    แหมะ! ของเหลวสีแดงไหลย้อยอาบผลแอปเปิลลูกนั้น…หยดแล้วหยดเล่า

    “ไม่นะ…” อิงอรรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก แต่อ้อมแขนยังกระชับแน่นเหมือนกลัวร่างที่อยู่ตรงหน้าจะหลุดหาย แต่นั่นก็สายไปแล้ว

    ไม่มีใครในอ้อมแขน…

    ความจริงทิ่มแทงเธอราวกับเข็มร้อยมาลัยยาวๆ ปักทิ่มแทง แล้วเข็มหนึ่งคงแทงลึกทะลุเส้นเสียงของหญิงสาว เพราะเสียงที่หลุดลอดออกมาตอนนี้เป็นแค่เสียงตลกๆ ราวกับหลอดดูดรั่วๆ…

    เสียงตลก…แต่ฟังแล้วชวนขนลุก

    จากคุณ : นารูมิ - [ 30 พ.ค. 47 13:18:46 ]