CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown



    "THE KISS WITH THE CIN(DERELLA)" *~ *~ ลั๊ลลา ตอน 5-6 (เรื่องเกือบๆจะยาว)

    มาต่อกันเลยค่า...


           ทั้งสองเบียดตัวอยู่ใกล้กัน  จนเสียงฝนตกหายไป
    เป็นเสียงน้ำหยดลงกระทบผิวน้ำในลำธารแทน  มือของ
    โยสุเกะหายชื้นเหงื่อแปรเป็นปกติ  หน้าค่อยมีสีเลือด  
    เขามองผู้หญิงที่กึ่งกอดกึ่งประคองเขาไว้ด้วยสายตา
    ประหลาด  จนเธอรีบคลายอ้อมแขนยกมือขึ้นเสยผม
    แก้เก้อ  ชายหนุ่มเองตลบผ้าห่มออก  เปิดไฟฉายขึ้นแต่
    หรี่แสงลงเหลือเพียงสลัวๆ
          “ผมนอนไม่หลับแล้ว”
          ถึงเขาก็ไม่พูดเธอก็รู้  มองอีกฝ่ายที่เหม่อดูผ้าประทุน
    เกวียนนิ่งๆไม่ยอมสบตา  อายกระมังที่เผลอแสดงจุดอ่อน
    ออกมาให้คนอื่นเห็น  มิน่าวันก่อนเฟร็ดถึงได้บอกว่าเพราะ
    มีพายุเขาถึงได้ตื่นสาย  คืนนั้นคงทุรนทุรายเหมือนคืนนี้
          เมื่อเขานอนเงียบส่วนเธอไม่ชอบความเงียบก็รื้อเป้
    หยิบซาวด์เบาท์ออกมาเปิดเพลงฟังเล่น  ยื่นหูฟังให้อีก
    ฝ่ายอย่างมีน้ำใจ
          “เพลงไทยค่ะ  ลองฟังดูไหม”
          เขาส่ายหน้า  สราลีเลยหรี่เสียงมันลงหน่อยและเสียบ
    หูฟังเพียงข้างเดียว  เผื่อจะได้ฟังเขาคุยอะไรออกมาไป
    พร้อมๆกัน  เธอนอนคว่ำมองเขาอย่างสนใจ  เคยได้ยิน
    เหมือนกันว่ามีคนกลัวพายุ  แต่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นมาก
    ขนาดนี้  ผู้ชายตรงหน้ายังคงนอนนิ่ง  ตาจ้องที่หลังคา
    ประทุนเป๋ง
          “แล้วเวลาฝนตกคุณทำยังไงล่ะ”
          “ไม่ทำ  ผมมักย้ายบ้านไปตามรัฐที่ไม่มีฝน  บางทีก็
    ไปอยู่ญี่ปุ่นในช่วงหน้าร้อน  บางทีก็เป็นประเทศอื่น  โลก
    ไม่ได้มีฝนตกทุกที่นี่”
          โอ้โฮ…ย้ายบ้านเป็นว่าเล่นเลยเรอะ  มีกี่บ้านหว่า  อี
    ตานี่ถ้าเกิดมาจนจะทำไงวะเนี่ย  
          “คุณทำอย่างนั้นตลอดเวลาเลยเหรอคะ”
          “ไม่หรอก  บางครั้งผมก็ต้องอยู่ในที่ที่ไม่อยากอยู่
    เพื่อทำงานเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ผมก็รูดม่าน...ม่านห้องนอน
    ทุกห้องของผมมีสามชั้น  กั้นแสง  มีเครื่องเสียง…ก็เปิด
    ดนตรีกลบ...เท่านั้น...พายุก็ทำอะไรผมไม่ได้แล้ว”
          ‘บ้าแฮะ…’ หญิงสาวกลั้นหัวเราะเต็มกำลัง  แล้วทน
    ไม่ไหว  ปล่อยพรืดดดดด  เห็นเขาหันมามองหน้าแล้ว
    เจ้าหล่อนรีบก้มหัวขออภัยเป็นการใหญ่
          “ขอโทษค่ะ  คือฟังแล้วมันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลาย
    เหตุชะมัด  ความกลัว…เดี๋ยวนี้มีจิตแพทย์บำบัดได้นี่นา
    ทำไมคุณไม่ไปรักษา”
          น้ำเสียงของชายหนุ่มที่โต้มากลับเลี่ยงคำถาม  
    บอกอารมณ์งอนปนพาล
           “ซาร่า...คุณไม่เคยกลัวอะไรเลยหรือ”
           “ไม่...อาจจะมีนะ  แต่นึกไม่ออก”
           “อย่างที่ผู้หญิงชอบกลัวกันไง  งู...หนู...อะไรแบบนี้”
          “ไม่...ฉันเคยเลี้ยงด้วยซ้ำ  พวกมันน่ารักออก”
          โยสุเกะขยับขาในผ้าห่มไปมาเหมือนขัดใจ
          “ชีวิตคุณคงมีแต่ความสุข  ไม่มีบาดแผล...เหมือนผม”
          ทีนี้เสียงเขางอแง  เหมือนนายอ้นตอนพาลพาโล  
    จนหญิงสาวลุกขึ้นมาลูบไหล่เขา
          “ฉันอาจมีบาดแผลก็ได้ค่ะ  แต่ฉันเลือกที่จะลืมมัน
    มากกว่าจมอยู่กับมัน  คุณก็ด้วย...คุณควรจะลืมมัน
    มากกว่าที่จะจมกับมัน”
          “ผมไม่ได้จมกับมัน”
          “คุณไม่ได้จมเหรอ  อย่างเรื่องพายุ  คุณคิดว่าจะ
    หลบหลีกมันด้วยวิธีนี้ไปอีกนานเท่าไหร่”
          ชายหนุ่มเจ้าของแผ่นดินที่เธออยู่นิ่งเงียบ  
          “นอกจากพายุ  คุณมีความสุขตรงไหนกับการหลอก
    ตัวเอง  จมอยู่กับความฝันเก่าๆ  ที่ไม่รู้จะได้ผลกับคุณหรือเปล่า”  
          ดวงหน้าขาวใสมีสีเรื่อเหมือนโกรธ  ปากแดงเม้มจน
    เป็นสีจัดขึ้นอย่างขุ่นใจ  แต่ยังไม่มีเสียงลอดจากปาก  
    ตาเรียวสวยคู่นั้นจ้องราวจะเถียงท้าให้เธอพูดต่อ  และ
    สราลีก็ไม่รอช้าที่จะบอกเขา
          “ถ้าคุณหลุดจากมันได้  คุณก็เป็นอิสระ  อย่างที่
    คุณไป…ขอโทษ  ฉันอาจพูดตรงไปหน่อย  คุณไปเสีย
    เวลาที่สถานีรถไฟนั่น…”
          “ผมไม่ได้เสียเวลา”  
          เขาเถียงมันควัน  ‘เด็กๆ…จริงๆ’  สาวนักผจญภัย
    พยักหน้าช้าๆ  แกล้งคล้อยตาม
          “โอเค…ไม่เสียเวลาก็ไม่เสียเวลา  แต่จริงๆแล้ว  
    คุณไม่จำเป็นต้องไปที่นั่นเลย  ใช่ไหมคะ…คุณเอง
    ก็รู้  ความรัก  ผู้หญิง…ซินเดอเรลล่าของคุณ…เธอ
    จะมาเองเมื่อถึงเวลา  คุณหลอกตัวเองมากกว่าว่าจะพบ
    คนคนนั้น  ถ้าคุณไปที่นั่น…  สิ่งที่คุณได้กลับมาคือ
    ความเจ็บปวด  เพราะไม่มีคนมองเห็น”
          เขาไม่โต้ตอบ  ในเกวียนมีแต่ความเงียบ  เพลงใน
    หูฟังของเธอขึ้นชุดใหม่  เนื้อเพลงเหมือนเข้ามาร่วมวง
    สนทนาด้วย  ‘...เคยรู้สึกไหม  เวลาไม่มีใครแล้ว….จะ
    มองไปทางไหน  ไม่มีใครให้พูดจา…’  จริงของเพลง…
    ผู้ชายตรงหน้าคงรู้สึกอย่างมากทีเดียว
          “แต่คุณก็ยังไปที่นั่น  ทำตัวแบบนั้นทั้งๆที่รู้ว่ามี
    โอกาสน้อยมากที่จะเจอใครซักคน  หรืออะไรซักอย่าง
    รอคุณอยู่”
          โยสุเกะนอนมองเพดานเฉย  ดวงหน้าขาวดูเศร้าสร้อย  
    ก่อนจะเถียงเสียงพร่า
          “เธออาจจะอยู่ตรงนั้นจริงๆก็ได้”
          ‘จะมีเหรอ’  หญิงสาวคิด  ในขณะที่เพลงในหูเข้ากับ
    เรื่องของเขาอย่างประหลาด …
          ‘ไม่มีเลยสักคน…จะหันมามองและเข้าใจ  คน…
    คนนี้ที่มันไม่มี…อะไร’
          ชายหนุ่มเงียบไปพักใหญ่  ก่อนจะยอมรับแบบไม่
    เต็มใจนัก
          “อาจจะไม่มีอะไรรอผมอยู่ที่นั่นก็ได้  จริงๆแล้ว...
    ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน…ว่าผมไปทำไม”
          หญิงสาวมองหลังคาสีขาวราวกลั้นใจไม่ให้ตอบ  
    แล้วโดยไม่รู้ตัวเธอกลับร้องเพลงล้อเลียนออกไป  เพราะ
    มันตรงกับเพลงคุ้นหูท่อนที่กำลังได้ยินจากหูฟังพอดี
          อารมณ์สนุกที่ว่าเจอเพลงตรงกับเหตุการณ์ทันทีทำ
    เอาเจ้าหล่อนร้องเสียยืดยาวจนจบท่อน  กางแขนวาดท่า
    ประกอบเพลงราวเป็นต้นตำรับเสียเอง
          “นี่คือเหงา…นี่แหละเหงา  
    นี่คือความจริงที่ได้เจอ  
    เจ็บปวดทรมานลึกลงข้างในใจ …
    โอ้ความเหงา  มันช่างหนาว  มันช่างยาวนานและทุกข์ทน”
          เจ้าหล่อนหันมาตบท้ายท่อนสร้อย  ด้วยท่าทางล้อเลียน  
          “รอคอยใครบางคน…มาหยุดมัน…”
          …
          เพราะ “ลีลา” ของนักร้องสาวหรือเปล่าไม่รู้  โยสุเกะ
    ชันตัวขึ้น  มองมาอย่างสนใจ
          “คุณร้องอะไร”
          “เพลงค่ะ  เพลงไทย”
          “แปลให้ผมฟังหน่อยได้ไหม”
          ทีนี้คนช่างล้อเลียนยิ้มแหยๆ  รู้สึกว่าเนื้อเพลงมัน
    ออกจะล้ำเส้นไปหน่อยไหม  หากเมื่อตัดใจได้ว่า  ความ
    หมายของเพลงนั้นอาจรักษาโยสุเกะได้  ให้เขาไม่ต้อง
    ไปนั่งที่สถานีนั่นอีก  เธอจึงค่อยๆแปลแบบช้าๆ  เลือก
    คำให้เหมาะสม  แถมแต่งเติมนิดหน่อยเพื่อจะได้ “สอน”
    เขาให้ตรงจุดมากที่สุด
          “This is loneliness; it really is lonesomeness.
    This is the reality that I've known.
    It's so painful; it's a misery in my heart.
    Oh ... loneliness, I feel so cold,
    It's the suffer that last for eternity and tears me apart.
    I've been waiting for someone,
          Who would end this loneliness of mine….”  


    เพลง”เหงา” :  วง “Peacemaker
    ขอขอบคุณ  น้องบอย  Peacemaker  เอื้อเฟื้อเพลงประกอบ
    คำแปล :   Clear ice  (ประกาศขอบคุณแล้ว  แปลว่า
    งดสมนาคุณ ฮี่ ฮี่)

    หากท่านใดไม่ได้อยู่ในประเทศไทย  ไม่สามารถหาเพลงนี้
    มาฟังเพื่อเพิ่มอรรถรสของนิยายได้  โปรดคลิกไปที่
    http://music.kapook.com/newmusicstation/play.php?id=1115
    ขอขอบคุณ O-HO  มอบ Link  ประกอบนิยาย
    (แฮ่ก แฮ่ก  ขอบคุณจนนิ้วห้อย  ยังขาดใครอีกไหม)

          เมื่อรู้ความหมาย  ชายหนุ่มนิ่งไปนานถอนหายใจ
    หนักหน่วงก่อนรำพึงเบาๆ
          “จริงของเพลง…ผมคงเหงา…จริงๆ”
          เสียงของเขาเศร้า  สูดจมูกแรงๆเหมือนจะสะอื้น  
    จนสราลีไม่กล้าขัดใจเลย  เมื่อเขาพาดศรีษะขึ้นมาบน
    หมอนเธอ  พร้อมสอดมือชื้นเหงื่อเข้ามาจับมือเธอไว้  
    ก่อนจะชักผ้าห่มคลุมอก  แก้มแตะอยู่ที่ขมับคนช่าง
    ล้อเลียนและซบอยู่ตรงนั้น…
         จนมีเสียงหายใจช้าๆ  หญิงสาวจึงค่อยๆชันตัวลุก
    ขึ้นบ้าง  ดวงหน้าขาวเผือดดูสว่างในความสลัว  ขนตา
    งอนยาวเหมือนจะชื้นน้ำตา  ริมฝีปากแดงจัดเผยอนิดๆ
     เหมือนนายอ้นวันไข้ขึ้น  งอแง  ร้องเรียกการเอาใจใส่
    ดูแล  จนหลับไปพร้อมคราบของการร้องไห้…  
          ผู้ชายมีช่วงเวลาอ่อนแอเหมือนกันทุกคนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่…
          เธอเผลอใจอ่อนยกมือเสยผมให้จัดมันไม่ให้ปรก
    ตาและข้างแก้ม  ไล้นิ้วเบาๆไปตามหน้าผากที่เป็นรอย
    พับจางๆ  ขยับตัวเองให้เขาอยู่ในท่าสบายที่สุด  ตลบ
    ผ้าห่มให้ถึงคอ   ก่อนจะลงนอนข้างๆอย่างคอยปกป้อง
    ท่ามกลางอากาศฉ่ำเย็นของฝนที่เพิ่งจากไป

          …

    ยังมีต่อจ้า...

    จากคุณ : ป้าหนอน - [ 31 พ.ค. 47 11:06:41 ]