1...
ครืนน....!
เสียงฟ้าคำรนสั่นสะเทือนไปทั่วพื้นพิภพสอดประสานกับเสียงเทกระหน่ำลงมาของเม็ดห่าฝนดังซ่าาา...!
คล้ายกับว่ามันจะไม่มีวันยุติเลยกระนั้น อีกทั้งลมกรรโชกหวีดหวิวราวกับเสียงกรีดร้องโหยหวนของพญามัจจุราชภายนอกคฤหาสน์หลังงามที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางลมพายุ และความมืดมิดแห่งรัตติกาลในค่ำคืนนี้ช่างดูสับสนอลหม่านยิ่งนัก แต่มันกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับความเงียบสงบที่น่าอึดอัด และตรึงเครียดของบรรยากาศภายในห้องใต้ดินอันมืดทึบ และอับชื้นซึ่งจะมีก็แต่เพียงแสงเทียนสลัวไม่กี่เล่มที่ถูกจุดขึ้นให้ความสว่างอย่างริบหรี่อยู่ขณะนี้ ห้องดังกล่าวมีเพียงช่องลมเล็ก ๆ ที่อยู่เหนือผนังห้องบริเวณประตูทางเข้าเท่านั้นที่ยอมให้สายลมพัดพาเอาความหนาวเหน็บ และเย็นชื้นของฤดูฝนผ่านพ้นเข้ามาได้
เปรี้ยงง...!!
เสียงอัสนีบาตฟาดซ้ำลงมาอีกครั้งอย่างน่ากลัวพร้อม ๆ กับแสงสว่างวาบที่ทาบทับอยู่บนใบหน้าของผู้คนซึ่งอยู่ ณ ที่นี้ก็ค่อย ๆ จางหายไปภายในเวลาไม่กี่วินาที แต่มันกลับไม่ได้ทำให้คนเหล่านี้รู้สึกหวาดหวั่นแต่อย่างใดกลับยังคงนิ่งขึงมองดูภาพเหตุการณ์ตรงหน้าต่อไปอย่างรอคอย...
"แน่ใจแล้วหรือว่าจะไม่เสียใจภายหลัง?..."
หญิงสาวโสภานางหนึ่งซึ่งนั่งเด่นอยู่บนเก้าอี้กลางห้องอย่างสง่างามคล้ายเป็นประธานในภารกิจครั้งนี้กล่าวขึ้นเบา ๆ ท่ามกลางสายตานับสิบคู่ของผู้ที่ยืนรายล้อมอยู่ขณะนิ่งมองไปยังหญิงสาวอีกคนซึ่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าไม่ห่างออกไปนักนั้น และอีกฝ่ายตอบกลับมาน้ำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบแต่ทว่ากลับหนักแน่นยิ่งนักในความรู้สึกของผู้เป็นเจ้าของว่า
"ค่ะ"
"งั้นก็คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกแล้ว... เธอไปได้แล้ว..."
หล่อนพูดจบก็ขยับลุกขึ้น และก้าวจากมาโดยไม่สนใจหญิงสาวผู้นั้นอีกเลย...
เก็จแก้วทรุดนั่งลงบนเก้าอี้รับแขกตัวหนึ่งหลังจากก้าวเข้ามาภายในบ้านน้อยหลังงามของตนขณะที่ในอ้อมแขนยังโอบอุ้มลูกน้อยเอาไว้อย่างแสนรักพลางก้มลงมองดูลูกของตนอย่างสุขใจ แม่หนูน้อยน่ารักอ้วนท้วนสมบูรณ์ดีทุกอย่าง และขณะนี้กำลังนอนหลับอย่างสบายในอ้อมอกของคนเป็นแม่
หญิงสาวยิ้มกับตนเองอย่างสุขลึกในใจพลางคิดว่าชาตินี้จะไม่ขออะไรมากไปกว่านี้อีกแล้วเพียงเท่านี้ก็มากพอแล้วสำหรับเด็กกำพร้าอย่างหล่อนที่มีสามีซึ่งรักหล่อน และลูกน่ารัก ๆ พร้อมครอบครัวอันอบอุ่นอย่างนี้
"เกด... เอาลูกมานอนที่เบาะนี่สิจะได้ไม่เมื่อย"
เสียงของกานต์ผู้เป็นสามีดังขึ้นทำให้เก็จแก้วหันกลับมามองที่อีกฝ่ายพลางแย้มยิ้มแล้วจึงนำลูกน้อยมาวางไว้ที่เบาะนุ่มอย่างว่าง่าย
เก็จแก้วแต่งงานกับกานต์มาได้หนึ่งปีก็มีลูกด้วยกันหนึ่งคน คือ รอยดาว กานต์เป็นคนต่างจังหวัด พ่อและแม่ของเขาเสียชีวิตไปก่อนที่เขาจะมาพบกับเก็จแก้ว เมื่อทั้งสองแต่งงานกันกานต์จึงตัดสินใจอาศัยอยู่ที่
กรุงเทพนับแต่นั้นมาจะมีบ้างเป็นครั้งคราวที่ญาติ ๆ ของเขามาเยี่ยมเยียนที่บ้าน
กานต์ก้มลงหอมแก้มใสอมชมพูของผู้เป็นลูกอย่างรักใคร่ปากก็พร่ำเรียกชื่อของแม่หนูไม่หยุดปาก
"รอยดาว... รอยดาวลูกพ่อ! "
ชื่อของรอยดาวทำให้เก็จแก้วหวนนึกถึงเหตุการณ์ในโรงพยาบาลขึ้นมาทันที หลังจากคลอดลูกแล้วหนึ่งวันพยาบาลก็นำตัวรอยดาวมาให้คนเป็นแม่ให้นมตามปกติแล้วจึงจากไปปล่อยให้สองแม่ลูกได้อยู่กันตามลำพัง ขณะที่แม่หนูน้อยกำลังดื่มนมจากอกผู้เป็นแม่อยู่นั้นจู่ ๆ ก็มีเสียงดังปัง...! ติด ๆ กันหลายครั้งซึ่งเก็จแก้วมารู้ภายหลังว่าเป็นเสียงพลุที่เขาจุดขึ้นในงานกีฬาสีของโรงเรียนแห่งหนึ่งใกล้กับโรงพยาบาลที่หล่อนไปคลอดนั่นเอง เหตุดังกล่าวทำให้แม่หนูรอยดาวตกใจร้องไห้ดังลั่นเพราะเสียขวัญ...!
"แง๊!!... "
เพล้งง!!...เปรี๊ยะ!!!
พร้อม ๆ กับเสียงแตกกระจายของเครื่องแก้วชิ้นเล็ก ๆ รวมทั้งแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงส่งให้น้ำในแก้วหกรดเรี่ยราดไปทั่วโต๊ะดังกล่าวทันที...! เก็จแก้วคว้าลูกน้อยมากอดกระชับไว้แนบอกตามสัญชาตญาณความเป็นแม่พลางมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างตกใจเป็นที่สุด แม่หนูยังร้องจ้าไม่ยอมหยุดหล่อนจึงก้มลงหมายจะปลอบขวัญแก่แต่แล้วก็ต้องผงะออกมาอย่างตกตะลึงไปชั่วขณะเมื่อพบว่าบนหน้าผากย่น ๆ เหนือหว่างคิ้วน้อย ๆ ของลูกสาวนั้นปรากฏรูปดาวหกแฉกสีขาวสุกสกาวอยู่อย่างเด่นชัด แต่เมื่อเก็จแก้วกำลังจะแตะมือลง ณ จุดนั้นรอยดาวดังกล่าวก็ค่อย ๆ จางหายไปพร้อม ๆ กับเสียงร้องไห้ของแม่หนูน้อยก็ค่อยทุเลาลงเช่นกัน...!
"เกด... คุณจะว่าไงถ้าผมจะขอให้คุณลาออกจากงานมาเลี้ยงลูกอย่างเต็มที่?"
ความคิดของเก็จแก้วชะงักลงเมื่อเสียงของผู้เป็นสามีดังข้ามห้องมาจากในครัวอย่างขอความเห็น หญิงสาวจึงร้องตอบไปว่า
"เกดก็คิดว่าจะลาออกอยู่แล้วล่ะค่ะ ไม่อยากให้ลูกอยู่กับพี่เลี้ยงเหมือนพ่อแม่ส่วนใหญ่ แต่คิดว่าคงจะรับงานแปลมาทำที่บ้านน่ะค่ะ"
ประโยคหลังหล่อนเอ่ยถึงงานในสำนักพิมพ์ของตน
"แล้วเกดจะไม่เหนื่อยหรือ?... เอางี้ดีกว่าผมหาคนช่วยดีไหม? "
"อย่าเลยค่ะ... เงินเดือนคุณก็ไม่มากมายอะไรแล้วนี่เกดยังมาออกจากงานอีกคนจะทำให้สิ้นเปลืองกันเปล่า ๆ ลูกคนเดียวทำไมจะเลี้ยงไม่ได้"
"ใครบอกว่าคนเดียวอาจจะมีน้องให้ลูกดาวสักคนสองคนก็ได้นะ"
กานต์เอ่ยอย่างหยอกเย้าทำเอาเก็จแก้วถึงกับใบหน้าแดงก่ำเป็นลูกตำลึงสุกก่อนจะตอบว่า
"เอาไว้ให้ถึงเวลานั้นก่อนเถอะค่ะแล้วค่อยว่ากันอีกที"
แล้วหล่อนก็หันไปสนใจลูกน้อยตรงหน้าซึ่งหลับปุ๋ยอย่างมีความสุขเงียบ ๆ เก็จแก้วได้แต่ทอดถอนใจอย่างวิตกกังวลนิด ๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลวันนั้น และสู้เก็บงำเอาไว้คนเดียวไม่ยอมบอกเล่าให้ใครหรือแม้แต่กานต์ให้ได้รับรู้เลยแม้แต่น้อย แม้รอยดาวหกแฉกนั้นจะไม่ปรากฏให้เห็นอีกเลยนับแต่ครั้งนั้นแต่เก็จแก้วรู้ดีว่ามันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น...
จากคุณ :
ลิขิตมา
- [
3 มิ.ย. 47 16:19:52
A:203.113.61.73 X:
]