CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown



    คลื่นรักทะเลใจ - ตอนที่ 1

    - คลื่นรัก ทะเลใจ

    ***หากมีวันไหน ที่เธอไปไกลจากฉัน ในหัวใจไม่เคยหวั่น เพราะจะรอเธอย้อนมา หากมรสุมคลื่นลมยังคงพัดพา
    ยังซัดทะเลเข้าหา หาดทรายอย่างนี้ดังเดิม....****
    ...........................................................................................................................................
    ตอนที่ 1

    “เฮ้ย ทำไมเวลาขับไม่ดูตาม้าตาเรือละโว๊ย”

    เสียงของคู่หมั้นหนุ่มที่ตะคอกคนขับเรืออายุอานามคราวพ่อนั้น ทำให้แพรทองรู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะนับตั้งแต่รู้จักกันมาเกือบสี่ปีเต็มจากการชักนำของบิดามารดาของทั้งสองฝ่ายนั้น อาทิตย์ไม่เคยเกรี้ยวกราด หยาบคายเช่นนี้มาก่อน

    แพรทองหันซ้ายแลขวาไปทางลูกเรือคนอื่นๆ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าทุกคนกำลังตกอยู่ในอาการน้ำท่วมปากเช่นเดียวกัน ซึ่งสาเหตุนั้นคาดเอาได้ว่าเพราะการล่องเรือเที่ยวในครั้งในทุกคนได้รับอภินันทนาการจากอาทิตย์ทั้งสิ้น

    ดังนั้น แพรทองจึงรู้ได้โดยอัตโนมัติว่าผู้ที่จะหยุดความบ้าคลั่งของอาทิตย์ลงได้ ก็มีแต่เพียงเธอผู้เดียวเท่านั้น เพราะเหตุนี้เองเธอจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินไปเกาะไหล่ของคู่หมั้นหนุ่มที่ยืนหน้าดำคร่ำเครียดอยู่ตอนหลังของเรือทันที แล้วเอ๋ยว่า

    “ทิตย์ค่ะ ใจเย็น ๆ คะ ลุงแกคงไม่ได้ตั้งใจที่จะขับเรือชนหินโสโครกนี้หรอกค่ะ คุณไม่เห็นหรอกหรือค่ะว่าคลื่นลมตอนนี้มันแรงมาก และฟ้าก็มืดมากด้วย ใจเย็นๆ น่ะคะ”

    “แต่”

    “ไม่มีแต่ค่ะทิตย์ ดูลุงแกซีค่ะ หน้าแกซีดจนกลายเป็นไก่ต้มไปแล้ว”

    จริงอย่างที่แพรทองพูด เพราะบัดนี้ชายวัยกลางคืนมีสีหน้าเช่นนั้นจริง ๆ ขณะที่มองหน้าอาทิตย์สลับไปมากับแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่มืดขึ้นทุกที ๆ

    “ขอบคุณครับคุณนาย”

    ชายขับเรือวัยกลางคนกล่าวขอบคุณแพรทองด้วยความซาบซึ้ง ซึ่งทำให้แพรทองถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก เพราะเธอยังไม่ได้เป็นคุณนายของใครทั้งนั้น แม้แต่กระทั่งอาทิตย์ ซึ่งก็เป็นเพียงคู่หมั้นคู่หมาย เพราะ ตลอดเวลาสี่ปีที่คบกัน ไม่เคยสักครั้งเดียวที่เธอจะปล่อยกายปล่อยใจให้กับเขา หากจะมีบ้างก็ไม่มากเกินไปกว่าหอมแก้ม พลางกอดจูบลูบคลำเรือนร่างของเธอเพียงใดก็ตาม แต่เธอก็ควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้สำเร็จทุกครั้ง เพราะเธอถือนักหนาว่าผู้หญิงที่ดีมิควรปล่อยกายปล่อยใจให้กับชายใดทั้งสิ้น หากเขาไม่ใช่ของตน และอาทิตย์นั้นก็ยังเป็นแค่เพียงคู่หมั้นเท่านั้น จึงยังไม่เป็นการสมควรที่เธอจะปล่อยให้เขาล่วงเกินเธอตามความพอใจ

    ทั้งที่จะว่าไปแล้วหลายครั้ง เธอเองก็กระหายใคร่รู้ไม่น้อยว่า ถ้าอาทิตย์จูบเธอ... จูบที่ไม่ใช่แค่หอมแก้มกันนั้นให้ความรู้สึกอย่างไร มันจะหอมหวานอย่างที่กวีเสกสรรปั้นแต่งเอาไว้หรือไม่อย่างไร โดยเฉพาะเวลาที่เธอมองเห็นในบทเลิฟซีนของพระเอกนางเอกในหนังฝรั่ง อย่างเช่นบทจูบอันเร่าร้อน ของแบรดพิทย์ ในหนังเรื่องทรอยที่ทำให้เธอและเพื่อนๆ ซึ่งไปชมด้วยกันใจหายใจคว่ำเมื่อสัปดาห์ก่อน

    “ทีนี้เราจะทำอย่างไรดีค่ะลุง เพราะถ้าปล่อยให้น้ำเข้าเรืออยู่แบบนี้ แพรว่ามีหวังอีกไม่นานเราแย่แน่ๆ ”

    “เราคงต้องหาทางเข้าฝั่งครับ แต่คงกลับฝั่งที่เราขึ้นมาเมื่อเช้าไม่ได้ เพราะที่เรามาไกลมากเหลือเกิน ทางเดียวที่เราทำได้คือ อาจต้องพาเรือเข้าไปหานเกาะสักแห่งหนึ่งก่อน แล้วซ่อมเรือให้เรียบร้อยก่อน แล้วก็....”

    “แล้วก็อะไรหรือค่ะ” แพรทองเอ่ยอย่างสงสัย เมื่อเห็นว่าชายรุ่นพ่อหยุดพูดเอาเสียดื้อ

    มีเสียงถอนหายใจดังขึ้น ก่อนที่ชายคนขับเรือจะกล่าวว่า

    “เราอาจจะต้องติดอยู่บนเกาะหลายวันเลยครับคุณนาย พายุกำลังมา และท่าทางว่าจะแรงมากเสียด้วย”

    “แล้วเราจะเอาเรือเข้าไปถึงเกาะหรือค่ะ ในเมื่อน้ำเข้าเรืออย่างนี้ ...เราอาจจะจมก่อนถึงฝั่งน่ะคะ”

    สิ้นคำพูดถามของแพรทอง เสียงร้องอุทานด้วยความตกใจก็ดังขึ้นจากลูกเรือคนอื่นๆ มีแต่เพียงอาทิตย์คนเดียวเท่านั้นที่เงียบกริบ ทว่าเมือของเขากลับเอื้อมไปหยิบเสื้อชูชีพสีส้มสมขึ้นมาสวมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินไปทรุดตัวลงนั้นบนกาบเรืออย่างไม่รู้จะทำอะไรให้ดีไปกว่านั้น

    และนั่นเองทำให้ทุกคนรีบมองหาเสื้อชีชีพกันจ้าละหวั่น โดยไม่มีใครสักคนเดียวทีจะนึกหาวิธีการที่จะตักน้ำที่เข้ามาในเรือออก

    แพรทองละสายตาจากชายคนขับเรือหันไปจ้องมองเพื่อนๆ ที่ร่วมลำเรือด้วยความรู้สึกผิดหวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคู่หมั้นของเธอ ที่ขณะที่นี้นั่งนิ่งหลงลืมเธอเสียสนิท

    ...เขาไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเลยสักนิดเดียว...

    แพรทองบอกตัวเอง เพราะดูเหมือนว่ายามอันตรายเช่นนี้ จิตใจเขามุ่งแต่หาทางเอาตัวรอดให้กับตัวเองคนเดียวเท่านั้น สองตาของเขาไม่ได้ทอดมองใครอื่นเลยสักนิดเดียว แม้กระทั่งเธอ ผู้ที่เขาเคยออดอ้อนว่า “รักเท่าชีวิต”

    “คุณนายสวมเสื้อชูชีพซิครับ”

    เสียงของชายคนขับเรือปลุกแพรทองออกจากภวังค์ หญิงสาวส่งยิ้มบาง ๆ ให้ ก่อนที่จะรับเสื้อชูชีพตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่มาสวมเข้ากับรูปร่างสมส่วนของเธอ

    “แล้วลุงล่ะคะ ไม่สวมหรือ”

    เธอเอ๋ยปากถาม เมื่อเห็นว่าเมื่อเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ แล้วชายตรงหน้ายังไม่หาเสื้อชูชีพมาสวมให้ตัวเองบ้าง

    แต่คำตอบที่ได้ก็คือ “ไม่ล่ะครับคุณนาย มันไม่มีเหลือแล้ว...ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมมันลูกทะเล คลื่นแค่นี้มันทำอะไรผมไม่ได้หรอก”

    แพรทองอึ้งกับคำตอบที่ได้รับ เธอมองชายคนขับเรือด้วยความเห็นใจ แล้วปลดเสื้อชูชีพที่สวมอยู่ออก

    “ลุงไม่สวม หนูก็ไม่สวม จะได้ไม่เอาเปรียบกัน”

    และนั่นทำให้เธอมองเห็นแววตาประหลาดใจของชายคนขับเรือปรากฏขึ้นกับการกระทำของเธอ ดังนั้นแพรทองพูดยิ้มๆ ว่า

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ลุงขับเรือ หนูขับเครื่องบิน เราก็เสมอกันไงค่ะ อีโธ่ คลื่นแค่นี้มันทำอะไรหนูไม่ได้หรอก อีกอย่าง...ทะเลถ้าไร้คลื่นมันก็ไม่ใช่ทะเลซิค่ะ แล้วถ้าทะเลมันจะนึกบ้าขึ้นมาบ้าง เราบ้ากับมันไปด้วยจะได้เท่าเทียมกัน”

    รอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏบนใบหน้าของผู้สูงวัย

    “คุณไม่ใส่ ผมก็ไม่ใส่”

    แพรทองยิ้มรับแล้วเดินกลับไปไปนั่งที่กลางเรือ แล้วร้องสั่งทุกคนด้วยน้ำเสียงเฉียบคมว่า

    “หาอะไรทุบกระจกออกให้หมด แล้วช่วยกันวิดน้ำออกจากเรือให้เร็วที่สุด...เข้ามาเท่าไหร่ วิดออกมาให้หมด...เร็ว ๆ ทุกกระจก เพราะถ้าเรือต้านคลื่นไม่ไหวแล้วจมลง อย่างน้อยที่สุดเราก็หลุดออกไปได้ เร็วๆเข้า”

    สิบนาทีต่อมา กระจบเรือทุกบานก็ถูกทุกบไม่มีเหลือรอ ก่อนที่ทุกคนจะพร้อมใจกันวิดน้ำออกจากเรือ พร้อม ๆ กับที่เรือท่องเที่ยวขนาดกลาง เบนหัวเรือเข้าหาเกาะแห่งหนึ่ง

    “แพรทอง ทำไมเธอถึงปฏิเสธเสื้อชูชีพตัวนั้น”
    อุษาผู้ซึ่งเพิ่งผ่านงานสมรสเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ซึ่งมาล่องเรือสำราญพร้อมกับอำพล สามีของเธอกระซิบถามแพรทองหลังจากหยุดพักการวิดน้ำ

    แพรทองมองอุษาแล้วส่ายศีรษะไปมา เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีกับสิ่งที่เธอกระทำในครั้งนี้
    แม้นว่าเธอยากจะบอกเพื่อนว่า มันเป็นสามัญสำนึกที่ดีซึ่งควรปฏิบัติ แต่ก็พูดไม่ออก เพราะอุษากับเธอนั้นต่างกันสิ้นเชิง
    อุษาเป็นลูกและภรรยาของพ่อค้า และ ภารกิจในแต่ละวันของเธอที่แพรทองรู้ก็คือ การไปปรากฏตัวยังงานเลี้ยงต่าง ๆ เพื่อเป็นการสร้างภาพพจน์ที่ดีให้กับธุรกิจ ขณะที่เธอนั้นมีอาชีพเป็นแอร์โฮสเตสบนสายการบินภายในประเทศที่สิ่งแรกต้องคำนึงถึงในสภาวะฉุกเฉินก็คือ ความปลอดภัยของคนอื่นก่อนที่จะมาถึงตัวเอง

    แต่แล้วความอึดอัดใจของแพรทองก็หมดไปเมื่อ อำพลหันมาดุภรรยาว่า “หยุดเถอะษา มาช่วยกันวิดน้ำดีกว่า แพรทองคงมีเหตุผลส่วนตัวของเธอ” ก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ ให้กับเธอด้วยสีหน้าที่ยังคงเป็นกังวล

    แพรทองส่งยิ้มให้อำพล ก่อนจะเหลือบตามองไปยังอาทิตย์ซึ่งสาละวันกับการวิดน้ำออกจากเรือโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

    “ฝนตก ฝนตก”

    เสียงตะโกนดังลั่น เมื่อเมฆสีดำซึ่งปกคลุมแผ่นฟ้าจนทำให้ท้องทะเลยามบ่ายมืดสลัวจนไม่ต่างจากเวลากลางคืน สลายตัวกลายเป็นฝนห่าใหญ่

    “อยู่เฉย ๆ ครับเดี่ยวเรือล่ม นั่งนิ่ง งงง ”

    “ว๊าย ฝนซัดเข้ามาในเรือแล้ว แย่แล้ว”

    “อยู่เฉย ๆ ครับ อย่าตกใจ เดี่ยวเราล่ม...รัดเสื้อชูชีพให้แน่นเข้าไว้ ถึงจะอึดอัดแค่ไหนก็ห้ามเอาออเด็ดขาด นกหวีดน่ะครับ อย่าลืม ถ้าเรือล่มอย่าลืมนกหวีด เสียงนกหวีดจะมีคนมาช่วยคุณ ..นก

    แต่ไม่ทันที่ชายคนขับเรือจะพูดจบ เสียงนกหวีดก็ดังลั่น ประสานเสียงกันไม่เป็นจังหวะจะโคนทันที ทั้งที่ความหมายของชายสูงวัยก็คือ ให้ใช้นกหวีดเป็นสัญญาณเสียงเมื่อลอยตัวอยู่ในทะเลต่างหาก

    แพรทองหันไปมองสบตากับชายคนขับเรืออย่างหมดเรี่ยวแรง ซึ่งก็ได้รับยิ้มน้อย ๆส่งมาให้อย่างขำ ๆ ก่อนจะเลื่อนใบหน้าไปมองอุษาซึ่งนั่งเป่านกหวีดอย่างไม่ลืมหูลืมตาอยู่ข้าง ๆ แม้ว่าอยากจะบอกให้อีกฝ่ายหยุดการกระทำที่กำลังทำอยู่ แพรทองก็พูดไม่ออก เพราะรู้ดีว่าช่วงระยะเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ขืนพูดไปก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจก้มหน้าวิดน้ำออกจากลำเรือต่อไปอย่างเงียบกริบ สลับกับเงยหน้ามองไปยังเส้นทางข้างหน้าที่เรือเคลื่อนออกข้างหน้า ดุจดั่งนกที่โบยบินอย่างไร้ทิศทาง

    ///////////////////////////////////////

    จากคุณ : ^0^ - [ 8 มิ.ย. 47 11:45:48 A:203.145.22.5 X: ]