CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown



    =[+] ฉิกจับอิด [+]= นิยายจีนร่วมแต่งแนวทดลอง : ตอนที่ 49 ค่ำคืนยาวนานกับความลับในวัดร้าง

    เนื่องจากตอนนี้เป็นเรื่องราวที่ลึกลับซับซ้อน และเกี่ยวข้องกับใต้ดิน ทางลับอะไรพวกนั้น ทีมงานจึงได้อัญเชิญ(ไม่ใช่เรียนเชิญนะ อัญเชิญ!)ผู้เชี่ยวชาญเรื่องถ้ำมาเป็นที่ปรึกษาพิเศษ และผู้นั้นก็คือ คุณ untitled นั่นเอง

    (อิ อิ ล้อเล่นน่ะ แค่แซวกันนิดหน่อย หุ หุ)

    ฮั่นตงชนปะทะเข้ากับคนผู้หนึ่ง เผอิญใช้มือสองข้างคว้าจับช่วงไหล่ของคนผู้นั้นไว้เพื่อพยุงกาย เขาพลันรู้สึกร่างของฝ่ายตรงข้ามนุ่มนิ่มและเรียบลื่น ถัดจากนั้นนาสิกจึงสูดได้กลิ่นหอมละมุน

    เมื่อมองดูพบว่าเป็น...เหวินเหม่ยชิง

    "แม่นางเหวิน!!!" ฮั่นตงอุทานออกมารีบปลดปล่อยร่างของอีกฝ่าย

    ส่วนเหวินเหม่ยชิงคล้ายสูญเสียความสามารถในการพูดจา แก้มสองข้างเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อ ก้มหน้าก้มตามิกล่าวประการใด

    ฮั่นตงเห็นเช่นนั้นรีบพูดอ้อมแอ้มขออภัยอีกฝ่าย ขณะจะซักถามว่าออกมาทำอันใดในยามมืดค่ำ พลันเหลือบไปเห็นที่มืออีกฝ่ายนอกจากสะพายกระบี่เล่มหนึ่งแล้ว ยังถือจดหมายฉบับหนึ่งด้วย

    เหวินเหม่ยชิงเห็นอีกฝ่ายจับจ้องเช่นนั้นก็กล่าวเป็นเชิงต่อว่า

    "ฮั่นตง ท่านเป็นบุรุษใหญ่ผู้หนึ่ง กลับมิสำรวม วิ่งเต้นจนแทบชนข้าพเจ้าล้มคะมำ เวลานี้ยังมาจับจ้องมองมิวางตา" นางแม้นต่อว่า แต่น้ำเสียงเบายิ่ง

    ฮั่นตงปั้นหน้าเคร่งขรึมกล่าวว่า

    "ขออภัยแม่นางเหวิน เนื่องจากข้าพเจ้ามีธุระเร่งด่วน จึงเป็นเหตุให้ชนท่านแทบล้มลง ว่าแต่ท่านออกมาทำอันใดในยามวิกาล ...จดหมายนั่น?"

    เหวินเหม่ยชิงเห็นอีกฝ่ายอธิบายก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ ทว่าใบหน้ายังคงแดงระเรื่อเช่นเดิม

    "ข้าพเจ้าออกไปสืบข่าวคราว สำนักหันซานเราได้มีการวางหน่วยงานในการหาข่าวเอาไว้ทั่วทั้งแผ่นดิน ที่เมืองน้อยนี้ก็มีอยู่แห่งหนึ่ง" กล่าวพลางชูจดหมายในมือ

    "อ้อ" ฮั่นตงกล่าวเป็นเชิงเข้าใจ

    "พวกเราเข้าไปข้างในเถอะ เดี๋ยวผู้อื่นมาเห็นเข้าอีก จะมิเป็นการสมควร" เหวินเหม่ยชิงกล่าวยิ้มๆ จงใจเน้นคำ "ผู้อื่น" ทว่าฮั่นตงเมื่อได้ยินได้แต่ฝืนยิ้ม

    หลังจากตามไปส่งเหวินเหม่ยชิงยังที่พัก และนางขอตัวไปอ่านจดหมายลับตามลำพังแล้ว ฮั่นตงก็กลับเข้าห้องบ้าง จึงเล่าเรื่องที่พบเห็นให้แก่เสี่ยวโกยและฟาหลินซีฟัง

    "พี่ฮั่น เรื่องราวครานี้ มิแน่ว่ามีเบื้องหลังใหญ่หลวง พวกเราต้องสืบดูให้ดีเสียก่อน" ฟาหลินซีกล่าวพลางขมวดคิ้วมุ่น

    "พวกเราไปจับเถ้าแก่นั่นมาสอบถามดีหรือไม่?” เสี่ยวโกยพูดไม่ทันขาดคำพลันพบเห็นเงาคนเคลื่อนไหวที่หน้าห้อง “ผู้ใด!!?" มันร้อง

    "โครม!" ประตูห้องถูกผลักออก ร่างของคนผู้หนึ่งปรากฏที่หน้าประตู

    เป็น...เสี่ยวซา!

    "พี่ฮั่น รีบตามข้าพเจ้ามา" เสี่ยวซากล่าวพลางเข้าฉุดดึงอีกฝ่าย

    ฮั่นตงงุนงง รีบสอบถามมันว่ามีเหตุใด เสี่ยวซาเล่าถึงเหตุการณ์ที่ตนพบเห็นให้ทั้งสามฟังตั้งแต่พบพวกผีตายซากไปจนถึงการหายตัวของพวกมันในวัดร้าง

    "พี่ฮั่นมิแน่นักว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ท่านทราบมา!!" ฟาหลินซีกล่าวทันที

    "พวกเราไปตรวจสอบสถานที่นั้นกันเถอะ!" เสี่ยวโกยกล่างพลางฉวยปังตอคู่มือพลางหันมาขอความเห็นฮั่นตง ฮั่นตงก็พยักหน้า

    "เจ้าโกย เจ้าไปแจ้งให้น้องแซ่เหวินทราบก่อน จักได้มิเป็นห่วง" ฟาหลินซีกล่าว

    "มิต้องแล้ว ข้าพเจ้าได้ยินหมดแล้ว และเราจะไปด้วยพร้อมพวกท่าน" เสียงของเหวินเหม่ยชิงดังขึ้น

    คนก้าวเข้าประตูมา เบื้องหลังติดตามด้วยหลี่ซังซัง

    "เจ้ามิต้องเดินทางไปชุมนุมที่บู๊ตึ๊งหรอกหรือ?" ฟาหลินซีซัก

    "ท่านดูนี่!" เหวินเหม่ยชิงยื่นจดหมายในมือแก่ฟาหลินซีรับไปอ่าน

    "จื่ออิงเลื่อนวันชุมนุมเป็นวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 8!!!" ฟาหลินซีอุทานออกมา

    ในจดหมายลับฉบับนั้นของเหวินเหม่ยชิง ระบุชัดเจน จื่ออิงเลื่อนวันชุมนุมเป็นวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 8 ซึ่งเป็นเวลาถัดจากนี้เพียง 2 วันเท่านั้น

    "เหลือเวลาเพียงสองวัน จากที่นี่ไปบู๊ตึ๊งต่อให้ควบม้าทั้งวันทั้งคืนยังใช้เวลาไม่ต่ำกว่าห้าวัน เช่นนี้ท่านจักไปทันได้อย่างไร" ฮั่นตงกล่าวด้วยความงุนงง

    เหวินเหม่ยชิงยิ้มเนือยๆ รอยยิ้มของนางเต็มฝืนยิ่ง กล่าวว่า

    "เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงคิดไปพร้อมพวกท่าน มิจำเป็นต้องไปบู๊ตึ๊งอีกแล้ว"

    ..........
    ..........................

    คนทั้งหกสาดพุ่งกายไปท่ามกลางความมืดในยามวิกาล โดยมีเสี่ยวซาเป็นผู้นำ และมีเพียงแสงเดือนแสงดาวเท่านั้นที่เป็นเพื่อนร่วมทาง

    "เจ้าโง่! นี่พวกเราโลดแล่นมากว่าครึ่งชั่วยาม เหตุใดยังมิถึงวัดร้างที่เจ้าว่า มิใช่ว่าเจ้าพาพวกเราหลงทางหรอกนะ!!"หลี่ซังซังร่ำร้องเอ็ดตะโรขึ้นมา

    เสี่ยวซามองหน้าหญิงสาวพลางเบ้ปาก กล่าวว่า

    "เจ้าเข้าใจว่าเราเป็นเหมือนเจ้า มีความจำสั้น มิอาจจดจำอันใดได้หรือ?"

    "เพ้ย! ข้าพเจ้าถามดีๆ เหตุใดกล่าวกระทบกระเทียบข้าพเจ้า หรือเจ้าอยากมีเรื่อง!" หลี่ซังซังร้องออกมา พลางปราดเข้าหาอีกฝ่าย จนเสี่ยวซาต้องโบกไม้โบกมือปฏิเสธพัลวัน

    ฮั่นตงเห็นเช่นนั้นรีบกล่าวห้าม หลี่ซังซังเชิดหน้าใส่เสี่ยวซาเป็นเชิงฝากไว้ก่อน ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเสี่ยวโกยและฟาหลินซี เหวินเหม่ยชิงเพียงอมยิ้ม ส่วนตัวต้นเรื่องบ่นอุบอิบพอได้ยินว่า

    "พูดนิดพูดหน่อย ก็ลงมือทุบตี เห็นคนเป็นอะไร"

    "เจ้า! ยังบ่นอันใด!" เด็กสาวตวาดแหว

    เสี่ยวซารีบปฏิเสธ เร่งทำตัวเบานำทางทั้งหมดไปยังวัดร้าง

    ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยามวัดร้างที่ใหญ่โตโอ่โถงก็ปรากฏต่อสายตาคนทั้งหก

    "เป็นอย่างไร หลงทางหรือไม่?" เสี่ยวซากล่าวพลางเดินเฉียดไปข้างกายเด็กสาว หลี่ซังซังเชิดปากน้อยๆ ของนางขึ้นพึมพำออกมาพอได้ยินสองคน

    "รอดตัวไป"

    "น้องสี่ เจ้ามาทำอันใดที่กลางป่าแห่งนี้ ที่นี่นับว่าห่างไกลจากที่พักมากมายนัก" ฮั่นตงหันไปถามเสี่ยวซา

    น้องสี่กลับเป็นคำเรียกขานที่อดีตมือปราบใช้เรียกขานอีกฝ่าย ในเวลานี้เขาเห็นเด็กหนุ่มผู้นี้เปรียบเสมือนพี่น้องของตน และเนื่องจากตนเองนับถือฟาหลินซีเป็นพี่ใหญ่ ส่วนเสี่ยวโกยเป็นน้องสาม ดังนั้นจึงเรียกเสี่ยวซาเป็นน้องสี่

    "พี่ฮั่น ข้าพเจ้ากำลังเดินเล่น ยิ่งเดินยิ่งเพลิดเพลินในที่สุดล่วงเลยเข้าสู่ป่าลึก จนพบกลุ่มคนลึกลับนั้น" เสี่ยวซายังคงเรียกขานอีกฝ่ายเป็นพี่ฮั่น เนื่องเพราะมันเรียกขานจนติดปาก หรือเพราะจงใจลอกเลียนหลี่ซังซัง อันนี้มิอาจทราบได้?

    เสี่ยวซาเดินเข้าสู่ภายใน ภาพของวัดร้างที่ปราศจากผู้คน เต็มไปด้วยฝุ่นและหยากไย่ก็ปรากฏแก่สายตาทุกคน รวมไปถึงพุทธรูปใหญ่นั้นด้วย

    "วัดร้างนี้ก่อสร้างอย่างประณีต วัสดุที่ใช้ก็แข็งแรงคงทนยิ่ง เหตุใดจึงตั้งอยู่ที่กลางป่าห่างไกลผู้คนเช่นนี้?" เสี่ยวโกยกล่าวขึ้นด้วยความสงสัย หลังจากสำรวจดูโครงสร้างของวัด

    "อืม เราเห็นด้วยกับเจ้าโกย ที่แห่งนี้มิน่าจะมีวัด เพราะบริเวณใกล้เคียงมิได้มีชาวบ้านแต่อย่างใด วัดแห่งนี้จะก่อสร้างให้ผู้ใดมานมัสการกัน" ฟาหลินซีเห็นด้วยกับเสี่ยวโกย

    "อาจมีผู้มีจิตศรัทธา สร้างวัดนี้เพื่อถวายเป็นกุศลแก่บรรพบุรุษก็ได้" เสี่ยวซาแสดงความคิดเห็น
    เหวินเหม่ยชิงสำรวจดูโครงสร้างของวัดร้างกล่าวว่า

    "ที่นี่มิใช่วัดร้าง!!!"

    "หือ? ไม่ใช่วัดร้าง" เสี่ยวซาอุทานออกมาด้วยความงุนงง มันเห็นอยู่ชัดๆ ว่าที่นี่เป็นวัด อีกทั้งมิมีพระเณรอาศัยอยู่ ย่อมต้องเป็นวัดร้าง เหตุใดเหวินเหม่ยชิงจึงกล่าวว่า "ที่นี่มิใช่วัดร้าง"

    "แม่นางเหวิน ความเห็นของเจ้า?" ฮั่นตงถามขึ้น

    เหวินเหม่ยชิงเดินพลางใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้ไปตามเสาไม้ สุดท้ายไปหยุดอยู่ที่กระถางธูป กล่าวว่า

    "ในกระถางธูปนี้ ปราศจากเศษเถ้าธุลีของธูปเทียน บนตัวกระถางก็ปราศจากร่องรอยของน้ำตาเทียน คราบเขม่าอันใดที่เกิดจากการเผาเครื่องหอมที่ใช้ในเวลาสวดมนต์ก็หาพบไม่ ยังมีไม้บักฮื้อ(ไม้รูปตัวปลา ใช้สำหรับเคาะเวลาสวดมนต์ของหลวงจีน)เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ไม่มีร่องรอยบุบสลาย ของเหล่านี้เพียงถูกนำมาตกแต่งให้ดูเหมือนวัด แต่มิได้เคยมีพระเณรอาศัยอยู่ที่นี่อย่างเด็ดขาด!"

    ทุกคนได้ฟังเหตุผลของนางต่างพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย หากที่นี่เป็นวัดจริง เป็นไปไม่ได้ ที่ข้าวของเหล่านั้นจะมิผ่านการใช้งาน ถ้าเช่นนั้น สถานที่นี้เป็นเพียงถูกตกแต่งขึ้นมาให้คล้ายกับวัด! แต่มันถูกจัดฉากขึ้นเพื่อจุดประสงค์ใด?!!

    จากคุณ : ทีมแต่งนิยาย - [ 10 มิ.ย. 47 13:45:44 ]