CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown



    +:+Alice and Her Magic Kingdom+:+ตอนที่ 8 ครึ่งแรก

    ขออภัยด้วยค่ะ ตอนนี้ยาวมากๆ เลย ก็งงตัวเองอยู่เหมือนกันว่าพิมพ์เข้าไปได้ยังไง ก็เลยต้องแบ่งเป็น 2 ตอนครึ่งแรกกับครึ่งหลัง
        +:+:+:+:+:+
    ตอนที่ 8 ครึ่งแรก ฝ่าด่าน      
               
               โอเคเฟโนคี หรือที่คนทั้งหลายเรียกขานกันว่าอาณาจักรแห่งอดีตกาลนั้นถึงแม้เราจะรู้ที่ตั้งที่แน่นอน แต่ก็เข้าไปไม่ง่ายนัก มีคำกล่าวว่า

               ...ไม่ใช่ทุกคนที่จะหาพบ...และไม่ใช่ทุกคนที่พบจะเข้าไปได้....
               ...หากว่าคนผู้นั้นไม่ได้มีชะตาเกี่ยวข้อง....และไม่ว่าจะนำเรื่องร้าย หรือเรื่องดี...
               ....อยากรู้จงลองดู...

               นอกจากชาวโอเคเฟโนคีเองแล้ว คนนอกที่ไม่มีชะตากรรมที่เกี่ยวข้องนั้นยากที่จะเข้าไป นอกเสียจากจะได้รับอนุญาตจากผู้ถือกุญแจ...กุมารี เสียก่อน

               ฉันคุกเข่าลงตรงหน้ารูปปั้นกุมารีในวิหารหลวง รูปปั้นหญิงสาวผมยาวไม่มีใบหน้า ศีรษะก้มลงมาราวกับมองพวกเราอยู่ แม้จะไม่มีดวงตาแต่ฉันรู้สึกได้ แขนทั้งสองข้างกางออกราวกับจะโอบอุ้มพวกเราไว้

      “ข้าแต่องค์กุมารี เราได้รับคำแนะนำจากภูติแห่งดินโนม่า เราต้องการความช่วยเหลือจากท่าน ขอได้โปรดเปิดทางให้เราด้วยเถิด”

               หลังจากเสร็จสิ้นการขอพรที่วิหารแล้ว ฉันกับอิลูอิสควบม้าออกจากวิสเบคตรงขึ้นไปทางเหนือ อิลูอิสบอกว่าพอเราออกจากวิสเบคตรงเข้าป่า?!?ก็จะเป็นทางที่จะตรงไปสู่โอเคเฟโนคีที่เร็วที่สุด ป่า?!?เป็นที่ๆ จะบอกว่าน่ากลัวก็ไม่ใช่ แต่ที่แน่ๆคือ มันไม่ปกติ คนที่เคยผ่านเข้าไปแต่ละคนล้วนบรรยายถึงเรื่องที่ตัวเองประสบบ้างเหมือนกันบ้างต่างกัน แล้วเราจะเจออะไรกันบ้างนะ ว่าแล้วฉันก็เหลือบมองผู้ร่วมทาง

      “กลัวหรือครับ?” เขายิ้มให้

      “ไม่หรอก แค่คิดอยู่ว่าเราจะเจอแบบไหน” ฉันว่า “อิลูอิสเคยเข้าไปรึเปล่า”

      “เคยครับ เพราะป่านี่เป็นทางผ่านไปอาณาจักรอื่นๆ แต่ไม่เคยไปถึงโอเคเฟโนคีสักที”

      “แล้วตอนที่เข้าไปเจออะไรมั่ง?”

      “ก็เป็นป่าธรรมดาแหละครับ”

      “แค่นั้น? มันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้นสิ”

      “ป่านี่จะเปลี่ยนไปตามคนที่เข้ามาครับ” เขาหัวเราะหึ “คราวนี้ผมมากับเจ้าหญิงอาจจะไม่เหมือนกับที่เคยเจอก็ได้”          

               แล้วตอนสายเราก็เข้าสู่ปากทางของป่า?!? ชื่อของป่าคงจะได้จากต้นไม้ประหลาดที่โค้งงอเป็นคล้าย?กับ! ล่ะมั้ง พอผ่านเข้าไปมันก็เหมือนป่าทั่วไปอย่างที่อิลูอิสบอกในตอนแรกอยู่หรอก สักพักความเย็นเยือกแผ่ซ่านทุกอนูของรูขุมขน ความมืดเข้าครอบคลุม ตามด้วยความเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่เสียงสัตว์เล็ก สัตว์น้อย ทางก็ดูจะทอดยาวไปไกลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ต้นไม้ที่เคยเรียงรายดูแปลกไป มันเหมือนกับต้นไม้ที่ยืนตายซากมากกว่า กับสิ่งที่เรียงรายอยู่ใต้ต้นไม้เหล่านั้นคือกองดินสูง มีไม้ปักอยู่ให้เห็นเป็นสัญลักษณ์ บางกองไม้ที่ปักไว้ก็ดูจะหลุดหายไปดูๆ ไปก็เหมือนกับ...หลุมศพ ถ้ารวมกับความวังเวงรอบตัวตอนนี้ก็คงจะเปรียบได้กับป่าช้า พอผ่านหลุมศพเหล่านั้นไปก็พบหลุมศพที่น่าจะเป็นของผู้มีอันจะกินจึงได้มีแผ่นหินแกะสลักชื่อเจ้าของตั้งอยู่ บางอันทรุดโทรมเต็มไปด้วยเถาตีนตุ๊กแกเลื้อยเกาะ บางอันก็เหมือนกับมีคนมาคอยขัดถูทำความสะอาดตัวอักษรให้ เราผ่านป้ายหลุมศพเหล่านั้นคำอันบ่งบอกถึงความตายช่างมากมายจริงๆ

             Morning glory...ผักรู้นอน

        Who laid to rest...ผู้ซึ่งทอดกายลงพัก

       Asleep in the deep...หลับสนิทใต้พสุธา

              End it all...จบสิ้นทุกอย่าง

           Daed as a doorknoob...ตายสนิท

           Dead’n’gone...ตายลับไม่กลับคืน

               หรือว่าจะเป็น

       ...แสงสว่าง (Licht) ที่ดับแล้วอยู่ใต้นี้...

               จากรอบด้านที่มีแต่ความเงียบงันกลับมีเสียงพูดคุยกันเบาๆ ก็ดังขึ้นราวกับจัดงานเลี้ยงกันอยู่ เสียงนาฬิกาเก่าๆ ตีบอกเวลาน้ำชา ใช่แล้วตอนนี้เราเหมือนกับอยู่ในวงล้อมของงานเลี้ยงน้ำชา แล้วก็มีแสงเรืองรองขึ้นจากรอบข้างที่เคยทึบทึม

               ทันใดก็มีเสียงกระพือปีกดังพั่บๆ อยู่ใกล้ๆ เสียงร้องแสดงสปีชีย์ก็ดังขึ้น ก๊า~ก๊า เออ...รู้แล้วว่าเป็นกา กาเฉยๆ ไม่ใช่กาเหว่า คงจะไม่มีมีผีดิบ ซอมบี้ มัมมี่ แฟรงค์เก้นสไตน์โผล่ขึ้นมาหรอกนะ แล้วก็พยายามปลุกปลอบใจตัวเองเอาน่ายังมีอิลูอิสอยู่ทั้งคน เหมือนจะรู้เขาหันมายิ้มให้ฉัน

               จากหลุมฝังศพที่เรียงรายเมื่อครู่ก็มีม้าหินเพิ่มขึ้นมา ผู้คนมากมายในชุดงานเลี้ยงน้ำชาทั้งนั่งทั้งเดินกันขวักไขว่

      “สิ่งมีชีวิตเอ๋ย ถ้ายังอยากจะไปต่อจงหยุดพักเสียบ้าง” เสียงผู้ชายท่าทางเปี่ยมอำนาจดังมาจากใต้ผ้าคลุม “ถ้ายังจะมุ่งหน้าต่อไปจะไม่พบสิ่งใดนอกจากทางที่ไม่สิ้นสุด”

               อิลูอิสลงจากม้า ฉันก็คงจะต้องทำตามเราปล่อยม้าไว้

      ‘เจ้าหญิง~’ โลธอนกระซิบ ‘ผมว่ามันชักจะยังไงๆอยู่น่า’

      “ไม่เป็นไรหรอกน่า เราอยู่กันตั้ง 4 ชีวิต ” ฉันกระซิบตอบพลางลูบจมูกมันเบาๆ “ซัมเมอร์ก็อยู่เป็นเพื่อนเธอนะ” ฉันพยักหน้าไปทางม้าของอิลูอิส แล้วเดินตามอิลูอิสไปยังโต๊ะหินที่ชายในผ้าคลุมนั่งอยู่

      “เชิญนั่งสิ” มือที่เหลือแต่กระดูกเหลืองๆ ยื่นออกมาจากใต้ผ้าคลุมสีดำขาดวิ่น ผายไปทางม้านั่งหินที่ยังว่างอยู่ ฉันจึงได้เห็นใบหน้าที่มีเพียงกะโหลกเท่านั้น “ฉันคือ เดอะ เดท ที่ 13” เขาเห็นฉันมองอยู่จึงดึงฮู้ดลงให้เห็นชัดๆ เขาเหมือนกับไพ่เดอะ เดทเลย ทั้งน่ากลัว และน่าเกรงขาม มีร่างที่ดูจะผุพังมานานแล้วในชุดสาวใช้ยกน้ำชามาให้พวกเรา แปลกจริงมีกลิ่นหอมของน้ำชา รวมทั้งความร้อน

      “นั่นเป็นชาสำหรับสิ่งมีชีวิตไม่ใช่ของคนตาย ดื่มซะสิ”

               ฉันมองไปรอบๆ แสงที่วับแวมทำให้มองพอจะมองเห็นว่าผู้คนที่อยู่รอบๆ นั้นต่างไร้ชีวิต บ้างก็เหลือแต่โครง บ้างก็กำลังเปื่อย บางคนหนอนขึ้นยุ่บยั่บ มีแม้คุณผู้หญิงที่ถือหัวของเธอต่างกระเป๋าที่วางหัวของเธอลงไว้บนโต๊ะ สนทนาและดื่มน้ำชากันอยู่  

      “งานน่าสนุกดีแต่มืดไปหน่อยสำหรับงานเลี้ยงน้ำชา” อิลูอิสกล่าวเรียบๆ ยกน้ำชาขึ้นจิบ

      “เราอยู่กับแสงสว่างมาทั้งชีวิตแล้ว จะอยู่กับความมืดยามสิ้นชีพบ้างเป็นไร” เดอะ เดทกล่าวพลางหัวเราะจนกระดูกในตัวเขากระทบกันเสียงดัง “ความมืดมิได้น่ากลัวเลย จิตใจสิน่ากลัวกว่า” เขามองหน้าเราสองคนแล้วหันมาพูดกับฉัน “ถ้าต้องการจะไปต่อ จงทำให้พวกเรายอมรับ” พอฉันจะอ้าปากถาม เขาก็ยกมือขึ้นห้าม “ฉันชอบถามคำถาม ดังนั้นจงหาคำตอบมาให้ฉัน แม่สาวน้อย” เขายิ้ม อย่างน้อยฉันก็รู้สึกอย่างนั้น

      “อะไรเอ่ยที่มักบินโฉบมาฉายแสงในคืนที่มืดมิด มักจะระเริงกางปีกอยู่เหนือความโศกเศร้ากับความสุข และความยินดีของมนุษย์ทั้งหลาย คนทั้งโลกเรียกร้องหามันทุกค่ำคืน และมันก็เกิดได้ทุกค่ำคืน แต่รุ่งสางสว่างมามันก็จะพลันสลายตายไป แต่บางคนยังพยายามรักษาให้มันอยู่แม้แต่ตอนกลางวัน มันจะเกิดและมันจะตาย...เวียนว่ายไปไม่จบสิ้น” นั่นคือคำถามของเขา

    (มีต่อ)
    ..........................................................
    รูป เดอะ เดท ที่ 13 ที่เท่ที่สุดเท่าที่จะหาได้

     
     

    จากคุณ : Miran - [ 14 มิ.ย. 47 16:23:03 ]