CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown



    นาตาลีแม่มดน้อยแห่งรัทแลนด์ ^ ^

        ..ฉันจะแปลงเป็นนกน้อย
        ด้วยความเศร้าโศกา
        ละห้อยหาและระมัดระวัง
        ฉันจะเข้าไปในนกน้อยด้วยนามของมาราธิราช..

    นาตาลี  ฟลาวเวอร์  พยายามท่องคาถาที่แม่สอนให้อย่างจริงจัง  แม่ของเธอ  นางโจน  ฟลาวเวอร์ขบขันลูกสาวตัวน้อยวัย 10 ขวบ  ที่กำลังหลับตาและก็หมุนตัวไปมา  พลางพึมพำร่ายคาถาบทไอโซเบลที่เธอพึ่งสอนไปหมาดๆ  อยู่ภายในห้องครัวอันโอ่โถงของปราสาทเบลวัวร์ของเอิร์ลแห่งรัทแลนด์   คาถานี้เป็นคาถาที่ไอโซเบล กาวดี้ แห่งเมืองโอลเดิร์นในสก๊อตแลนด์  เป็นผู้คิดขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1662  

    “แม่ขา  หนูจำคาถาได้หมดแล้วนะคะ  แล้วเมื่อไหร่หนูจะใช้คาถานี้ได้จริงๆ ซักที” นาตาลีบ่นอย่างถอดใจ  เมื่อเด็กน้อยท่องคาถาจบไป 20 รอบ

    “อะไรกันจ๊ะลูกรัก  ท่องได้หมดแล้วเหรอ  เก่งจังลูกรัก  แต่ลูกก็รู้ดีนี่ว่าลูกจะต้องผ่านพิธีสาบานเสียก่อนถึงจะใช้คาถาได้” โจนอดทึ่งในความสามารถของนาตาลีไม่ได้  ในขณะที่มือข้างหนึ่งถือทัพพีคนสตูว์เนื้อที่กำลังเดือดปุดๆ ซึ่งเป็นอาหารเย็นของท่านเอิร์ลนายของเธอ  ที่นางสอนคาถาบทนี้ให้เพราะทนเสียงรบเร้าของนาตาลีไม่ไหว  และคอยรบกวนการทำงานของเธออยู่เนืองๆ นางโจนก็เลยหาคาถายากๆ มาสอนเพื่อตัดความรำคาญ  แต่ไม่นึกเลยว่าลูกสาวของเธอจะจำคาถาที่ยาวเหยียดได้ในเวลาไม่นาน  ลูกสาวคนเล็กของเธอมีพรสวรรค์ยิ่งกว่าพี่สาวคนโตเสียอีก

    “แล้วเมื่อไหร่หนูจะได้เข้าพิธีสาบานเหมือนพี่อากาธาล่ะคะ” นาตาลีถาม  พลางมองพี่สาวของเธอที่กำลังนั่งปอกหัวหอมใหญ่อยู่อีกด้านหนึ่งของห้องด้วยความอิจฉา  

    นี่คือเหตุผลหนึ่งว่าทำไมเด็กหญิงตัวน้อยถึงรีบอยากเรียนรู้คาถานัก ก็เพราะนาตาลีทราบมาว่าคืนนี้  คืนที่พระจันทร์เต็มดวงในเดือนกุมภาพันธ์  หรือวันแคนเดิลมาสต์   อากาธาพี่สาวในวัย 13 ปี  จะได้ผ่านพิธีสาบานตนเป็นครั้งแรก  และได้เป็นสมาชิกสมาคมพ่อมดแม่มดแห่งรัทแลนด์อย่างเป็นทางการ    

    “ลูกก็รู้นี่ว่าจะเข้าพิธีนี้ได้ลูกต้องมีอายุถึงกำหนดเสียก่อน”

    “แม่หมายถึงต้องมีระดูก่อนใช่ไหมคะ  ถึงจะไปร่วมพิธีได้”

    “ใช่แล้วจ๊ะลูกรักของแม่  ลูกต้องผ่านเส้นคั่นระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ก่อนถึงจะเข้าร่วมพิธีเป็นแม่มดได้”

    “งั้นแม่ร่ายคาถาให้หนูดูหน่อยได้ไหมคะ  เอาคาถาไอโซเบลก็ได้  หนูยังไม่เคยเห็นแม่แปลงร่างซักที”

    “ไม่ได้หรอกจ๊ะ  แม่ก็บอกลูกตั้งหลายครั้งแล้วว่า  เราจะร่ายคาถาพร่ำเพรื่อให้ใครเห็นไม่ได้  มันเป็นความลับ  เราจะใช้ในยามจำเป็นเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์  หรือเฉพาะแต่ในวันพิธีชุมนุมเท่านั้น”

    “ว้า.. หนูอยากเห็นจริงๆ นี่คะ  และก็อยากไปร่วมพิธีเหมือนพี่ด้วย” ลูกสาวตัวน้อยของเธอบ่นอย่างน้อยอกน้อยใจ   แม่ของเธอไม่ได้พูดอะไรต่อ    ได้แต่ลงมือทำงานของเธอต่อไป   นาตาลีงอนอยู่ซักพัก  เมื่อเห็นว่าแม่ไม่มีท่าทีให้ความสนใจต่อเธอ   นาตาลีก็เลยไปเล่นอยู่กับเจ้ารัทเทอร์คินแมวดำที่แม่เลี้ยงไว้แทน  

    เด็กหญิงอุ้มรัทเทอร์คินไปเล่นที่ริมน้ำชายป่านอกปราสาทใหญ่  เธอเด็ดดอกไม้มาร้อยเป็นมงกุฎเล็กๆ  แล้วนำไปสวมให้กับรัทเทอร์คิน  เจ้าแมวร้องเมี้ยวๆ พลางใช้ขาหน้าเขี่ยมงกุฎดอกไม้ให้หลุดออก  นาตาลีจับแมวให้อยู่นิ่งๆ พร้อมกับพูดอย่างอารมณ์เสีย

    “อยู่นิ่งๆ สิรัทเทอร์คิน   เดี๋ยวดอกไม้ก็เละหมดหรอก”

    “เธอร้อยดอกไม้ได้สวยจังเลยนะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมา  เด็กหญิงหันไปมองทางต้นเสียงก็เห็นเด็กผู้ชายร่างผอมบางเดินออกมาจากชายป่า  

    “เธอเป็นใครน่ะ  ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อนเลย  พึ่งมาอยู่ใหม่หรือ”

    “จะว่าอย่างนั้นก็ได้” เด็กชายตอบ  

    นาตาลีสังเกตเห็นว่า  เด็กผู้ชายคนนี้มีนัยน์ตาสีดำสนิท  และมีเส้นผมเป็นสีดำเงางาม  อายุอานามคงอยู่ในวัยใกล้เคียงกับเธอ  หรืออาจมากกว่าเธอนิดหน่อย  แต่ดูจากหน้าตาและผิวพรรณแล้ว  ช่างผิดแผกแตกต่างจากเด็กผู้ชายในแถบนี้เป็นอย่างมาก  เด็กหญิงแนะนำตัวเธอเอง  แล้วเธอก็ถามชื่อของเด็กชายผู้มาใหม่

    “เธอเรียกฉันว่าบอนด์ก็ได้  ฉันชอบชื่อนี้” เด็กชายตอบ  แล้วถือวิสาสะนั่งลงข้างๆ  และก็กล่าวต่อไปว่า

    “ดูเธอหงุดหงิดจังนะ  มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

    ถึงจะพึ่งเคยพบหน้าเป็นครั้งแรก  แต่นาตาลีกลับมีความรู้สึกว่า  เด็กชายผู้ให้เธอเรียกเขาว่าบอนด์ดูอบอุ่นและเป็นมิตรดี  เหมือนได้เจอคนคุ้นเคย  เธอจึงเล่าเรื่องแม่กับพี่สาว  และก็เรื่องที่ครอบครัวเธอเป็นแม่มดให้ฟัง  เมื่อถึงตอนท้ายเด็กหญิงก็เอ่ยว่า

    “ฉันน่ะอยากไปพิธีนั้นมากๆ เลยนะ  แต่แม่ไม่ยอมให้ไป  ฉันอยากเห็นกับตาจริงๆ ว่าการใช้คาถาที่แท้จริงมันเป็นยังไง”

    “เมื่อกี้เธอบอกฉันว่าคืนนี้จะมีพิธีชุมนุมอีกครั้งใช่ไหม  ถ้างั้นเราก็แอบย่องออกไปดูด้วยกันสิ  ฉันเองก็อยากจะเห็นเหมือนกัน”

    นาตาลีตกใจกับความคิดของบอนด์  เธอจ้องไปที่ดวงตาที่มีประกายแห่งความซุกซน  แต่แฝงไว้ด้วยความสุขุมแบบผู้ใหญ่อยู่ในที  

    “มะ ไม่ได้หรอก  ทุกทีที่มีการชุมนุม   แม่จะล็อคห้องฉันไว้ไม่ให้ออกมา”

    “ไม่  คืนนี้จะไม่เหมือนคืนไหนๆ เธอจะเห็นว่าห้องของเธอจะไม่ถูกปิดกั้นใดๆ ทั้งสิ้น”

    “เป็นไปไม่ได้หรอก  ฉันเคยลองตั้งหลายหน  ประตูไม่เคยเปิดได้เลย  แม่ล็อคไว้แน่นมาก”

    เด็กชายผู้ลึกลับยิ้ม  เขากล่าวว่า “เอาเป็นว่าเธอลองดูก็แล้วกัน  แล้วฉันจะคอยเธออยู่ที่นี่ตอนเที่ยงคืน”

    คืนนั้น  แม้ว่านางโจนจะพาลูกสาวของเธอเข้านอนแต่หัวค่ำ  แต่นาตาลีกลับตาสว่าง  พลางนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง  และเฝ้ารอเวลาตอนเที่ยงคืน  บางทีเธอก็ลองลุกไปผลักประตูดู  เธอพบว่าประตูไม้บานหนายังคงถูกปิดล็อคเฉกเช่นทุกครั้ง     จนกระทั่งถึงเวลานัดหมาย  ทุกสิ่งทุกอย่างภายในปราสาทตกอยู่ในความเงียบงัน  นาตาลีไม่แน่ใจว่าปกติแล้วเวลาเที่ยงคืน  ปราสาทหลังใหญ่ที่มีคนพลุกพล่านจะเงียบและวังเวงได้ถึงขนาดนี้  

    เสียงคลิ้กเบาๆ ดังมาจากทางหน้าประตู  นาตาลีสะบัดผ้าห่มออกจากตัว  แล้วคว้าเทียนไขเหนือเตียง  เดินเงียบกริบออกไป  แล้วทดลองผลักประตู  

    ประตูเปิดออกอย่างง่ายดาย  เด็กหญิงตัวน้อยเก็บความแปลกใจไว้กับตัว  แล้วก็เดินท่อมๆ ออกไปนอกปราสาทด้วยใจไหวหวั่นระคนตื่นเต้น  ราวกับเธอจะได้ออกไปสำรวจโลกใหม่ที่แอบซ่อนอยู่ในลืบแห่งรัตติกาล   ที่ชายป่าอันเป็นจุดนัดพบ  เด็กชายแปลกหน้าเมื่อกลางวันยืนคอยเธออยู่แล้ว  ในมือของเขาก็ถือเทียนไขเช่นกัน  แล้วเด็กชายก็พาเธอเข้าไปในป่าเบื้องหน้า  ที่ตั้งตระหง่านดุจกำแพงสีดำผืนใหญ่   เด็กทั้งสองเดินจูงมือกันไปร่วมครึ่งชั่วโมงตามทางเดินในป่า    จนพวกเขาบรรลุถึงลานกว้างแห่งหนึ่ง  ซึ่งความดำมืดยามวิกาลถูกขับไล่ด้วยแสงจากไฟกองใหญ่ตรงกลางลาน  มีผู้คนมาชุมนุมกันเกือบร้อยคน  เมื่อเด็กทั้งสองเข้าไปแอบซุ่มอยู่ในพุ่มไม้ที่ใกล้ลานกว้างที่สุด  และเมื่อนาตาลีมองออกไป  ภาพที่เห็นทำให้เธอตกตะลึงตัวเย็นเฉียบ

    ภาพที่เด็กหญิงเห็นคือกลุ่มแม่มดพ่อมด  กำลังเต้นรำและดื่มกินอย่างหัวปักหัวปำ  บางพวกก็กำลังเต้นไปรอบๆ อัคคีกองใหญ่  พวกเขาไร้ซึ่งอาภรณ์ใดๆ ปกปิดร่างกายทั้งสิ้น  หลายต่อหลายคนร่วมเสพเมถุนหมู่กันอย่างกับคนหิวกระหาย  โดยไม่สนว่าใครเป็นใคร  ผู้ชายหรือผู้หญิง  อายุมากหรือน้อย  แม้กระทั่งร่วมรสกับแพะก็มี   อีกด้านของอัคคีมีรูปปั้นสีดำมันลำตัวเป็นคนแต่หัวเป็นแพะเขาโค้งดูน่ากลัว  แต่สิ่งที่ทำให้นาตาลีกลัวจนเกือบร้องออกมาให้คนอื่นได้ยิน  ถ้าไม่ได้มือของเด็กชายรีบมาปิดปากไว้   บนแท่นพิธียกสูงร่วม 1 เมตรที่วางอยู่ด้านหน้ารูปปั้นนั้น  อากาธาพี่สาวของเธอยืนเปลือยกายล่อนจ้อน   รอบแท่นมีกลุ่มผู้หญิง 13 คนยืนล้อมรอบอยู่  หนึ่งในนั้นคือแม่ของเธอ

    “เธอกำลังปวารณาตัวเป็นหนึ่งในนั้นต่อหน้ารูปปั้นซาตาน  พวกผู้หญิงกลุ่มนั้นคือพยาน” เด็กชายกระซิบบอก  ปลายเสียงเหมือนสั่นเล็กน้อย

    อากาธาเอามือวางไว้บนศีรษะ  งอขาซ้ายทอดไปเบื้องหลัง  วางมือซ้ายไว้บนส้นเท้า  พร้อมกับกล่าวคำสาบานต่อซาตาน  เมื่อกล่าวจบ  นางโจน  ฟลาวเวอร์  แม่ของเธอก็ประกาศด้วยเสียงอันดังว่า

    “บัดนี้เจ้าชายแห่งมาราธิราชได้เสด็จมาถึงแล้ว  ข้าขออัญเชิญบีเซลบับ เจ้าชายแห่งมาราธิราชผู้เป็นประธานของพวกเจ้า  มารับพรหมจรรย์จากสาวบริสุทธิ์เป็นเครื่องบูชาอันสูงค่า  และต้อนรับเธอเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเรา”

    สิ่งที่ได้ยินและภาพที่เห็นต่อจากนั้น  ทำให้นาตาลีคลื่นไส้และอาเจียนออกมา  พร้อมกับน้ำตาที่ไหลพราก  ชายร่างกำยำคนหนึ่งซึ่งเปลือยกายล่อนจ้อน  บนศีรษะมีหัวแพะสต๊าฟสวมอยู่  ตรงกลางลำตัว  อวัยวะแห่งความเป็นชายตั้งแข็งตระหง่านชูชันน่าขนลุก  อากาธาสั่นไปทั่วทั้งตัวในขณะที่นอนทอดร่างบนแท่นพิธี  แล้วชายผู้นั้นก็ทำการล่วงล้ำเข้าไปในกายของเธอ  โดยมีเหล่าพยานจับมือและเท้าขึงไว้  อากาธาร้องและทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด  แม่ของเธอยืนดูลูกสาวถูกกระทำชำเราด้วยท่าทีสงบนิ่ง  ขณะที่ถูกพร่าพรหมจรรย์ไป  โลหิตไหลรินไปตามหน้าขา  ชายผู้ถูกสมมุติเป็นบุตรชายแห่งซาตานนำเลือดไปละเลงที่รูปปั้น  และสวดสรรเสริญให้กับพระเจ้าของพวกเขา

    นาตาลีรู้สึกตัวอีกทีเมื่อมือของเด็กชายแตะไปที่ไหล่  และพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ถอยกลับ  เธอตามบอนด์ออกไปจนถึงนอกชายป่า  เด็กชายเดินไปส่งเด็กหญิงถึงหน้าปราสาท  เขาร่ำลาเธอแล้วก็เดินหายเข้าไปในป่าอีกครั้ง  เธอเกือบจะแน่ใจว่าเด็กชายผมดำคนนี้แทบจะหายไปในอากาศเสียด้วยซ้ำ

    หลายวันต่อมา   นาตาลีก็เปลี่ยนไป  เธอเอาแต่นั่งซึมเซาเหม่อลอย  และเอาแต่หลบหน้าหลบตาอยู่ด้านนอกปราสาท   ดูเหมือนเด็กหญิงคอยหวาดผวาต่อแม่และพี่สาวของเธอตลอดเวลา  ทั้งๆ ที่นางโจนและอากาธาก็ทำตัวเหมือนปกติทุกอย่าง  ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นในคืนนั้น   และนาตาลีก็ไม่ยอมเรียนคาถาจากแม่ของเธอเลย  จนนางโจนเกิดความสงสัย  แต่เธอไม่ได้สืบสาวอะไรมากมาย  เธอเข้าใจว่าลูกสาวคนเล็กคงจะเบื่อที่จะท่องจำคาถา  และอยากไปเที่ยวเล่นข้างนอกตามประสาเด็กมากว่า  โดยหารู้ไม่ว่า  นาตาลีนั้นทั้งรังเกียจและขยะแขยงต่อพฤติกรรมของนางโจนเป็นยิ่งนัก    

    เด็กหญิงไม่กล้าบอกเล่าเรื่องที่เธอพบเห็นให้ใครฟัง   เธอได้แต่เฝ้ารอพบเด็กชายลึกลับที่ไปร่วมชมเหตุการณ์  ในคืนวันแคนเดิลมาสต์วิปลาสที่ชายป่าอยู่เงียบๆ  แต่ว่านับตั้งแต่คืนนั้นแล้ว  นาตาลีก็ไม่พบเห็นเด็กชายอีกเลย  เธอเดินหาไปทั่วบริเวณ   ทั้งในปราสาทแล้วก็หมู่บ้านในละแวกนั้น  แต่ก็ปราศจากวี่แววแต่อย่างใด   และไม่เคยมีใครพบเห็นเด็กที่มีลักษณะดังกล่าว  ราวกับว่าเด็กชายคนนั้นไม่เคยเหยียบย่างมายังดินแดนแถบนี้เลย   เธอจึงได้แต่เก็บความฉงนฉงายไว้ในใจ   จนกระทั่งวันหนึ่งหลังวันวาลเพอกิชนาชหรือวันสิ้นเดือนเมษายน   เรื่องที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตของเด็กหญิงตัวน้อยก็ได้เริ่มเปิดม่านขึ้น

    วันนั้นนาตาลีนั่งปอกเปลือกผลไม้ช่วยนางโจนกับพี่สาวอยู่ในครัว  เธอเริ่มทำใจได้บ้างแล้วและพยายามทำตัวให้เป็นปกติ  เพราะถึงอย่างไรแม่ก็คือแม่  นางโจนยังคงใจดีและให้ความอบอุ่นแก่เธอเสมอ  แต่กระนั้นนาตาลีก็ยังคงเก็บเนื้อเก็บตัวไม่พูดไม่จากับใคร  เธอจะเอ่ยปากก็ต่อเมื่อแม่ถามเท่านั้น   วันนี้แม่ของเธออารมณ์ดีเป็นพิเศษ  เธอทำอาหารไปแล้วก็ร้องขับลำนำเป็นบทกวีไป

    แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 47 19:19:30

    แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 47 02:23:28

    แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 47 22:06:01

    จากคุณ : ณัฐกร - [ 15 มิ.ย. 47 21:53:10 ]