CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown



    คงไม่ว่ากันนะครับ..ที่ผมเอาเรื่องนี้มาเขียนใหม่ เพื่อจะได้จบซะที..

    1)
    เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ผมไม่อยากจะเล่า
    เพราะมันเป็นเรื่องที่น่าอับอายเหลือเกินจะทนจะทานได้
    นี่ถ้าไม่ได้เห็นว่าผมได้หายเงียบไปนานนักหนาแล้วล่ะก็ เป็นไม่เล่าเด็ด ๆ
    เอ้าจริง ๆ นะ ไม่เล่าให้ยอมเด็ดเลยจริง ๆ
    ****

    ไม่นานมานี่ผมมีธุระไปทำงานที่ต่างจังหวัด
    ไกลมากจนผมตัดสินใจไม่ขับรถไป
    ที่ไม่ขับรถไปก็เพราะว่าสงสารตัวเอง
    กับระยะทางกว่าเจ็ดร้อยกิโลฯ นั้นไม่ใช่เล่น ๆ นะครับ
    ยิ่งรถที่ใช้อยู่เป็นรถรุ่น “เหลือใช้” ด้วยแล้ว
    กว่าจะขับไปถึงที่หมายได้ มือข้างที่จับประตูอยู่ไม่ให้มันหลุดนั้นก็คงจะเป็นเหน็บ
    หรือไม่ก็ต้องจอดข้างทางชั่วโมงละสองครั้งเพื่อเติมน้ำที่หม้อน้ำและเติมน้ำมันที่ถังน้ำมัน
    หรือไม่(อีกที)ก็ไปไม่ถึง
    เพราะมันไม่ยอมจะไป จอดแอ้งแม้งรอช่างมาลากเข้าอู่
    อุ่ซึ่งเปรียบเสมือนบ้านที่แท้จริงของมัน(เพราะไปอยู่บ่อยเหลือเกิน)
    อันจะทำให้ผมไปทำธุระไม่ได้เสียเปล่า ๆ

    ผมจึงตัดสินใจขึ้นรถไฟ ตีตั๋วนอนไปซะด้วย
    เขาเรียกว่าชั้นดีหนึ่งประเภทหนึ่งเลยหนา
    ค่าตั๋วหลายร้อยอยู่ แต่ก็ถือว่าคุ้มหากจะเทียบกับค่าน้ำมันถ้าผมจะขับรถไปเอง
    แถมยังได้นอนอย่างสบายอีกต่างหาก
    ผมเคยขึ้นมาครั้งนานหลายปีแล้ว ยังติดอกติดอยู่จนถึงเดี๋ยวนี้
    *****

    เมื่อไปถึงสถานีวัวลำพอง
    รถไฟขบวนที่ผมต้องอาศัยมันไปจอดยิ้มเผล่รอผมอยู่แล้ว
    จัดแจงเลือกที่นั่งตามที่ระบุไว้ที่ตั๋ว และเก็บข้าวเก็บของเรียบร้อย
    เห็นว่ายังเหลือเวลาอีกพักใหญ่ จึงเดินลงมาหาอะไรดื่มเล่น ๆ
    ตอนนั้นประมาณหกโมงกว่า ๆ เห็นจะได้
    ผู้คนมากมายเดินไปเดินมา
    บ้างลงจากรถขบวนหนึ่ง
    บ้างก็กำลังจะเดินขึ้นรถอีกขบวนหนึ่ง
    แต่สิ่งที่ผมสนใจตอนนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่า
    ร้านขายเบียร์..
    เอิ๊กซ์...
    ****

    ในที่สุดก็หาเจอจนได้
    ซื้อตุนมาไว้นิดหน่อย เพราะมากกว่านั้นจะเป็นภาระต่อการถือจนเกินไป
    ผมเดินแบกเบียร์สิบกระป๋องนั้นขึ้นรถไฟ
    ผู้โดยสารหลายคนหันมามองผมเป็นตาเดียว
    ด้วยความเขินผมเลยต้องเดินช้า ๆ
    จริง ๆ กะว่าจะให้คนอื่นเขาเปรี้ยวปากอย่างผมบ้าง
    แล้วก็ได้ผล
    มีชายคนหนึ่งเรียกผมไว้
    “น้อง เบียร์ป๋อง”
    ผมหันซ้ายขวา..เพื่อพิสูจน์ให้แน่ใจว่าเขาเรียกผมจริง ๆ
    "น้องนั่นแหละ..ซื้อเบียร์กระป๋องซิ.."
    ผมฉุนวูบ..
    อะไรกันฟะ??
    บุคลิกของนักธุรกิจใหญ่อย่างนี้
    ผมก็เรียบกริบจากการหวีเป๋ปกปิดร่องรอยลานจอดเครื่องบินตรงหน้าผาก
    แว่นตาที่สวมก็แสนแพง
    เพียงเพื่อจะปกปิดความหวานและคมกริบของดวงตาไม่ให้ไปบาดหัวใจใครเขาเข้าก็เท่านั้น
    รูปร่างก็บึกบึนสมชายชาตรี เคยเอาไม้บรรทัดขนาดหนึ่งฟุตวัดได้ยังไม่หมด(บรรทัด)
    จึงไม่ต้องพูดล่ะว่ามัดกล้ามที่หน้าอกหน้าใจจะขนาดไหน
    เสื้อที่สวมใส่ก็ใช่ว่าจะไร้ยี่ห้อ ตัวละเก้าสิบเก้าสองตัวร้อยห้าสิบ
    กางเกงยีนส์เนื้อดีผ้าแข็งโป๊กนั้นเล่า ให้เอาเงินมาเป็นพันก็ไม่ขาย
    (จะขายได้ยังไงก็เอามาแค่ตัวเดียว..)
    แล้วยังไง..มาเห็นผมเป็นคนขายเครื่องดื่มไปได้
    ฉุนเฟ้ย..
    *****

    แต่แล้วความฉุนของผมก็เริ่มคลาย
    ท่าทางผมคงคล้ายคนเร่ขายเครื่องดื่มบนรถไฟเป็นแม่นมั่น
    ยิ่งเห็นสีหน้าท่าทางของเจ้าของเสียนั้น..เขาคงจะอยากเบียร์เหมือนผมแน่ ๆ
    ไหน ๆ ก็คอเดียวกัน แบ่งให้ซักกะป๋องจะเป็นไร
    แต่ขอโทษ...
    แหะ..ไม่ฟรีนะครับ
    *****

    ชายคนนั้นอายุอานามคงใกล้ผม
    เขามาพร้อมกับภรรยาของเขาซึ่งกำลังบวมเต็มที่
    หลังจากเบียร์กระป๋องแรกหมดและกระป๋องที่สองพร่องไปเกือบครึ่ง
    (ผมให้เขาฟรี..ก็เริ่มเป็นคนรู้จักแล้วนี่คับ)
    ผมก็รู้ว่าเขาใกล้จะได้ลูกเต็มที
    ที่เดินทางในวันนี้ก็เพราะจะกลับบ้านเพื่อให้ภรรเมียไปคลอดที่บ้านนั่นเอง

    เราคุยกันอย่างถูกคอ
    คุยอะไรกันบ้างนั้นตอนนี้ขออนุญาตไม่เล่าล่ะครับ
    เพราะขี้เกียจนึกคำพูดในเครื่องหมายฟันหนูให้เยิ่นเย้อ
    เอาเป็นว่านอกจากคอของผมจะถูกกับเขาจนสะอึกอึ๊กส์ ๆ แล้ว
    ภรรเมียของเขาก็เริ่มที่จะคุยกับผมอย่างสนิทสนมคุ้นเคยมากขึ้น
    ****

    ภรรยาของชายคนนั้นที่ผมรู้ชื่อตอนหลังว่าคุณนิเวศน์
    เป็นผู้หญิงที่หากไม่ท้องแล้วคงสวยมาก
    แม้ตอนนี้จะดูบวมเนื่องจากต้องกินยาบำรุงและทานอาหารเผื่อลูกน้อย
    แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าผิวของหล่อนนั้นนางงามยังอาย
    เป็นผิวของคนชาวเหนือแต๊ ๆ
    วงหน้าสดใสเต็มไปด้วยเลือดฝาด
    ขนาดผมเป็นคนที่ไม่สนใจเมียชาวบ้านเขานะเนี่ย
    ยังอดชื่นชมไม่ได้

    นึก ๆ แล้วก็ให้อิจฉาไอ้หนุ่มหน้าจืดคนนั้น
    หล่อก็ไม่หล่อไหงมีเมียสวยไปได้
    คนหล่ออย่างผมทำไมอาภัพหนักหนาก็ไม่รู้สิครับ
    ผู้หญิงสวย ๆ ไม่มีเข้ามาใกล้สักคน
    ที่ยอมเข้าใกล้ก็บังคับให้คบเป็นเพื่อนบ้าง ให้เป็นน้องสาวบ้าง
    มันน่าน้อยใจเป็นยิ่งนัก

    รถไฟเคลื่อนขบวนออกจากชานคนแก่
    หรือคุณ ๆ จะเรียกว่าชานชาลาก็ตามใจ-มาได้พักใหญ่
    ผมกับครอบครัวของนายนิเวศน์ก็ยังคงคุยกันอย่างออกรส
    อาจจะเป็นเพราะเบียร์สิบกระป๋องนั่นหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
    ที่ทำให้พวกเขาหลุดปากเชิญให้ผมไปบ้านเขาในทันทีที่เสร็จธุระ
    บังเอิญบ้านเขาอยู่ในตัวจังหวัดที่ผมกำลังจะไปทำงานพอดี
    ผมก็เลยรับปากรับคำหัวเราะฮิฮะกับเขาไป
    จนกระทั่งรถวิ่งเลยนครสวรรค์มาได้พักเบ้อเริ่ม
    เหตุการณ์อันหน้าหวาดเสียวก็เกิดขึ้น

    “โอย..ตายล่ะ..ฉันเจ็บท้องแล้ว..”
    เป็นเสียงของภรรยาคนสวยของนิเวศน์
    หน้าของหล่อนเหยเกผิดรูปไป
    มือจับท้องที่นูนต่ำลงมาอย่างเห็นได้ชัด

    “สงสัยจะคลอดแล้วล่ะพี่เวศน์..น้ำเดินแล้วด้วย..”
    เป็นเสียงกระท่อนกระแท่นที่กระทุ้งเข้ามาในหัวใจของผม
    อะไรจะรีบร้อนขนาดนั้นวะไอ้หนูน้อย
    อยู่ ๆ คิดจะออกก็ไม่มีปี่มีขลุ่ยนำหน้าอย่างชาวบ้านเขาบ้างเลยรึ??

    ผู้คนมุงดูกันเข้ามาเพื่อร่วมเหตุการณ์
    และเพื่อร่วมเป็นตัวประกอบในการเล่าเรื่องนี้ของผม
    มีหลายคนเรียกหาหมอหรือพยาบาล
    มีบางคนวิ่งไปดึงสัญญานฉุกเฉินให้พขร.หยุดรถ
    มีบ้างคนส่งเสียงวี๊ดว้ายกระตู้วู้ให้เป็นที่วุ่นวายสับสน
    ส่วนเจ้าสามีขี้เมานั้นหน้าซีดเผือด
    หยิบโน้นหยิบนี้จับโน่นจับนี่จนมั่วไปหมด

    ผมเองนั้นก็ใช่ว่าจะทำอะไรได้ดีไปกว่าคนอื่น
    แอลกอฮอล์ที่สะสมไว้ประมาณสี่ห้ากระป๋องเริ่มออกฤทธิ์
    รู้สึกหน้ามืดเป็นระยะ ๆ
    จำได้เลา ๆ ว่าผมให้คุณนิเวศน์ย้ายภรรยาของเขาลงมานั่งกับพื้น
    เผื่อเด็กคลอดออกมาจริง ๆ
    เด็กจะได้ไม่ตกปุ๊จากที่นั่งลงไปคอหักตายเสียก่อน
    ก่อนที่จะได้ร้องอุแว้แรกของชีวิต

    แต่เพียงแค่หล่อนขยับตัว
    น้ำสีแดงใสนั้นก็ไหลรินออกมาจากต้นขา
    เรื่อยลงมาจนถึงพื้น
    ไหลคืบมาจนปลายเท้าของผม

    จังหวะเดียวกันนั้นรถไฟก็หยุดกึก
    ผมซึ่งกำลังตะลึงตึงตึงอยู่กับน้ำสีแดงนั้นจึงไม่ทันระวังตัว
    ศีรษะถูกเหวี่ยงไปตามแรงกระชาก
    ฟาดโครมเข้าเต็มที่กับเสาเหล็กที่ค้ำยันหลังคาโบกี้เสียงดังตึง
    จากนั้นผมก็ยิ้มเผล่ทรุดลงไปนอนสิ้นสติสัมปชัญญะไปในทันที
    ******

    จากคุณ : ปิ๊วปิ้ว - [ 18 มิ.ย. 47 18:17:24 A:202.5.87.30 X: ]