CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown



    ริโอ เมืองค้าทาสในอดีต (ครึ่งแรก)

    หลังจากที่อ้อมหมู่เกาะกัวนาบาราหน้าปากอ่าว   หมู่เรือเดินทะเลลำโตพากันทยอยเข้าเทียบท่า  หนูชอบดูความใหญ่โตมโหฬารและใบเรือสีขาวโก่งโค้งรับลม  จากเนินเขาเหนืออ่าวกัวนาบารา  อันเป็นบ้านเกิดของหนู  ดินแดนที่พวกเราอาศัยอยู่นี้เรียกว่าริโอ  ซึ่งก็แปลว่า  ท่าเรืออันใหญ่โต   และมันก็ใหญ่โตสมชื่อริโอจริงๆ แต่พวกโปรตุเกสเรียกที่นี่ว่า ริโอ เดอ จาไนโร ซึ่งแปลว่า แม่น้ำแห่งเดือนมกราคม เพราะพวกเขามาพบริโอตอนต้นปี 1502  ผู้คนมากมายที่นี่ทำมาค้าขายกันอย่างคึกคัก   แต่การค้าที่เฟื่องฟูมากที่สุดของที่นี่ก็คือ  การค้าทาส  ..เฮ้อ!

    ที่นี่ทำการค้าขายทาสกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน  เป็นจุดจอดเรือที่ขนทาสมาจากทางอัฟริกา  หรือนำพวกทาสมาจากคนพื้นเมืองในดินแดนแถบนี้  เพื่อไปใช้แรงงานหนักสนองความต้องการของคนขาว   ที่นี่จึงเต็มไปด้วยทาสมากมาย    ผู้ชายถูกใช้แรงงานเป็นกรรมกร  ส่วนผู้หญิงถูกใช้ทำงานที่เบากว่าผู้ชายหน่อย  อย่างงานทำความสะอาด  ทำอาหารในครัว  งานในสวน  แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกทาสสตรีพื้นเมืองมักเป็นที่ระบายความใคร่ในยามหลับนอน  ..พวกผู้ชายมันเห็นผู้หญิงทำได้แค่นี้หรือไงนะ!!

    เมืองริโออยู่ภายใต้การปกครองของพวกคนผิวขาว   ส่วนตัวหนูเป็นคนพื้นเมืองดั้งเดิมของที่นี่เป็นพวกอินเดียนเผ่าทูปิ   พวกเราตั้งรกรากมาก่อนหน้าที่พวกคนขาวจะยึดครองมาช้านาน  คนพวกนี้มีจำนวนอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับพวกเราแล้ว   และในหมู่คนขาวเองยังแบ่งออกได้อีกหลายพวก  ทั้งฝรั่งเศส  สเปน  ดัตช์  และอังกฤษ  แต่พวกที่ทำหน้าที่ปกครองริโอแห่งนี้จริงๆ ก็คือไอ้พวกโปรตุเกส

    เนื่องจากตอนนี้มีผู้คนในริโอมากถึง 2 ล้านคน  ทางเมืองแม่ของโปรตุเกสที่อยู่ฝากหนึ่งของมหาสมุทร  จึงได้แต่งตั้งผู้ดูแลเมืองขึ้น  พวกเราเรียกเขาว่า  ดอนเปโดร  และให้ริโอเป็นอาณานิคมแห่งที่ 3  ของพวกเขา  ไอ้ดอนพวกนี้เป็นนายทหารยศพันเอก  ได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์ของพวกมัน  มีมงกฎสวมด้วยนะ  ..บ้าอำนาจชะมัด!!

    แม้ว่าการค้าทาสคือสิ่งที่พวกคนขาวโปรดปรานและทำกันอย่างเอิกเกริก  แต่เป้าหมายที่แท้จริงของโปรตุเกสก็คือ  เหมืองทองในแถบไมนาสเกไรส์  ที่นั่นมีทองคำมหาศาล  พวกมันให้เหล่ากรรมกรผิวดำขุด  แล้วขนขึ้นเรือส่งไปยังเมืองของมันที่อยู่ฟากนู้นของทะเล   ดูเหมือนว่ามันจะทำรายได้มากกว่าการค้าทาสและน้ำตาลรวมกันเสียอีก  ..พวกมันกะสูบเลือดสูบเนื้อเราจนแห้งตายเลยหรือไง!!

    และด้วยเหมืองทองไมนาสเกไรส์นี่เอง  ทำให้ช่วงเวลานี้ชาวเมืองริโอต้องอยู่กันอย่างไม่สงบสุข  ทำไมน่ะเหรอ  ก็พวกคนขาวอีก 2 กลุ่มที่เรียกตัวเองว่าฝรั่งเศสกับสเปนน่ะสิ  พวกมันก็เกิดอยากได้ทองและทาสจำนวนมากมายของที่นี่ไปเสียเอง  ปกติแล้วริโอก็มีแต่ความทุกข์ทรมานสำหรับพวกเราชาวพื้นเมืองอยู่แล้ว  จากเรื่องของการถูกกดขี่ข่มเหงและเป็นทาสให้ไอ้พวกโปรตุเกส   แล้วนี่พวกเรายังต้องมาคอยระวังการโจมตีจากพวกฝรั่งเศสกับสเปนอีก  แต่บอนลิโร่เพื่อนของหนูที่รู้จักกันได้ไม่นาน   เพื่อนที่มีผมสีดำสนิทเหมือนหนู     แต่ผมกลับเหยียดตรงไม่หงิกงอเหมือนหนู  และมีสีผิวที่ไม่ขาวมากเหมือนพวกโปรตุเกส  แต่ก็ไม่ดำเหมือนหนูเลย  เขาบอกหนูว่าบางทีมันอาจจะดีก็ได้นะ  ถ้าพวกฝรั่งเศสหรือสเปนเข้ามาปกครองที่นี่แทน   ความโหดร้ายทารุณต่อพวกทาสอาจลดลง  หรือไม่ก็การค้าทาสอาจจะหมดไปเลยก็ได้   แต่หนูไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่หรอกนะ  พวกผิวขาวหัวสีทองมันก็เหมือนๆ กันหมด  ไม่ว่าจะเป็นไอ้โปรตุเกส ฝรั่งเศส  สเปนหรือพวกดัชต์ก็ตาม  พวกมันก็เห็นพวกเราเหมือนกับสัตว์ที่เลี้ยงไว้ใช้งานเหมือนกันนั่นแหละ  

    “พวกฝรั่งเศสนี่เท่ดีนะ  ดูชุดทหารสีน้ำเงินกับพู่สีทองที่พวกเขาใส่กันสิ  และก็กระบี่ที่คาดเอวนั่นอีก  ฉันอยากให้พวกฝรั่งเศสชนะศึกครั้งนี้จริงๆ“  บอนลิโร่พูดกับหนูในเย็นวันหนึ่ง  ขณะที่เรากำลังเดินตัดฝ่าไร่อ้อยลำต้นสูงปี๊ด  

    วันนี้หนูชวนบอนลิโร่มากินข้าวเย็นที่บ้านด้วยกัน  ครอบครัวหนูมีสมาชิกอยู่ 4 คน  มีพ่อ  แม่  ตัวหนู  และก็น้องชาย  พ่อกับแม่ของหนูโชคดีกว่าคนอื่นๆ ในแถบนี้ที่รอดพ้นจากการเป็นทาส  แม่ของหนูมีอาชีพทำขนมหวานขายให้กับบรรดาทาสและกรรมกร  ส่วนพ่อนั้นรับจ้างตัดอ้อยให้แก่พวกเจ้านายผิวขาวทั้งหลาย    ส่วนตัวหนูทำงานที่ท่าเรือค่ะ   มีหน้าที่ตัดผมโกนหนวดให้กับพวกทาสที่พึ่งลงจากเรือมาใหม่ๆ  ที่พวกคนขาวขนมาจากทวีปอัฟริกา   ส่วนน้องคนเล็กของหนูนั้น  ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่บ้านนี้แล้วละค่ะ    น้องชายของหนูถูกไอ้เฟอร์นันโด  ซาโบรซาเจ้าของไร่อ้อยที่เรากำลังเดินผ่านอยู่นี้   ขอซื้อตัวแกมบังคับไปเลี้ยงเป็นทาสในเรือนของมัน   น้องของหนูพึ่งมีอายุได้ 4-5 ขวบเองค่ะ  พวกผิวขาวนิยมเลี้ยงเด็กผิวดำ   เพื่อให้คอยเก็บเศษอาหารที่ร่วงจากโต๊ะกิน   ให้เขารู้จักการเป็นทาสตั้งแต่เด็ก  

    “จะฝรั่งเศสหรือโปรตุเกสฉันก็ไม่ชอบทั้งนั้นแหละ  นายอยากจะเป็นพวกคนชั้นสูงที่วันๆ คอยเอาแต่รังแกชาวบ้านเหมือนพวกนั้นหรือไง!!” หนูชักฉุนขึ้นมาแล้วสิ  เลยหยุดเดินและก็จ้องหน้าบอนลิโร่

    เขาหลบสายตาหนู  และก็ก้มหน้าพูดงึมงำว่า “ฉันก็แค่บอกว่าชุดมันเท่ดีเท่านั้นเอง  ไม่ได้บอกว่าอยากเป็นซักหน่อย”

    “เอาเถอะๆ ขอโทษทีนะ  ฉันไม่ได้ตั้งใจจะว่านาย  ฉันกำลังหงุดหงิดน่ะ”

    “เรื่องน้องของเธอใช่เปล่า” เขาถามเมื่อเราออกเดินกันต่อ  หนูเดินนำหน้าไป

    “ก็ใช่น่ะสิ  ฉันละเกลียดไอ้เฟอร์นันโดมันจริงๆ    อยู่ดีๆ ก็มาบังคับขอซื้อน้องฉันไป  ปากก็บอกว่าจะเลี้ยงดูอย่างดีไม่ให้อดอยาก    แต่ที่จริงแล้วมันอยากได้น้องฉันไว้คอยเก็บกินเศษอาหารที่เหลือๆ จากโต๊ะของมันต่างหาก  มันก็เหมือนกับสุนัขดีๆ นี่เอง!!”

    “เอริต้า!!  เธออย่าเรียกคุณเฟอร์นันโดว่ามันสิ  ถ้าเกิดมีใครได้ยินเข้าเราจะซวยเอานะ!!”

    น้ำเสียงของบอนลิโร่ที่ดังมาจากด้านหลังฟังดูตื่นตระหนก  หนูไม่สนใจหันไปมอง  ยังคงพูดต่อไปว่า

    “ไม่มีใครได้ยินหรอกน่า  ทำเป็นปอดไปได้  ถึงจะมีพวกทาสแถวนี้ได้ยิน  พวกเขาก็คงคิดเหมือนกันนั่นแหละว่าไอ้เฟอร์นันโดน่ะมันทั้งชั่วและงี่เง่า”

    “เอริต้า…” บอนลิโร่ครางออกมา “ถึงเธอจะไม่ได้เป็นทาสเหมือนคนอื่นๆ แต่พวกคนขาวมันก็มองเธอแทบไม่ได้ต่างจากทาสพวกนั้นเท่าไรนักหรอก   ดังนั้นเธออย่าทำตัวให้มันเป็นจุดเด่นนักเลย  โดยเฉพาะที่ท่าเรือ”

    “ก็ได้ๆ ฉันจะระวังคำพูดไว้หน่อยก็ได้  ถ้ามันจะทำให้เธอสบายใจขึ้น” ปากหนูก็บอกไปอย่างนั้นเอง  แต่หนูแอบไขว้นิ้วชี้กับนิ้วกลางไว้ด้านหลัง  ฮิๆ

    หนูพาบอนลิโร่เดินไปจนสุดปลายไร่  พอพ้นดงอ้อยก็พบกับรั้วไม้ขวางหน้า  เราป่ายปีนข้ามไปก็เข้าสู่อาณาเขตบ้านของหนู    ก่อนจะถึงตัวบ้าน  เราจะผ่านสวนเครื่องเทศที่แม่ปลูกไว้เสียก่อน  มีทั้งอบเชยที่มีเปลือกหนาสีน้ำตาลอมแดง  ต้นวนิลาที่มีฝักสีน้าตาลไหม้เรียวยาว  มีริ้วเป็นรอยลึกไปตามความยาวของฝัก  หนูชอบกลิ่นของมันมาก  มันหอมหวานดี  ต้นปาปริก้า  เป็นพริกหยวกที่มีรสเผ็ดเล็กน้อย  ปกติเราจะเอาพริกที่สุกแล้วไปตากแดด  แล้วนำมาบดละเอียดเป็นผงๆ  นอกจากนั้นก็มีอีกหลากหลายที่หนูก็จำชื่อไม่ค่อยได้   อย่างใบเบย์อะไรซักอย่างนี่แหละ   ซึ่งแม่จะนำเครื่องเทศเหล่านี้ไปเป็นส่วนผสมในขนมที่ขาย  

    แม่เปิดประตูต้อนรับการกลับบ้านด้วยรอยยิ้มที่สดใส  และนำอาหารที่พึ่งทำเสร็จใหม่ๆ มาวางไว้บนโต๊ะ   รอสักประเดี๋ยวพ่อก็กลับมาถึง   พ่อวางมีดตัดอ้อยและตะกร้าพิงไว้ข้างกำแพง  แล้วก็เข้ามาร่วมวงรับประทานอาหารเย็นด้วย  ตัวพ่ออาบไปด้วยเหงื่อไคล  หลังจากที่ต้องตากแดดทำงานหนักทั้งวัน  ตัดอ้อยให้กับเจ้าของฟาร์ม   แลกกับเงินเพียงเล็กน้อย  เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในบ้านอีกทางหนึ่ง   วันนี้ดูเหมือนพ่อจะมีเรื่องกลุ้มอกกลุ้มใจมากกว่าที่เคยเป็น   ดูได้จากสีหน้าและตอนที่ตักอาหารเข้าปาก  กินหนึ่งคำก็ถอนหายใจมาหนึ่งที  เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดจนกระทั่งถึงช่วงเวลากาแฟ  

    แม่รินกาแฟที่ทำจากเมล็ดที่พึ่งคั่วและบดเสร็จใหม่ๆ  น้ำสีดำรสขมลิ้นส่งกลิ่นหอมกระจายไปทั่วห้อง  เจ้าเม็ดเล็กๆ สีดำพันธุ์อาราบิก้าเหมือนมีมนต์ขลังในตัวเอง   มันสามารถเรียกเอาความสดชื่นที่หายหน้าไปตลอดทั้งวันให้กลับคืนมาได้ราวกับมีเวทมนตร์   พ่อดูผ่อนคลายขึ้นหลังจากดื่มหมดเป็นแก้วที่สอง    นั่นเป็นสัญญาณให้พวกเราเตรียมพร้อมรอรับฟังข่าวสารจากพ่อได้เลย

    “เดโกเพื่อนสนิทของพ่อมาชวนพ่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่มมัวร์”

    “อะไรนะคะ?!”  แม่ถาม  ดูท่าทางตกอกตกใจ “ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยนะคะ  แล้วคุณตอบเขาไปว่าไง”

    “เอ่อ.. ผมก็บอกเขาไปว่าขอคิดดูก่อนสัก 2-3 วัน  แล้วค่อยตัดสินใจทีหลังน่ะ” พ่อตอบด้วยสีหน้าหนักใจ

    “ขอโทษครับ  พวกมัวร์นี่คืออะไรครับ” บอนลิโร่ถาม  แต่แล้วก็รู้สึกตัวว่าตัวเขาคงถามอะไรโง่ๆ  ออกมา   เพราะพ่อกับแม่ต่างจ้องดูเขาด้วยความประหลาดใจ   เขาอึกอักจนหน้าแดง  หนูเลยแก้ตัวให้เขาว่า

    “คือ  พ่อคะแม่คะ  บอนลิโร่พึ่งมาอยู่ริโอได้ไม่นาน  ก็เลยไม่รู้ว่ามัวร์คืออะไร  พวกมัวร์ก็คือกลุ่มคนที่รวมตัวกันจากพวกทาสที่หลบหนี  หรือคนที่รอดพ้นจากการเป็นทาส  พวกเขารวมกำลังกันทำทุกวิถีทางเพื่อแย่งชิงดินแดนแห่งนี้  กลับคืนจากการปกครองของพวกคนขาว”

    “ถ้างั้นก็ดีน่ะสิครับ  คุณน้าก็น่าจะเข้าร่วมกับพวกเขาเสียเลยสิ  เป็นหนึ่งในแนวร่วมปลดปล่อยริโอจากพวกโปรตุเกส  เป็นวีรบุรุษของชาวเมืองเท่จะตายไป  หรือถ้าให้ดีก็ไปร่วมรบกับพวกฝรั่งเศสก็ได้”

    พ่อกับแม่มองหน้ากัน   ที่นี้พ่อก็เลยพูดกับบอนลิโร่ที่กำลังกระดี๊กระด๊าว่า

    “น้าว่ามันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เธอคิดก็ได้  มัวร์เนี่ยแม้ว่ารวมตัวกันจุดประสงค์เพื่อปลดปล่อยริโอให้เป็นไท  แต่ว่าวิธีการหรือขั้นตอนและก็พฤติกรรมที่พวกนี้ใช้น่ะสิ  เอ่อ..มันค่อนข้างป่าเถื่อนไปหน่อย  พวกมัวร์ก็เหมือนกองโจรดีๆ นี่เอง  ทั้งปล้น ฆ่า และก็ข่มขืน  บางทีแม้กระทั่งสตรีผิวดำก็ไม่ละเว้น”

    บอนลิโร่ทำหน้าเหมือนมีใครเอาเข็มมาจิ้มให้ลูกโป่งแห่งความสุขแฟบในทันใด    

    “ถ้าอย่างนั้นพวกนี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกโปรตุเกสเท่าไหร่น่ะสิ”

    “แต่อย่างน้อยพวกนั้นก็เป็นพวกรอดพ้นจากการเป็นทาสเหมือนเรานะพ่อ  และก็อยากจะขับไล่ไอ้พวกคนขาวออกไปจากริโอให้หมดเหมือนกัน  พ่อน่าจะลองเข้ากับพวกมัวร์ดูนะ”

    หนูสนับสนุน  หนูเกลียดพวกคนขาว  ถ้าหากคุณเป็นชาวพื้นเมืองที่ได้ทำงานแถวท่าเรือเหมือนหนู  ถ้าคุณได้เห็นสิ่งที่พวกมันทำกับพวกทาสเป็นประจำทุกวันแล้วละก็  คุณก็คงจะเกลียดพวกมันไม่ต่างจากหนู

    แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 47 18:27:43

    แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 47 04:15:55

    แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 47 03:15:33

    จากคุณ : ณัฐกร - [ 19 มิ.ย. 47 02:10:20 ]