CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown



    เหตุผลเพียงข้อเดียว(ตอนจบ)

    ตอนจบ

    ไม่ทันที่รถจะจอดสนิท กานตาภาก็รีบเปิดประตูรถลงไปเมื่อเห็นรัชดายืนรออยู่กับเทิดที่หน้าประตูรั้วบ้าน ความจริงแล้ว ก่อนหน้านี้เธอได้ถามรัชดาว่าต้องการให้เธออยู่เป็นเพื่อนหรือไม่ แต่ได้รับการปฏิเสธ ลูกสาวของคุณเงินยวงคนนี้ใจแข็งเหมือนแม่มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว หากเวลานี้รัชดากลับต้องการคนที่จะให้คำปรึกษาและความสบายใจให้เธอได้ เธอเริ่มสับสนและไม่กล้าเชื่อใจใครแม้แต่เทิดที่คอยอยู่เป็นเพื่อน

    กานตาภาตกใจเล็กน้อยเมื่อผู้ที่นับได้ว่าเป็นญาติคนหนึ่งโผเข้ากอด รัชดาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย การสูญเสียบุคคลที่เป็นที่รักคงทำให้เสียใจและต้องการกำลังใจ

    “คุณแตนใจเย็นๆ ไว้นะคะ”หญิงสาวลูบหลังคนในอ้อมแขนเบาๆ“เราเข้าบ้านแล้วนั่งคุยกันดีกว่านะคะ”

    ทรายขวัญลุกขึ้นจากโซฟาในห้องรับแขกเมื่อเทิดนำทางให้ประณตเข้ามาภายในบ้าน โดยมีกานตาภาซึ่งประคองรัชดาตามมาข้างหลัง ตาทั้งสองข้างของพยาบาลสาวแดงเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ เมื่อประณตนั่งลงข้างเธอจึงสังเกตเห็นว่าเล็บมือทั้งสองข้างของเธอมีรอยกัด เธอกำลังเครียดจัด

    เท่าที่ฟังกานตาภามา เขาเข้าใจว่าตำรวจคงต้องการจะสอบปากคำเพิ่มเติมเพราะทรายขวัญเป็นคนที่สุดท้ายที่พบคุณเงินยวงเมื่อยังมีชีวิตอยู่ แต่คำพูดตำรวจที่ใช้…ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าพูดกับเธอว่าอย่างไร… คงทำให้เธอรู้สึกว่าตำรวจกำลังสงสัยเธอ หรือคิดในแง่ร้าย เธออาจจะเครียดเพราะรู้สึกว่าตำรวจคลำทางมาใกล้เธอมากเหลือเกินแล้ว แต่ตอนนี้ เขายังคิดไม่ออกว่าเธอมีแรงจูงใจอะไรที่จะต้องทำเช่นนั้น หรือเธอจะทำตามคำสั่งใครหรือไม่

    “คุณต้อมไปไหนเสียละคะ คุณเทิด” กานตาภาถาม

    เทิดถอนหายใจยาว ทอดสายตาไปยังบันไดขึ้นไปชั้นสองของบ้าน “กลับมาก็เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องครับ คุณแตนเรียกก็ไม่ยอมออกมา ดีอยู่อย่างเดียวที่เรียกแล้วยังตอบ… เรื่องงานศพของคุณท่านคุณแตนก็เลยต้องจัดการเองคนเดียว”

    สำเนียงในประโยคสุดท้ายที่แม้จะเบาพอให้ได้ยินเพียงคนถามกับคนตอบเท่านั้นบ่งชัดว่าเขาไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างยิ่ง

    “คุณเทิดครับ” ชายหนุ่มลุกขึ้นแตะที่แขนของเลขานุการของอดีตประธานบริษัทผู้ล่วงลับเป็นสัญญาณให้แยกตัวออกมาคุยกันเพียงสองคน “ผมมีเรื่องรบกวนถามหน่อย… ที่บ้านนี้มีใครที่เกลียดสุนัขมาก ๆ หรือเปล่าครับ”

    เทิดทำหน้าชอบกล “ไม่มีนี่ครับ… มีแต่เมื่อวานที่คุณต้อมเปรย ๆ กับพวกเราตอนประชุมว่ารำคาญพวกสุนัขจรจัดที่คนงานให้ข้าวให้น้ำทำเสียงดังตอนกลางคืนจนไม่มีสมาธิทำงาน แล้วเขาก็กลัวว่าพวกสุนัขนี่จะเอะอะกันเวลาที่พวกคุณเล่นดนตรี”

    “แล้วมีใครว่าอะไรบ้างครับ”

    “ไม่มีใครว่าไงนี่ครับ เราก็เออออไปกับคุณต้อมไปอย่างนั้นเอง” คนพูดนิ่งคิดเล็กน้อย “มีแต่คุณชำนาญนั่นแหละครับที่บอกว่าแกจะจัดการเอง… ปรากฏว่าตอนเช้าก็พบสุนัขตาย แต่ก็ไม่มีใครกล้าลงความเห็นว่าแกเป็นคนทำอะไรที่โหดร้ายแบบนั้น”

    “แล้ว ตอนนี้คุณชำนาญ… “

    “บ่นปวดหัวกลับบ้านไปนอนตั้งแต่ตำรวจสอบปากคำเสร็จแล้วละครับ”

    หันกลับไปที่หญิงสาวสามคนที่โซฟา พวกเธอกำลังปรับทุกข์กันอยู่ กานตาภาส่งสายตามายังเขาให้กลับมาช่วยเธอรับมือกับอารมณ์สับสนของรัชดาและทรายขวัญ

    “อีกคำถามเถอะครับ” ประณตเอ่ย ท่าทางเทิดกำลังหงุดหงิดที่อุตส่าห์ขอให้มาช่วยแก้ปัญหาแต่เขากลับมาถามคำถามที่ฟังแล้วไม่เข้าท่าเอาเสียเลยสำหรับสถานการณ์อย่างนี้ “ตำรวจโทรศัพท์มาว่าจะเชิญตัวคุณทรายขวัญไปให้ปากคำเพิ่มเติมที่สน.ตอนไหนครับ แล้วติดต่อปรึกษาทนายกันหรือยัง”

    คำถามนี้ค่อยเข้าท่าหน่อย… สายตาพี่ชายของพยาบาลสาวบอก “ก่อนคุณมาถึงสักสิบห้านาทีได้ครับ ตอนนั้นเรากำลังช่วยกันแยกยาของคุณท่านออกจากซองกันอยู่…  เพราะไม่ได้ใช้แล้วก็เอาไปบริจาคให้กับสถานที่ที่ขาดคงจะดีว่าน่ะครับ พวกวิตามินอะไรแบบนั้น”

    นายตำรวจหนุ่มสะดุดกับคำคำหนึ่ง “ซองยังไงครับ”

    “ก็…ซองพลาสติกใสแบบที่ร้านที่ขายอาหารกล่องบางร้านเขาใช้ใส่น้ำปลา น้ำตาลไงครับ ใช้แล้วก็ทิ้ง สะดวกกว่าใส่กล่องยาเป็นช่อง ๆ คุณท่านจะได้ไม่สับสนด้วย “

    แวบนั้น… คำตอบของปัญหาทั้งหมดเริ่มเข้าเค้า ข้อมูลทุกอย่างที่ได้มาเชื่อมโยงกันได้แล้ว

    ทำไมถึงไม่รู้สึกดีใจทั้งที่ทุกอย่างจะคลี่คลายก็ไม่รู้…

    เสียงแตรรถดังมาจากหน้าบ้าน ทำให้รัชดาและทรายขวัญสะดุ้ง เทิดเปิดม่านหน้าต่างออกดูแล้วถอนใจอย่างโล่งอก ทนายความโบกมือให้จากข้างนอกบ้าน เขาเป็นคนคุ้นเคยกับครอบครัวของคุณเงินยวงมาตั้งแต่บริษัทยังไม่ขยายกิจการใหญ่โตเหมือนทุกวันนี้

    ไม่ทันที่ทนายความจะปิดประตูรั้ว รถปิกอัพสีขาว-แดงเลือดหมูของตำรวจก็เข้ามาจอด ตำรวจที่ลงมาเป็นตำรวจยศร้อยตำรวจตรีกับจ่าสิบตำรวจคนเดียวกับที่เข้าไปในที่เกิดเหตุเมื่อเช้า นายร้อยบรรจุใหม่นายนี้ท่าทางดูเหมือนคนที่ตื่นเต้นอยู่ได้ตลอดเวลา คงเพิ่งเคยรับผิดชอบงานสำคัญอย่างนี้เป็นครั้งแรก คดีเกี่ยวกับความตายของประธานบริษัทชื่อดังย่อมอยู่ในความสนใจของประชาชน ถ้าคลี่คลายคดีได้ตำรวจก็ได้หน้า… แต่หารู้ไม่คนที่ได้หน้าจริง ๆ ก็คือเจ้านายที่เป็นคนแถลงข่าวต่างหาก อย่างดีที่สุดก็คงจะมีชื่อในฐานะร้อยเวรในหน้าหนังสือพิมพ์เท่านั้น

    รชตะกำลังลงบันไดมาจากชั้นสอง เขาดูราวกับชายวัยกลางคนที่ทำงานมาทั้งชีวิตโดยไม่มีโอกาสลาพัก ดวงตาทั้งคู่ของเขาบวมแดง… อาจจะช้ำยิ่งกว่าดวงตาของน้องสาวด้วยซ้ำ

    “ผมมาขอเชิญคุณทรายขวัญไปให้ปากคำเพิ่มเติมครับ” ร.ต.ต.พิมลกล่าว

    ทรายขวัญมองทนายความขอความเห็น... เธอพยักหน้าเมื่อทนายความกล่าวว่าจะไปด้วย พิมลค้อมศีรษะให้ประณตเป็นการทักทายและขอตัวไปในเวลาเดียวกัน เขาเดินนำหญิงสาวกับทนายความไป

    “เดี๋ยวครับ!!”

    ทุกคนในที่นั้นหันมามองเจ้าของเสียงเรียกที่ชักรู้สึกอาย ๆ ที่เผลอปากไวเกินไปหน่อย “เอ่อ… คือว่า..ผมแค่อยากถาม…”

    “ผู้หมวดรู้แล้วใช่มั้ยครับว่าใครเป็นคนทำ” ร้อยเวรเจ้าของคดีกล่าวสวนขึ้นมาด้วยความดีใจ

    “ผมไม่ทราบ” นายตำรวจรุ่นพี่แต่ไม่ได้จบจากโรงเรียนนายร้อยเหมือนกันตอบ “ผมแค่สงสัย… “

    ดูเหมือนพิมลจะไม่ได้สนใจกับความแตกต่างของ’คำ’ที่อีกฝ่ายใช้นัก ดีอยู่หรอกที่มีตำรวจกระตือรือร้นกับคดีที่ตัวเองทำอยู่แบบนี้ แต่ถ้าจะใช้สติมากกว่านี้สักหน่อยคงไม่มีใครตำหนิอะไร “ตกลงผู้หมวดว่าคดีนี้เป็นแค่การฆ่าตัวตายหรือคดีฆาตกรรมกันแน่ครับ… ผมอยากรู้จริง ๆ “

    “นั่นสิคะ คุณประณต” รัชดาเข้ามาจับแขนของเขาไว้แน่น “คิดว่าเห็นแก่คุณแม่เถอะนะคะ”

    น้ำตาที่ปริ่ม ๆ จะไหลออกมาของหญิงสาวทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธได้ลง สายตาจากทั้งกานตาภาและทรายขวัญก็จ้องมองมายังเขาอย่างตั้งความหวังเต็มที่

    “งั้นคิดเสียว่าฟังผมเล่านิทานก็แล้วกัน…ส่วนคดีจะเป็นอย่างไรต่อไปคงต้องขึ้นอยู่กับฝ่ายตำรวจท้องที่นะครับ”
    ------------------------------
    (มีต่อค่ะ)

    จากคุณ : ปิยะรักษ์ - [ 19 มิ.ย. 47 21:59:30 ]