CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown



    หัวใจทะนง ตอนที่ 17

    วันรุ่งขึ้นโสฬสพารจนาไปเที่ยววังเก่า แล้วไปรับประทานอาหารกลางวันที่โรงแรมติดชายทะเลที่มานั่งฟังเพลงเมื่อคืนนี้ เขาเลือกนั่งที่เฉลียงเพื่อจะชมวิวทิวทัศน์ของทะเลไปด้วย

    รจนายืนอยู่ที่ริมเฉลียงมองทะเลด้วยความรู้สึกสดชื่น โสฬสนั่งดื่มเบียร์มองหล่อนเพลินไปเหมือนกัน เมื่อหล่อนหันมาด้วยใบหน้าที่เกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มสดใส หัวใจของเขาก็พลันมีชีวิตชีวาขึ้น เขาส่งยิ้มไปให้หล่อน

    “อยากให้แดดอ่อนเร็ว ๆ จังค่ะ จะได้ลงไปเดินเล่นที่ชายหาดได้”

    “ใจเย็น ๆ สิจ๊ะ มานั่งดื่มน้ำมะพร้าวเย็น ๆ ก่อนดีกว่านะ” เขารู้สึกเอ็นดูหล่อน

    รจนาเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้เท้าคางมองเขานัยน์ตาเป็นประกาย

    โสฬสยิ่งรู้สึกรักหล่อนมากขึ้นจับจิตจับใจ

    “ชอบทะเลหรือ?” เขาถาม

    “ชอบมากค่ะไม่เคยเบื่อเลย รู้สึกสดชื่นทุกครั้งที่ได้สูดลมหายใจอย่างนี้” หล่อนสูดลมหายใจเข้าแรง แล้วบอกให้เขาลองทำบ้าง “ลองทำดูสิคะแล้วจะรู้สึกดี”

    เขาทำตามที่หล่อนบอกแล้วก็รู้สึกสดชื่นจริง ๆ

    “รู้สึกเป็นยังไงบ้างคะ?” หล่อนเอียงคอถาม

    “สดชื่นอย่างที่คุณบอกจริง ๆ ด้วย”

    หล่อนเผลอยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ แต่พอรู้ตัวว่าถูกมองไม่วางตาก็เลยเขินเสหยิบหลอดดูดน้ำมะพร้าวจากผลมะพร้าวสดกลบเกลื่อน

    รจนาชอบเวลานี้เพราะที่เฉลียงมีคนมารับประทานอาหารประปราย บรรยากาศก็เลยค่อนข้างสงบและสบาย อาจเป็นเพราะเป็นร้านอาหารในโรงแรมหรูหราอันดับหนึ่งก็ได้ คนก็เลยไม่มากเหมือนร้านอาหารธรรมดาทั่วไป ขึ้นชื่อว่าอาหารโรงแรมราคาย่อมแพงกว่าปกติ เพราะต้องบวกค่าบริการและภาษีเข้าไปด้วย ต้องเป็นคนมีเงินมีระดับเท่านั้นที่จะมานั่งสั่งเบียร์สั่งอาหารกินได้อย่างสบายอกสบายใจ…เหมือนโสฬสในเวลานี้

    หญิงสาวลุกเดินกลับไปยืนชิดราวระเบียงอีกครั้ง มองผืนน้ำสีฟ้าครามสะท้อนแสงแดดทอประกายระยิบระยับงามจับตาจับใจด้วยหัวใจที่ชื่นชม

    โสฬสถือแก้วเบียร์ลุกเดินไปยืนข้างหญิงสาว ยกแขนอีกข้างโอบเอวหล่อนไว้

    รจนาเงยหน้ายิ้มกับเขา

    “ผมชอบเวลาคุณยิ้มจังโลกดูสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นอีกเยอะเลย”

    หล่อนหุบยิ้มฉับ

    “อ้าว” เขาร้องกลั้วหัวเราะ แล้วพูดยิ้ม ๆ ว่า “ผมรู้แล้วว่าจะพาคุณไปฮันนีมูนที่ไหน”

    รจนาทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่พอเขาไม่พูดต่อให้จบหล่อนก็อยากรู้ขึ้นมาตงิด ๆ แอบชำเลืองมองเขาก็เห็นเขากำลังอมยิ้มอยู่คล้ายกำลังนึกอะไรขัน ๆ อยู่ในใจ หล่อนรู้สึกขัดใจทำท่าจะเดินหนีแต่เขาเกร็งแขนรั้งเอวหล่อนเข้าไปชิดกายสูงก่อนจะก้มหน้าลงไปถามยิ้ม ๆ ว่า

    “อยากรู้ทำไมไม่ถาม?”

    รจนางอน แต่เขากลับหัวเราะแล้วเฉลยว่า

    “เอ้า บอกก็ได้…ฮาวาย”

    หญิงสาวก้มหน้าซ่อนยิ้ม…หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น

    แดดเริ่มอ่อนแสงลง…โสฬสเช่ารถจักรยานแบบขี่ได้สองคนขี่ไปตามถนนเลียบชายหาด ชมทิวทัศน์กันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน จนกระทั่งพระอาทิตย์ใกล้อัสดง เขาและหล่อนยืนโอบเอวกันอยู่ที่ริมชายหาดมองขอบฟ้าที่โค้งบรรจบกับท้องทะเลดูมันเปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ จนหมดแสงลำสุดท้าย…

    รจนาแอบมองเสี้ยวหน้าคมสัน…แสงสีทองจากดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบโลกส่องมากระทบกับใบหน้าของเขาทำให้ดูมีเสน่ห์แปลกตา

    เขาเป็นผู้ชายที่มีหน้าตาหล่อเหลาคมคาย มีเสน่ห์ในตัวเอง มีบุคลิกภูมิฐาน เชื่อมั่นในตัวเองสูง อีกทั้งยังเอาใจเก่งสารพัด…

    อยากรู้นักว่าเขาเคยเอาใจผู้หญิงคนไหนมากเหมือนที่เอาใจหล่อนหรือเปล่า แล้วจะมีผู้หญิงอีกสักกี่คนที่ต้องอกหักเพราะเขาไม่แยแสไยดี

    ถ้าหล่อนรู้ว่ามีผู้หญิงอีกหลายสิบคนที่ทั้งเสียใจและเสียดาย เพราะโสฬสมาหลงรักหล่อน หล่อนคงแทบไม่เชื่อว่าสามีในอนาคตของหล่อนจะมีเสน่ห์ร้อนแรงเป็นที่ต้องตาต้องใจของเพศตรงข้ามมากมายขนาดนั้น

    คืนนั้นโสฬสเข้ามานอนเล่นในห้องของหล่อน เขานอนหนุนตักหล่อนและกุมมือหล่อนไว้ตลอดเวลาอย่างมีความสุข แต่รจนากลับรู้สึกสับสนอยู่ในใจ…

    เขาพูดว่าพรุ่งนี้จะต้องกลับไปดูงานที่โรงแรมบ้าง แต่ก็บอกว่าจะกลับมาหาหล่อนในตอนเย็น เขาบ่นไม่อยากไปแต่ก็เป็นห่วงงาน รจนาเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเขาอีกอย่างหนึ่งว่าเขาเป็นคนรักงานและห่วงงานเป็นชีวิตจิตใจ หล่อนเพิ่งจะรู้ว่าการที่เขามาขลุกอยู่กับหล่อนที่นี่ ทำให้เขารู้สึกเป็นกังวลเรื่องงานอยู่ไม่น้อย หล่อนขอร้องให้เขาพา หล่อนกลับไปด้วย เขาก็ปฏิเสธโดยอ้างเหตุผลว่าอยากให้หล่อนพักผ่อนอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่งก่อน หล่อนเลิกเซ้าซี้เพราะดูท่าทางเขาคงไม่ยอมให้หล่อนกลับไปด้วยอย่างแน่นอน

    อยู่ที่นี่ไปก่อนก็ดีเหมือนกัน เวลากับความเงียบของธรรมชาติอาจช่วยให้หล่อนตั้งหลักและทำใจได้ อีกอย่างหล่อนยังไม่รู้เลยว่าจะเริ่มต้นอธิบายเรื่องของโสฬสให้พ่อกับแม่ฟังอย่างไร ถ้ากลับไปตอนนี้สิ่งเดียวที่หล่อนจะรู้สึกได้ก็คือความอึดอัด หลบอยู่ที่นี่สักพักก็ดีเหมือนกัน

    อย่างน้อยก็ให้ตัวเองเข้มแข็งกว่านี้และทำใจยอมรับโสฬสในอีกฐานะหนึ่งให้ได้เสียก่อน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานสักเท่าใด อาจจะตลอดชีวิตของหล่อนเลยก็เป็นได้

    หล่อนเปรยขึ้นเรื่องบ้านเช่าที่ทิ้งมาโดยไม่ได้ปิดบ้านหรือบอกกล่าวใครไว้เลย ป่านนี้เพื่อน ๆ คงเป็นห่วงว่าหล่อนหายไปไหน เขาก็บอกว่าไม่ต้องกังวลเพราะเขาโทร.ไปบอกไพศาลให้แล้ว ส่วนเรื่องบ้านเช่าไพศาลรับปากว่าจะให้คนไปจัดการให้ หล่อนถามเขาว่าจะจัดการอย่างไร เขาก็บอกว่าไพศาลจะให้รถของบริษัทขนของของหล่อนขึ้นมาให้ที่กรุงเทพฯ โดยเขาจะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด

    หล่อนเงียบไปกำลังนึกถึงชีวิตของตัวเองที่พลิกผันไปอย่างเหลือเชื่อ จากผู้หญิงทำงานธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ในอนาคตอันใกล้หล่อนกำลังจะกลายเป็นภรรยาของมหาเศรษฐีรูปงามคนหนึ่งโดยที่หล่อนไม่ได้เต็มใจเลยสักนิด แต่ด้วยแรงรักแรงพิศวาสของเขาทำให้หล่อนต้องตกอยู่ในภาวะจำยอมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…

    กำลังคิดอะไรเพลินอยู่ ๆ เขาก็ถามขึ้นว่าทำไมหล่อนไม่ใส่ชุดนอนที่เขาซื้อให้ ทำเอาหญิงสาวงงไปชั่วขณะ แต่ก็ตอบเขาไปตามตรงว่าชุดนอนของเขาใส่สบายและมิดชิดกว่า เขาบ่นว่า เสียดาย เท่านั้นเองหล่อนก็ตาลุกวาบจะทุบลงที่อกของเขา แต่เขารีบยกมือรับกำปั้นน้อย ๆ นั้นไว้ได้ทันท่วงที คล้ายรอตั้งรับอยู่แล้ว พลางหัวเราะชอบอกชอบใจ

    รจนาหมั่นไส้เมื่อรู้เท่าทันความคิดอกุศลของเขา เขาอยากให้หล่อนใส่ชุดนอนที่เขาซื้อให้เพราะแต่ละชุดมันทั้งบางทั้งเบาและคว้านลึกไปถึงไหน ๆ ถ้าใส่ความรู้สึกก็คงเหมือนไม่ได้ใส่อะไรเลย

    ดึกแล้วแต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับไปที่ห้องง่าย ๆ แถมยังทำท่าจะหลับอยู่ในห้องของหล่อนอีกด้วย หล่อนจึงต้องบังคับให้เขากลับไปนอนที่ห้องก่อนที่เขาจะหลับไปจริง ๆ ซึ่งเขาก็ทำงอแงจะไม่ยอมออกไปตามเหลี่ยม หล่อนแสร้งทำเป็นไม่ง้อ บอกว่าถ้าเขาจะนอนที่นี่หล่อนก็จะไปนอนที่ห้องของเขา เขาก็บอกว่าตามใจ หล่อนฉุนก็เลยจะไปจริง ๆ แต่พอจะเดินออกจากห้อง เขาก็ก้าวตามมาติด ๆ พอถามว่าจะไปไหน เขาก็ตอบหน้าตาเฉยว่าจะไปนอนที่ห้อง หล่อนโมโหจนไม่รู้จะโมโหอย่างไร คนอะไรเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวนัก ก็เลยหยิกให้ที่ต้นแขนของเขาทีหนึ่ง เขาร้องโอดครวญรีบถอยไปยืนเสียห่าง ลูบแขนตรงที่ถูกหยิกป้อย ทำตาละห้อยน่าสงสาร แต่รจนาหมั่นไส้อย่างแรง !

    หญิงสาวไม่ทันตั้งหลักก็เลยถูกเขาแก้แค้นคืนด้วยการจู่โจมจูบราตรีสวัสดิ์ แล้วผละออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว เสียงหัวเราะร่าของเขาที่ดังอยู่ข้างนอกทำให้รจนาเดือดปุด ๆ อยู่ในห้องคนเดียว

    วันรุ่งขึ้นเขาก็ขับรถกลับกรุงเทพฯแต่เช้าก่อนที่รจนาจะตื่นด้วยซ้ำ แต่ตอนสายเขาก็โทร.มาคุยด้วยบอกว่าถึงกรุงเทพฯแล้วโดยสวัสดิภาพ ตอนกลางวันพิมพ์โสมชวนหล่อนไปตรวจงานในไร่จึงไม่ได้รับโทรศัพท์ของโสฬสที่โทร.มาอีก แต่เด็กรับใช้ก็จดข้อความไว้ให้ เขาบอกให้หล่อนโทร.กลับไปหาเขาเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว แต่รจนาก็แกล้งไม่โทร.ไปเสียอย่างนั้น พอนึกถึงหน้าตาของเขาตอนหงุดหงิดหล่อนก็ยิ่งรู้สึกขันอยู่คนเดียว แล้วคิดหาข้อแก้ตัวกับเขาเมื่อเขาจะกลับมาในตอนเย็น

    หญิงสาวรู้สึกทึ่งเมื่อรู้ว่างานส่วนใหญ่ในไร่พิมพ์โสมเป็นคนดูแล ส่วนภูวดลจะกลับมาช่วยเฉพาะวันหยุดเท่านั้น แม้ภายนอกพิมพ์โสมจะดูเป็นคนอ่อนหวานแต่ภายในจิตใจนั้นกลับเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวไม่แพ้ชายชาตรี

    รจนาไม่ได้ตั้งใจจะรอโสฬส แต่ตั้งแต่เย็นจนค่ำหล่อนรอกินข้าวพร้อมเขาอย่างใจจดจ่อ จนเลยเวลาอาหารเย็นเขาก็ยังไม่มา กำลังหงุดหงิดพนิดาก็วิ่งมาตามหล่อนไปรับโทรศัพท์…

    “รอผมหรือเปล่าจ๊ะ?”

    เขาถามอารมณ์ดีมาตามสาย แต่รจนากลับโมโห พูดเสียงเย็นชายตอบไปว่า

    “ไม่ได้รอค่ะ”

    “ทานข้าวหรือยังจ๊ะ?”

    “ทานแล้วค่ะ” หล่อนปด

    “แต่ยายดาบอกว่าคุณยังไม่ได้ทานข้าวเลย รอผมใช่มั้ย?”

    “แค่นี้นะคะ”

    “อ๊ะ อย่าเพิ่งวายสายนะ”

    “ฉันจะไปทานข้าว”

    “นั่นไง ไหนบอกว่าไม่ได้รอ”

    “ไม่ได้รอค่ะ” หล่อนกระแทกเสียง

    “เอ๊ะ โมโหอะไรจ๊ะ สงสัยจะโมโหหิวจนลมออกหูแล้วมั้ง”

    “นี่ อย่ามายั่วนะ ฉันไม่มีเวลาว่างจะมาต่อล้อต่อเถียงกับคุณ”

    “แต่มีเวลาว่างคิดถึงผมใช่มั้ยจ๊ะ?”

    “ฉันไม่ได้คิดถึงคุณ” หล่อนงอน

    เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วเย้าว่า

    “แล้วทำไมต้องงอนด้วยล่ะ”

    รจนายกหูโทรศัพท์ออกห่างเล็กน้อย ดูให้แน่ใจว่าไม่ได้มีตาของเขาอยู่ที่กระบอกโทรศัพท์ ไม่รู้เขารู้ได้อย่างไรว่าหล่อนกำลังงอน

    หล่อนแนบกระบอกโทรศัพท์กับหูอีกครั้ง แสร้งถามว่า

    “รู้ได้ยังไงว่าฉันกำลังงอน อย่ามาเดาสุ่มดีกว่า”

    “ผมไม่ต้องเดาอะไรเลย ก็เสียงคุณมันฟ้องออกชัดยังงั้น” เขาพูดกลั้วหัวเราะเบา ๆ

    รจนาหน้าร้อนผ่าว เมื่อเขาพูดแทงใจดำ

    เขาพูดต่อว่า

    “ผมจะโทร.มาบอกว่าวันนี้ผมคงไปหาคุณไม่ได้แล้วล่ะ บังเอิญมีนัดกับคุณหญิงนงคราญที่สมาคม ตอนนี้ผมก็อยู่ที่สมาคมแล้ว คุณหญิงอยากปรึกษากับผมเรื่องจัดงานแฟชั่นโชว์การกุศลช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม จะให้คนอื่นไปแทนก็ไม่ได้ท่านเจาะจงมาว่าต้องเป็นผมเท่านั้น สงสัยงานนี้คงไม่พ้นถูกบังคับเชิญให้เป็นกรรมการจัดงานอีกตามเคย”

    หล่อนเงียบ

    “รจ ฟังผมอยู่หรือเปล่าจ๊ะ รจ…รจ” เขาเรียกเสียงรัว

    “ฟังอยู่ค่า” หล่อนประชด

    “ทำไมเงียบจัง ผมติดงานจริง ๆ คงไม่โกรธนะ”

    “ค่ะ” หล่อนตอบออมคำ

    “ค่ะน่ะ โกรธหรือไม่โกรธ ช่วยพูดให้ชัดเจนหน่อยได้มั้ย”

    “คุณจะมาสนใจทำไมคะว่าฉันจะรู้สึกยังไง ฉันยังไม่เห็นสนใจเลยว่าคุณจะอยู่ที่ไหน หรือไปทำอะไรกับใคร หรือจะรู้สึกยังไง”

    “ผมรู้ว่าคุณไม่ได้แคร์ผมเลย แต่ผมแคร์คุณมากนะ” น้ำเสียงอ่อนเศร้านั้นตัดพ้อมาตามสาย

    “คุณไม่ต้องมาแคร์ฉันหรอกค่ะ” หล่อนพูดเสียงไร้เยื่อใย

    “รจ นั่นคุณเป็นอะไรไป เมื่อวานเรายังดีกันอยู่เลยนี่”

    “เปล่าค่ะ แค่นี้นะคะฉันหิวข้าว”

    “รจ ไม่เอาน่า อย่างอแงสิจ๊ะ เป็นแฟนนักธุรกิจต้องหนักแน่นหน่อย ผมไปหาคุณไม่ได้จริง ๆ กว่างานจะเลิกก็คงหลังเที่ยงคืน แต่พรุ่งนี้ผมสัญญา จัดการเรื่องงานเสร็จแล้วผมจะรีบไปหาคุณทันที”

    “ไม่ต้องมาก็ได้ค่ะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ” หล่อนพูดตัดรอน

    “รจ” เขาถอนใจเบา ๆ คล้ายกำลังอ่อนอกอ่อนใจ “นี่คุณโกรธผมจริง ๆ หรือ?”

    จากคุณ : นวจันทร์ - [ 21 มิ.ย. 47 20:37:04 A:203.113.50.139 X: ]