CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    หัวใจทะนง ตอนที่ 18

    วันรุ่งขึ้นโสฬสขับรถกลับกรุงเทพฯตั้งแต่เช้ามืด พิมพ์โสมมารู้จากรจนาที่โต๊ะอาหารตอนเช้าหลังจากที่เด็ก ๆ ไปโรงเรียนกันแล้วว่าน้องชายมาเมื่อคืนนี้ รจนาไม่อยากบอกแต่ก็ต้องบอกเพราะก่อนไปโสฬสไปเคาะประตูเรียกหล่อนที่ห้องบอกว่าเขาจะไปแล้ว และฝากบอกพิมพ์โสมด้วยว่าเขามา พิมพ์โสมแปลกใจมากเมื่อรู้ว่าน้องชายขับรถทางไกลมาจากรุงเทพฯ เพื่อมานอนที่บ้านของหล่อนเพียงไม่กี่ชั่วโมงแล้วก็ขับรถกลับไปทำงานอีกแต่เช้ามืด

    รจนาไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรมากนัก บอกแต่เพียงว่าโสฬสมาเมื่อคืนนี้และกลับไปทำงานต่อเช้ามืด พอพิมพ์โสมซักว่าเขามาทำไม หล่อนก็ปฏิเสธว่าไม่รู้แต่พิมพ์โสมไม่เชื่อ รจนาไม่กล้าเล่าความจริงว่าที่โสฬสขับรถทางไกลมาหลายร้อยกิโลเมตร ก็เพื่อมาง้อหล่อนเท่านั้นเอง

    ด้วยความอยากรู้พิมพ์โสมจึงแอบโทรศัพท์ไปหาน้องชายที่โรงแรม โสฬสก็เลยอธิบายให้ฟัง พิมพ์โสมไม่อยากจะเชื่อว่าน้องชายจะรักและห่วงความรู้สึกของรจนามากถึงเพียงนั้น

    โสฬสกลับมาที่บ้านไร่อีกครั้งในตอนค่ำวันนั้น เด็ก ๆ ดีใจกันใหญ่ประจบขอโน่นขอนี่…ภูมิพงศ์ขอกีต้าร์ตัวใหม่ พนิดาขอชุดกีฬากับไม้เทนนิส ซึ่งเขาก็รับปากจะซื้อให้ทั้งสองคน

    กับรจนาเด็กทั้งสองก็มาประจบเหมือนกัน แต่ไม่ได้ประจบขอของเล่นหรือของขวัญอะไร พวกเขาชอบมาพูดคุยเรื่องของตัวเองและเพื่อน ๆ ให้หล่อนฟัง บางครั้งก็ถามปัญหาที่หล่อนตอบไม่ได้ ต้องพึ่งโสฬสเป็นผู้แก้ไขสถานการณ์ รจนาได้ฟังเขาพูดก็รู้สึกทึ่งว่าเขาช่างมีความรู้กว้างขวางเหลือเกิน

    อย่างภูมิพงศ์ถามเรื่องของผู้นำจอมเผด็จการคนหนึ่งหล่อนตอบไม่ได้ โสฬสกลับพูดได้เป็นฉาก ๆ ส่วนพนิดาถามเรื่องน้ำหอมว่ายี่ห้อไหนดีที่สุด หล่อนก็ตอบไม่ได้อีกแต่โสฬสกลับตอบได้และพูดถึงน้ำหอมยี่ห้อต่าง ๆ อย่างรู้เรื่องเป็นอย่างดี

    เด็ก ๆ ดูจะ “รัก” และ “ชอบ” น้ารจ ไม่ว่าน้ารจบอกหรือสอนอะไรพวกเขาก็ฟังกันดิบดีราวกับจะรู้เรื่อง แต่การปฏิบัตินั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ตรงกันข้ามกับ น้าโส ที่บอกว่าอย่ากลับทำ บอกให้ทำกลับหนีไปดื้อ ๆ เด็ก ๆ ไม่กลัว น้าโส กับ แม่พิมพ์ รจนามารู้ทีหลังว่าเด็ก ๆ “กลัว” พ่อภู แต่ “เกรงใจ” น้ารจ

    เมื่อถึงเย็นวันศุกร์ภูวดลกลับมาถึงบ้านไร่ตอนค่ำ แต่ก็ทันได้ร่วมโต๊ะรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน ระหว่างรับประทานอาหารพิมพ์โสมพูดกับสามีว่าหล่อนได้ฤกษ์แต่งงานมาแล้ว โสฬส ภูวดล และพิมพ์โสมพูดคุยกันถึงเรื่องงานแต่งแต่งอย่างเป็นงานเป็นการ รจนาได้แต่นั่งฟังเฉย ๆ เด็ก ๆ ก็ตื่นเต้นดีใจที่ “น้าโส” กับ “น้ารจ” จะแต่งงานกัน แล้วพวกเขาก็จะได้ไปช่วยต้อนรับแขกในโรงแรมของ “น้าโส” อย่างภาคภูมิใจ

    วันรุ่งขึ้นโสฬสพารจนากลับกรุงเทพฯ เด็ก ๆ อาลัยอาวรณ์รจนา เข้าไปสวมกอดหล่อนทั้งสองคน แล้วให้รจนาสัญญาว่าจะกลับมาที่บ้านไร่อีกโดยเร็ว รจนาซาบซึ้งในความน่ารักน่าเอ็นดูของเด็กทั้งสองคน หล่อนให้คำมั่นสัญญาว่าจะกลับมาอีกโดยไม่ลังเล พิมพ์โสมบอกว่าจะโทร.ไปคุยด้วย ภูวดลอวยพรให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ

    โสฬสไปส่งหล่อนที่บ้าน และอยู่พูดคุยกับพ่อแม่ของหล่อนถึงเรื่องที่เขาจะส่งญาติผู้ใหญ่มาสู่ขอหล่อนในเร็ววันนี้ รจนาได้แต่นั่งอึดอัดพูดอะไรไม่ออก ในขณะที่รัตน์กับพนิตแปลกใจระคนงุนงงตั้งหลักไม่ทันด้วยกันทั้งคู่ ที่อยู่ ๆ ก็มีผู้ชายหน้าตาดีท่าทางภูมิฐานมาพูดจาดีบอกว่ารักลูกสาวของพวกเขาและประสงค์จะแต่งงานด้วย
    เมื่อโสฬสกลับไปแล้วรจนาก็ถูกมารดาลากแขนเข้าไปคุยกันตามลำพังสองต่อสองในห้องนอนของพนิต

    “รจ นี่มันเกิดอะไรขึ้นลูก?”

    “ก็ไม่มีอะไรนี่จ๊ะแม่”

    “ยังจะว่าไม่มีอะไรอีก แกไปรู้จักมักจี่กับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ อยู่ ๆ เขาก็มาบอกว่าจะส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอแกน่ะ”

    “ประมาณสามอาทิตย์ได้มั้งคะ”

    “สามอาทิตย์ ! แล้วทำไมถึงได้รีบร้อนจะแต่งงานหรือว่าแกกับเขา…”

    “เปล่านะแม่ รจกับเขาไม่ได้มีอะไรกัน”

    “แม่ไม่เชื่อ”

    “เขาขอรจแต่งงานหลังจากที่เรารู้จักกันได้สองวัน”

    “อกอีแป้นจะแตก เด็กสมัยนี้ทำไมมันถึงได้ไวไฟแบบนี้”

    “เขาไม่ใช่เด็กนะแม่ เขาอายุตั้งสี่สิบแล้ว”

    “สี่สิบ ! โอ๊ยแล้วจะแต่งกันเข้าไปได้ยังไง ชาวบ้านจะได้ลือกันให้แซดว่าแกได้ผัวแก่น่ะสิ”

    “แม่ว่าเขาแก่หรือคะ?”

    “จะว่าไปเขาก็ดูไม่แก่เลยนะ ถ้าบอกว่าสักสามสิบแม่ก็เชื่อ แต่ดูท่าทางเขารวยนะ”

    “เขารวยมากเชียวล่ะค่ะ”

    “ตัดสินใจแน่แล้วหรือที่จะแต่งงานกับเขา”

    “ก็รับปากเขาไปแล้ว”

    “ทำท่าซังกะตายพิกล รักเขาหรือเปล่า?”

    “ก็ เฉย ๆ ค่ะ”

    “แกเลือกเขาเพราะเห็นว่าเขารวยงั้นหรือ?”

    “เปล่านะแม่ ที่รจรับปากจะแต่งงานกับเขาเพราะเขาบังคับรจต่างหาก”

    “บังคับยังไง?”

    “เขาให้ผู้จัดการบริษัทที่รจทำงานอยู่เลิกจ้างรจ”

    “ใหญ่ขนาดนั้นเชียว”

    “ใหญ่ไม่ใหญ่เขาก็ทำให้รจตกงานได้ล่ะ ทีนี้รจก็จะมาเกาะแม่กิน”

    “แกจะบ้าเรอะ ในเมื่อเขาทำให้แกตกงานเขาก็ต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูแกสิ”

    “เขาก็เลยแสดงความรับผิดชอบด้วยการบังคับให้รจแต่งงานกับเขานี่ไง”

    “อยากแต่งหรือเปล่า?”

    “ไม่อยากค่ะ”

    “อุ๊ย แม่ล่ะตามแกไม่ทัน”

    “เฮ้อ รจกลุ้มใจจัง”

    “ในเมื่อแกตกงานแม่ก็ขาดรายได้ เห็นจะต้องเรียกสินสอดให้คุ้มค่าสักหน่อย”

    “คุ้มค่าอะไรคะแม่?”

    “ก็คุ้มค่าที่แม่เลี้ยงดูแกมาน่ะสิ”

    “รจรู้นะว่าแม่คิดอะไรอยู่ อย่าให้ถึงกับขายรจใช้หนี้เลยค่ะแม่ เขาจะดูถูกเอาได้”

    “ไม่รู้ล่ะ ถ้าเขาสู้ราคาแม่ก็อาจจะยกให้”

    “แม่จะขายรจเท่าไหร่คะ?”

    “สัก…เด็กบ้า ! นี่แม่นะยะ ไม่ใช่แม่เล้า”

    “รจขอร้องนะคะแม่ ถึงเราจะจนเราก็มีศักดิ์ศรี อย่าให้เขาดูถูกได้ว่าเราโก่งราคาค่าสินสอดจนเกินฐานะ”

    “เฮ้อ ทีนี้แม่ก็ขาดรายได้น่ะสิ ถึงตาโรมจะไปทำงานพิเศษที่โรงแรมของเขา แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมากนัก ตอนนี้แม่ยังไม่มีเงินไปชำระค่างวดให้ธนาคารเลย ไม่รู้เขาจะมายึดบ้านเมื่อไหร่”

    “อ้าว ก็รจส่งเงินมาให้แม่ห้าหมื่นแล้วนี่คะ”

    “แม่ได้รับแล้ว แต่ลุงของแกน่ะสิมาคว้าไปก่อน อ้างว่าจำเป็นต้องใช้จะเอาให้ได้ แม่ขอผัดผ่อนยังไงก็ไม่ยอมฟัง แม่ไม่กล้าโทร.ไปบอกแก แม่รู้ว่ากว่าแกจะหาเงินมาได้ก็คงลำบากไม่ใช่น้อย ครั้นจะเรียกร้องเอาอีกแม่ก็กลัวแกจะรำคาญ”

    รจนากลุ้มใจ

    “แม่…แม่ติดธนาคารอยู่อีกเท่าไหร่คะ?”

    “รวมต้นรวมดอกแล้วก็ประมาณแปดหมื่น”

    “แปดหมื่น !”

    “ยังมีคุณนายเค็มอีกนะ แม่ไม่ได้ส่งเขามาสองเดือนทั้งต้นทั้งดอกก็ประมาณสองหมื่น”

    “หนึ่งแสนบาท ! โอ๊ย แม่รจอยากตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย…เราขายบ้านเถอะนะแม่”

    “แกจะบ้ารึ ! ขายบ้านแล้วจะเอาอะไรซุกหัวนอน”

    “เราก็เอาเงินที่เหลือจากใช้หนี้ไปซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ แถวชานเมืองอยู่ก็ได้”

    “ไม่เอาหรอก ไกลก็ไกลเดินทางไปไหนทีก็ลำบาก น้ำไฟก็ไม่สะดวก”

    “แม่ต้องยอมเสียสละความสบายบ้างสิคะ เพื่อความอยู่รอดของพวกเรา”

    “แกก็พูดได้ แกกำลังจะแต่งงานไปอยู่กับผัวรวยแล้วนี่ ส่วนพ่อแม่น้อง ๆ จะลำบากกันยังไงก็ช่างหัวมัน แกก็เหมือนพี่ของแกนั่นแหละ อีกหน่อยก็ลืมพ่อลืมแม่ลืมน้อง”

    “สบายกายเท่านั้นแหละค่ะแม่ รจคงไม่สบายใจอย่างที่แม่คิดหรอก ถึงรจจะแต่งงานกับเขาแต่รจก็จะไม่ทิ้งพ่อแม่กับน้อง ๆ เด็ดขาด รจจะขอเขาทำงาน แล้วรจก็จะส่งเงินให้แม่ทุกเดือนเหมือนเดิม ถ้าเราไม่มีหนี้เราก็คงอยู่กันอย่างไม่ลำบากมากนัก”

    “รจ ถ้ารจขอให้เขาช่วยแม่ว่าเขาก็คงไม่ปฏิเสธหรอก”

    “ไม่มีทาง แล้วแม่ก็ไม่ต้องมาพูดเรื่องนี้กับรจอีก รจไม่มีวันขอเงินเขาเพื่อเอามาใช้หนี้ของเราหรอก”

    “แล้วแกจะใจดำทนเห็นพ่อแม่กับน้อง ๆ ต้องไร้ที่ซุกหัวนอนอย่างนั้นหรือ”

    “อย่าห่วงเลยค่ะ รจเคยบอกว่าจะไม่ทิ้งพ่อแม่กับน้อง ๆ รจก็ไม่ทิ้ง ถ้าธนาคารจะมายึดบ้านของเราจริง ๆ รจจะเอาพ่อแม่กับยายรุ้งและตาโรมไปอยู่ด้วย เขาคงไม่ว่าหรอก”

    “ความคิดของแกนี่มันช่างไม่สร้างสรรค์เอาเสียเลยนะยายรจ มีอย่างรึจะรอให้ธนาคารมายึดบ้าน ไม่มีทางแม่ไม่ยอมหรอก ถ้าแกไม่พูดแม่จะพูดกับเขาเอง”

    “อย่านะแม่ โธ่แม่รจขอร้องล่ะ เอาเถอะ แล้วรจจะหางานทำคงช่วยผ่อนแรงพ่อได้อีกทางหนึ่ง”

    “ก็แกกำลังจะแต่งงานเขาจะยอมให้แกไปทำงานหรือ ในเมื่อแกบอกเองว่าเขาเป็นคนทำให้แกตกงานอยู่หยก ๆ”

    “รจจะลองขอร้องเขาดู แค่ขอทำงานเขาคงไม่ห้ามหรอก ที่เขาให้รจออกจากงานเพราะรจอยู่ไกล ถ้าทำงานอยู่ในกรุงเทพฯเขาคงยอม”

    “ถ้าเขาไม่ยอมล่ะ”

    “ปล่อยให้เป็นธุระของรจก็แล้วกันค่ะ แม่สบายใจเถอะ”

    “แม่คงทำใจให้สบายไม่ได้หรอก หนี้สินมันสุมใจอยู่อย่างนี้”

    “แม่คะ รจจะพยายามค่ะ สักวันเราต้องเป็นอิสระจากมันให้ได้”

    “แม่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็คงต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนกันต่อไป เออรจ แม่ล่ะอดห่วงไม่ได้ เขาอายุมากขนาดนั้นแล้วยังไม่มีลูกมีเมียมันจะเป็นไปได้หรือ แกอาจจะถูกหลอกก็ได้นะ เรื่องอื่นแม่ยอมได้ แต่เรื่องที่จะให้ลูก ๆ ของแม่ไปเป็นเมียน้อยเมียเก็บของใครแม่ยอมไม่ได้”

    “งั้นแม่ก็อย่ายกรจให้เขาสิคะ”

    “แต่ดูท่าทางเขาก็รักแกดีอยู่นะ”

    “โลเลจริงนะแม่”

    “เขาเคยมาบ้านเราสองสามครั้ง มาแนะนำตัวว่าชื่อโสฬส อัศนี ทำงานเป็นผู้บริหารอยู่ที่โรงแรมโสฬสธานี แม่มารู้จากตาโรมทีหลังว่าจริง ๆ แล้ว เขาเป็นเจ้าของโรมแรม เขาบอกว่าเขาเป็นเพื่อนของแกผ่านมาแถวนี้ก็เลยแวะมาเยี่ยม ขนซื้อของฝากมาให้ตั้งมากมาย ให้คุณชาคริตมาชวนตาโรมไปทำงานพิเศษที่โรงแรมของเขา แล้วยังให้ความหวังยายรุ้งอีกนะว่าจะส่งเข้าประกวดนางงาม”

    “เขาพูดยังงั้นหรือคะ?”

    “ก็งั้นสิ ดูท่าทางเขาก็สุภาพดีอยู่หรอก แม่ก็เอะใจอยู่เหมือนกันนะที่อยู่ ๆ เขาก็มาแนะนำตัว แต่ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าเขาจะคิดไปไกลถึงขั้นจะส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอแกเร็วขนาดนี้ แม่ล่ะหวั่นใจอยู่เรื่องเดียวเท่านั้นแหล เขาทั้งรูปหล่อทั้งร่ำรวย เป็นไปได้หรือที่คนอายุขนาดเขาจะยังไม่มีลูกมีเมีย เขาอาจจะซุกซ่อนไม่ให้แกรู้เห็น หรือบางทีที่เขาเร่งรัดให้แกแต่งงานด้วย อาจเป็นเพราะเขากลัวแกจะรู้ความจริงก็ได้”

    “คงไม่มั้งคะแม่ พี่พิมพ์พี่สาวของเขาก็ยืนยันว่าเขายังไม่เคยรักใครจริงจังถึงขั้นจะแต่งงานด้วย”

    “จนกระทั่งเขามาพบแกงั้นหรือ?”

    “ค่ะ”

    “แม่ไม่อยากเชื่อ แต่ก็เอาเถอะแกก็โตแล้ว อายุก็มากพอสมควรแล้ว ควรจะได้มีเหย้ามีเรือนเป็นของตัวเองเสียที ถ้าแกคิดว่าจะอยู่กับเขาได้ก็ตามใจแก ถึงเราจะยังไม่รู้จักเขาดีพอ แต่เขาก็เข้าตามตรอกออกตามประตู จัดหาผู้หลักผู้ใหญ่มาสู่ขอเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ทำให้เราขายหน้าแม่ก็พอใจแล้ว”

    จากคุณ : นวจันทร์ - [ 22 มิ.ย. 47 19:47:39 A:203.113.50.12 X: ]