ซุนหยางเดินลงจากเขาบู๊ตึ้งโดยสะดวก นับแต่อดีตมาเขาคงเป็นคนแรกที่กล้าเข้าไปปะทะกับหอห้ากระบี่แล้วกลับมาโดยไม่เป็นอะไรเลยเช่นนี้
เวลานั้นลูกน้องคนหนึ่งซึ่งยังคงมีจิตใจฮึกเหิมได้ถามเขาว่า "เหตุใดพวกมันเมื่อโดนยาพิษแล้ว ท่านจึงไม่กำจัดเสียให้สิ้นเรื่อง ทำเช่นนี้ท่านประมุขคงยินดียิ่ง"
ซุนหยางจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา ถามกลับว่า
"เจ้าติดตามเรามากี่ปีแล้ว?"
เจ้าผู้นั้นรู้สึกว่าตนเองคงพลั้งปากพูดอะไรที่ผิดพลาดไป ดังนั้นก้มหน้ากล่าวว่า
"ครบสามปีวันนี้ขอรับ"
"สามปี สามปีเป็นเวลาที่มิอาจนับว่ายาวนานเกินไป แต่ก็มิถึงกับสั้นเกินไป เอาเถอะ นับว่าเจ้ายังโชคดี!"
ผู้ติดตามนั้นลอบหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมา ทราบว่าตนเองรอดพ้นจากความตายราวปาฏิหารย์!!!!!
"เจ้ากลับดูแคลนยอดฝีมือของหอห้ากระบี่มากเกินไป พวกมันครองความยิ่งใหญ่มาหลายสิบปี เหล่านี้ย่อมมิได้มาเพราะโชคช่วย! ซุนหยางกล่าวอย่างใจเย็น
พวกมันที่ยอมปลดปล่อยพวกเราเนื่องเพราะเกรงกลัวความตาย กลับกันหากเจ้าคิดเอาชีวิตพวกมันจริงๆ เท่ากับบีบให้พวกมันสู้ตาย ถึงเวลานั้นพวกมันที่กลายเป็นสุนัขจนตรอก ไม่แว้งกัดพวกเราก็แปลกไปล่ะ พวกเราเพียงสี่คนสามารถต้านทานผู้คนร่วมพันได้หรือ?
ซุนหยางผู้นี้นับว่าเข้าใจจิตใจผู้คนอย่างลึกซึ้งถ่องแท้ เหล่าผู้ชุมนุมแม้นถูกพิษ แต่ยังเชื่อมั่นว่าในบุคคลฝ่ายตนเองย่อมมีผู้สามารถคลี่คลายพิษร้ายได้ ดังนั้นพวกมันมิแน่ว่าจักต้องตายจริงๆ ทว่าหากซุนหยางคิดฉวยโอกาสเมื่อครู่ลงมือเข่นฆ่าพวกมันแล้วไซร้ ท่ามกลางความรู้สึกที่ว่าต้องตายแน่นอน มีหรือที่พวกมันจะมิขอเสี่ยงชีวิต ซุนหยางและพรรคพวกคงต้องเผชิญการตอบโต้อย่างสุดกำลังทีเดียว!!!!!!
บริวารผู้นั้นนำไปคิดก็เห็นจริง เพราะบรรดาเจ้าสำนักน้อยใหญ่ในหอห้ากระบี่นั้นล้วนแล้วแต่มีฝีมือสูงยิ่ง ต่อให้พรรคฉิกจับอิดรวบรวมกำลังทั้งหมดมาปะทะตรงๆ ยังไม่แน่ว่าสามารถเอาชัยอีกฝ่าย
ฮาฮา เพราะอย่างนี้นี่เองท่านซุนถึงใช้การอันชาญฉลาด การที่พวกเรากลับมาก่อนไม่เพียงทำเพื่อความปลอดภัย น่ากลัวยังทำลายขวัญฝ่ายนั้นได้มากอีกด้วย พวกลูกน้องหัวเราะและร้องชมเชยหัวหน้าของตนเป็นเชิงประจบประแจง
ซุนหยางนึกย้อนไปถึงเมื่อประมาณ 20 วันที่แล้ว หลี่เฉินเชียงประมุขพรรคได้เรียกตัวมันเข้ามาพบเป็นการเฉพาะ บอกเล่าถึงเรื่องราวการชุมนุมของพวกที่อ้างตนว่าเป็นฝ่ายธรรมะที่บู๊ตึ้งในอีกหนึ่งเดือน
หลี่เฉินเชียงยังบอกว่าระหว่างนี้ทางพรรคมีเรื่องไม่เรียบร้อยหลายประการ ทั้งด้านฮั่นตงที่ไปสืบเรื่องเฮียงเน้ยก็ยังมิคืบหน้า จึงขอให้ซุนหยางไปดำเนินการถ่วงเวลาอีกฝ่ายเอาไว้ชั่วคราว รอจนเรียกระดมยอดฝีมือจากที่ต่างๆ มาจนครบถ้วนแล้วค่อยทำการสับประยุทธโต้ตอบ
ซุนหยางเมื่อรับคำสั่งก็จัดการวางสายสืบข่าวคราวของบู๊ตึ๊งมาโดยตลอด และเมื่อสิบวันก่อนมันก็พบว่าจื่ออิงกลับชิงเคลื่อนไหวจัดการชุมนุมขึ้นก่อนกำหนดโดยมีการเคลื่อนไหวส่งเทียบเชิญออกไป จึงดักชิงเทียบเชิญดังกล่าว เลือกเฉพาะที่เป็นเทียบของเส้าหลินเทียนซาน
สาเหตุที่เลือกเทียบฉบับนี้ ประการหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือเพื่อตัดกำลังของหอห้ากระบี่มิให้ยอดฝีมือเช่นหัวหลินไต้ซือมาถึงทันเวลา
ซุนหยางยังคิด หากเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินอยู่ในงานชุมนุมวันนี้ น่ากลัวแผนการณ์ของพวกเขาคงไม่สำเร็จโดยสะดวกดายเช่นนี้
ครั้งวันประลองชิงตำแหน่งเจ้ายุทธภพนั้น ซุนหยางก็ปลอมตัวไปชมดูด้วยและลองลำดับความสามารถของผู้เข้าแข่งในใจ
เขาจัดลำดับหัวหลินไต้ซือไว้อันดับหนึ่งโดยมิต้องสงสัย
อันดับสองคือตั๋วล่ายสุกและหลิวหยงเคอ สองคนนี้มีฝีมือใกล้เคียงกัน ทว่าตั๋วล่ายสุกคลับคล้ายโชคร้ายกว่า ยังมิทันใช้พลังฝีมือถึงขีดสุดก็พลาดท่าเสียทีต่ออีกฝ่าย ตัวแปรที่สำคัญยังคงเป็นไต้วือหัวหลินผู้นั้น!!!!
อันดับสามคือเหวินเหม่ยชิง แม้นางจะสามารถเอาชัยต่อหลิวหยงเคอได้ แต่ดูเหมือนวันนั้นเจ้าสำนักหัวซานยังมิได้สำแดงพลังฝีมืออย่างเต็มกำลัง คล้ายเพียงมีเจตนาลดทอนกำลังของเจ้าสำนักสาวแห่งหันซานเสียมากกว่า
อันดับสี่กลับเป็นจื่ออิงซึ่งชนะเลิศได้เป็นเจ้ายุทธภพ
ซุนหยางมองออกว่าผู้อยู่เบื้องหลังของหอห้ากระบี่คือหลิวหยงเคอ คนผู้นี้แอบร่วมมือกับจื่ออิง ดันจื่ออิงที่มีกำลังปัญญาด้อยกว่าขึ้นเป็นหุ่นสำหรับควบคุมง่ายๆ หอห้ากระบี่ถูกคนเช่นนี้ปกครองเกรงว่าคงถึงยุคเสื่อมแล้วกระมัง เป็นโอกาสอันดีที่พรรคฉิกจับอิดของเขาจะผงาดขึ้นแทนที่
ซุนหยางคิดถึงตรงนี้ก็ต้องสะดุด เพราะนึกย้อนว่าหากจะมีอะไรมาเป็นปัญหาขัดขวางการเป็นใหญ่ของพรรคเขาละก็คงเกิดจากเรื่องภายในพรรคเช่นกัน
เกี่ยมฮุ้นกับฮั่นตง... สองสุดยอดฝีมือที่มีวรยุทธเป็นรองเพียงหลี่เฉินเชียงต่างไม่สามารถไว้ใจได้ เซียนแพทย์เทวะก็สาบสูญไม่รู้ชะตากรรม ...หากนับจริงๆ คนที่มีฝีมือพอให้พึ่งพาในฉิกจับอิดคงมีแต่เขา ฮวยฮวยกับประมุขเท่านั้น ไม่สิยังมีซิเหวินคังอีกผู้หนึ่ง มุมปากของมันปรากฏรอยยิ้มอันเชื่อมั่นขึ้นมา เมื่อคิดถึงความสามารถของ "หัตถ์เทพบัญชา" ผู้นั้น
หากต้องสู้กับพวกหอห้ากระบี่ เขาทราบดีว่าตนกับฮวยฮวยไม่แน่ว่าจะมีฝีมือเหนือกว่าเหวินเหม่ยชิง และต้องเป็นรองพวกตั๋วล่ายสุกกับหลิวหยงเคออย่างแน่นอน ส่วนประมุขกับไต้ซือหัวหลินผู้ใดจะมีพลังฝีมือสูงส่งกว่านั้นยังเป็นที่สงสัยอยู่ เพราะทั้งสองคนต่างฝึกวิชาคนละแนวทาง หลี่เฉินเชียงฝึกพลังโดยอาศัย ความทะเยอทะยาน ใช้ความมุ่งหวัง ความปรารถนาเป็นแรงบันดาลใจในการฝึกวรยุทธ นำพาตนเองเข้าสู่สิ่งของและวัตถุ อาศัยกิเลสเป็นตัวกระตุ้น ตรงกันข้ามกับหลวงจีนหัวหลินที่พลังฝีมือเป็นแนวทางสถาบันสงฆ์ มุ่งหวังหลุดพ้นจากวัตถุและเรื่องราว อาศัยธรรมมะในการกล่อมเกลาดวงจิต
ที่แตกต่างกันคือหลวงจีนหัวหลินนั้นยังไม่บรรลุขั้นสุดยอด โดยยังด้อยกว่าหลวงจีนจิตว่างอาจารย์ผู้เป็นสุดยอดฝีมือแห่งยุทธภพเมื่อยี่สิบปีก่อนอยู่บ้าง แต่หลี่เฉินเชียงนั้นนับว่าสำเร็จวิชาในแนวทางของตนเองแล้ว
อย่างไรก็ตามการเปรียบเทียบฝีมือของทั้งสองไม่ใช่เรื่องที่ซุนหยางเอามาใส่ใจ เขาเพียงคิดว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้ทั้งสถานที่ ภูมิอากาศ เวลา และปัจจัยอื่นๆอยู่ข้างหลี่เฉินเชียงขณะสู้กับไต้ซือหัวหลินก็พอ
...ยอดฝีมือสู้กัน ความแตกต่างเล็กน้อยคือสิ่งที่ชี้ผลแพ้ชนะได้ และความแตกต่างเพียงเล็กน้อยนั้นก็คือหน้าที่ของรั่วจื่อซุนจิง...
แม้เทียบบุคลากรกันตรงๆ ฉิกจับอิดอาจอ่อนด้อยกว่าหอห้ากระบี่ แต่การนำคนน้อยชนะคนมากเป็นหน้าที่ของกุนซืออย่างเขานั่นเอง...
... ... ...
จากคุณ :
ทีมแต่งนิยาย
- [
1 ก.ค. 47 16:14:01
]