CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    เรื่องเล่าจากต่างแดน ตอน ทำงานในร้านอาหาร

    ทำงานในร้านอาหาร

    วันนี้ตอนเย็นอากาศสบายๆ
    หลังจากที่ฝนตกมาเมื่อตอนกลางวัน
    ทำให้อากาศที่เคยร้อนอบอ้าว
    ในตอนเย็นของฤดูร้อนในเดือนมกราคม
    ที่ร้อนจัดมากในบริสเบน
    รู้สึกสบายขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
    กลิ่นของฝนที่ระเหยขึ้นมาจากพื้นดิน
    หอบเอาไอดินขึ้นมาด้วย
    ทำให้บริเวณระเบียงหลังบ้าน
    ที่เราตั้งวงกินข้าวกัน
    ได้บรรยากาศของความอบอุ่น
    เหมือนตอนที่ผมยังเด็ก
    ผมเคยสัมผัสบรรยากาศแบบนี้
    ตอนที่ผมอยู่บ้านสวนที่นนทบุรี
    แต่วันนี้มองไปทางไหนก็เห็นแต่
    ดอกจักกะรันด้า
    สีม่วงบานสะพรั่งเป็นแถวเป็นแนวเต็มไปหมด
    ดอกที่บานแล้วร่วงหล่นลงพื้นดินไม่
    ขาดระยะ ดอกใหม่ก็บานขึ้นมาแทนที่
    เหมือนกับมีตัวตายตัวแทน

    เสียงเจ้าของบ้านทำอาหารอยู่ในห้องครัว
    ซึ่งติดอยู่กับระเบียงหลังบ้าน
    ส่วนผมนอนอยู่ใน เปลญวน
    ซึ่งผูกไว้ใกล้กับโต๊ะนั่งเล่น
    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นสองครั้ง
    เด็กสาวชาวญี่ปุ่นลุกขึ้นไปรับ
    สักครู่ก็พูดขึ้นว่า
    Nick...someone needs to talk to you.
    ผมรู้สึกแปลกใจว่าใครกัน
    พอไปรับ จึงรู้ว่าพี่นันท์
    เจ้าของร้านที่ไปสมัครไว้เมื่อวาน
    ต้องการให้ผมไปลองทำงานในวันนี้
    สิบนาทีต่อมา พี่นันท์ก็มาจอดรถหน้าบ้าน
    เพื่อรับไปทำงาน

    ก็อย่างว่าแหละครับ ผมต้องมาต่อสู้ดิ้นรน
    ดังนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
    ผมได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว
    แต่โชคดีที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
    ไม่มีอุปสรรคอันใดมาขัดขวาง
    ให้เป็นที่เบื่อหน่ายและ หายตื่นเต้น
    ผมเริ่มดำเนินงานตามแผนที่ได้วางไว้ก่อนมาว่า
    จะต้องหางานทำ และงานที่นัก เรียน
    ไทยในต่างแดนนิยมชมชอบ
    ก็คงไม่พ้นงานในร้านอาหารไทย
    ผมโชคดีที่หาวันแรกก็ได้เลย ที่ร้านอาหาร
    ชื่อร้านเกาะสมุย เจ้าของร้านเป็นปักษ์ใต้
    ไม่ต้องบอกก็รู้ เพราะชื่อร้านบอกอยู่ทนโท่
    ว่าสะตอนิยม

    วันแรกที่ไปทำงานได้ค่าแรงวันละสามสิบห้าเหรียญ
    ทำหกวัน ทำทุกอย่าง ตั้งแต่สากกะเบือ
    (เพราะเขาให้ตำน้ำพริกด้วย) ไปจนถึงล้างจาน
    เจ้าของร้านดูแปลกประหลาด คือแกชอบคบแต่
    ลูกคนรวย ยิ่งถ้าโคตรเหง้าใครเป็นคนมี
    ยศฐาบรรดาศักดิ์ พี่แกยิ่งชอบ
    ส่วนผมเป็นไฟล์ตบังคับ พี่แกจำเป็นต้อง
    รับไว้เพราะช่วงนั้นคนขาด
    ทุกวันนี้ผมยังคิดไม่ออกเลยว่า
    ผมโชคดีหรือโชคร้าย ที่ได้เข้าไปทำงานในร้านนี้
    เพราะเพื่อนร่วมงาน ขั้นต่ำเป็นลูกเจ้าของร้านทอง
    ไอ้เด็กเวรพวกนี้ ไม่ต้องพูดถึง
    ทุกคนทำงานเป็นแฟชั่น
    เพื่อเอาไว้เมาท์กันเวลากลับเมืองไทยว่า
    อยู่เมืองนอกนะ ฉันต้องทำงานอย่างนั้น
    ทำงานอย่างนี้ลำบากอย่างนั้นลำบากอย่างนี
    ้ไม่ได้จริงจังกับการงาน
    หรือไม่ก็ทำเพื่อเป็นข้อต่อรอง
    ให้โคตรเหง้ามะขามเฒ่าของมันเห็นใจว่า
    ลูกบังเกิดเกล้าเป็นเด็กดี
    ลำบากตรากตรำขนาดไหน
    เพราะฉะนั้นต้องรีบส่งเงินเพิ่มมาอีกแต่โดยดี
    อย่าให้ต้องมีน้ำโห ไม่อย่างนั้นไม่พอค่าแต่งตัว
    ค่าไปเที่ยว บางคนทำเพราะว่ามีแฟนมาทำด้วย
    ว่าไปแล้วก็เหมือนติดกัน ไม่อยากให้คลาดสายตา

    ผมเห็นด้วยกับคำพูดของคุณอนุชิต จุรีเกษ
    ที่ออกรายการวิทยุ รู้สึกว่าจะเป็นรายการ
    แซท แอนด์ ซัน เป็นรายการวิทยุมีทุกคืนวันอาทิตย์
    คุณบ่นเคยบอกว่า เขารู้สึกเสียดายเวลาที่ตอน
    เรียนอยู่เมืองนอกแล้วไปทำงาน
    ทั้งที่ไม่เดือดร้อนอะไรสักหน่อย
    แทนที่จะเอาเวลาเหล่านั้น มาอ่านหนังสือ
    หรือดูข่าวเพื่อเปิดโลกทัศน์ของตัวเอง
    เรียนรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ทำงาน
    จนดึก กลับไปนอนหลับเป็นตายเช้าไม่อยากตื่นอีก
    แต่ผมนั้นเอาไปเทียบกับคุณอนุชิตไม่ได้
    เพราะตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน (อัตตาหิอัตตาโนนาโถ)
    ทั้งที่ตัวผมเองขี้เกียจตัวเป็นขน
    แต่ก็ต้องดิ้นรนเพื่อดับกิเลสในใจ
    ที่มีความอยากเป็นตัวพาหะนำไป
    ความอยากที่ว่าีนั่นก็คืออยากมา
    เรียนเมืองนอก อยากมีงานดีๆทำมีเงินเยอะๆ
    แต่ความซวยของผมไม่ได้จบแค่ว่า
    ผมมีงานทำแล้ว แต่มันซวยตรงที่ว่าผมได้ร่วมงาน
    กับไอ้พวกลูกผู้มีอันจะกินทั้งหลาย
    ไม่ต้องห่วง ไอ้เด็กเวรพวกนี้
    ไม่รู้ว่ามันเต็มใจมาเกิดหรือไม่
    เพราะมันช่างไม่มีสามัญสำนึกเอาซะเลย
    เอาเปรียบคนอื่นได้ หน้าตาเฉย
    อู้สารพัดเห็นคนอื่นเขาทำงานกัน
    แทนที่มันจะช่วย เปล่าเลย
    มันทำเป็นมองไม่เห็น
    ความรู้สึกนี้ผมเคยเห็นมามาก
    เวลาขึ้นรถเมล์ที่กรุงเทพ บางครั้งมีคนแก่
    ผู้หญิงท้องขึ้นมา แทนที่ ผู้ชายจะลุกให้นั่ง
    กลับทำเป็นไม่เห็น
    บางครั้งแกล้งทำเป็นหลับยังมีเลย

    ผมมีตัวอย่างไอ้เด็กนรกคนหนึ่ง
    ทุกวันนี้ยังแค้นอยู่นิดๆเลย
    ผมล้างจานเสร็จ ต้อง กวาดพื้น
    ถูพื้นอีก พนักงานคนอื่นต่างก็ช่วยกันเก็บร้าน
    แต่มันนั่งกินข้าวหน้าตาเฉย
    ไม่รู้ว่ามันจะกินเป็นมื้อสุดท้าย
    ในชีวิตของมันหรืออย่างไร
    หรือว่ามันไม่เคยอยู่ร่วมกับคนมาหรืออย่างไร
    มันถึงไม่รู้ จะปฏิบัติตัวอย่างไร
    หรือเวลามันอยู่บ้าน ญาติผู้ใหญ่ของมัน
    อันได้แก่พ่อแม่มันเป็นต้น
    มัวไปตายอยู่ที่ไหนไม่ทราบ
    ถึงไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนให้ลูกมัน
    ให้มีสามัญสำนึกบ้างว่า
    การทำงานร่วมกับคนอื่น ต้องช่วยเหลือกัน
    ห้ามเอาเปรียบกัน
    ส่วนเจ้าของร้านก็ไม่เห็นว่าอะไร
    ไม่รู้กลัว บิดามันไม่ให้เป็นรัฐมนตรีหรืออะไรก็ไม่รู้

    ทำงานอยู่ในร้านนี้สามเดือนเห็นจะได้
    ร้านก็เจ๊ง ไม่รู้เป็นเพราะผมหรือเปล่า แต่คงไม่ใช่
    เพราะขายดีมาก แต่ทำไมเจ๊ง ผมยังงงอยู่เลย
    เจ้าของร้านหายสาบสูญไปไหนไม่มีใครพบ
    ผมเองก็ไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆเจ้าของร้าน
    ยังค้างค่าแรงผมอยู่สองวัน
    ใครทราบช่วยบอกให้พี่แก
    จ่ายเงินผมด้วย เจ็ดสิบเหรียญ

    จากคุณ : พินิจนันท์ - [ 2 ก.ค. 47 09:14:27 A:220.240.123.199 X: ]