CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    ::: ตัวเลือก ::: เรื่องสั้นกิ๊กก๊อก ตามประสาคนอยากเขียน

    ผมรู้สึกหงุดหงิดเหลือประมาณ เวลาบ่ายสามโมงเข้าไปแล้ว เธอคนที่นัดผมทานข้าวโดยขอให้ผมนั่งรอจนป่านนี้ก็ยังไม่มา ในใจนั้นนึกอยากจะตะโกนเสียเต็มประดา ผมพลิกข้อมือขึ้นมาดูเวลาอีกครั้งอย่างเหนื่อยหน่าย บ่ายสามยี่สิบนาทีแล้ว อีกสิบนาที...อีกสิบนาที ผมบอกกับตัวเอง และข่มอารมณ์หงุดหงิดของตัวเองไว้อย่างเหลืออด

    คนอื่นๆที่นั่งอยู่ด้วยกันเดินขึ้นไปห้องเรียนตั้งแต่บ่ายสองแล้ว ดังนั้นที่ซุ้มสาขาที่นั่งประจำก็เหลือผมนั่งอยู่ลำพัง ผมนั่งมองโทรศัพท์ในมือไปเรื่อย ถึงผมเองอยากจะโทรไปเร่งถามว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหนแล้ว แต่ผมก็ไม่ทำ เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมอย่างมาก ในเมื่อผมยอมเสียเวลาเรียนเพื่อที่มานั่งรอตามที่เธอเป็นคนนัดไว้ ทั้งยอมนั่งหิ้วท้องรอกินข้าว หิวก็หิว ร้อนก็ร้อน แต่ทำไมผมต้องเสียเงินเพื่อโทรไปให้คุณเธอหยอกล้อให้โอนอ่อนยังไงก็ได้ตามใจเธออีก

    ในวินาทีที่ความอดทนของผมใกล้สิ้นสุดลงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น ผมแน่ใจทีเดียวว่าคงเป็นหล่อนที่โทรเข้ามา ด้วยความหงุดหงิดและเลยเวลานัดมานานอยู่ ผมอยากจะตะโกนกรอกลงไปในโทรศัพท์ต่อว่าเธอเหลือเกินว่าทำไมถึงขาดความรับผิดชอบอย่างนี้แต่ด้วยมารยาทและนิสัยของผมเอง การแก้ปัญหาด้วยการโยนอารมณ์เข้าใส่กันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ทำให้ผมระงับความโกรธและค่อยๆรับฟังเธออย่างใจเย็น

    “เอ้อ อรมาถึงแล้วนะคะ กำลังหาที่จอดรถอยู่” น้ำเสียงของหล่อนยังคงสดใส เป็นคนเดิมที่ผมรู้จัก

    “ครับ” ผมตอบรับสั้นๆ และพลิกนาฬิกาขึ้นมาดูอีกครั้ง ก่อนที่จะพูดอะไรต่อเธอก็แทรกขึ้นมา

    “เดี๋ยวอรคงต้องไปถ่ายงานแถวนี้เลยนะคะ นี่สายแล้ว รถติดมากเลย” เธอกุลีกุจอพูดขึ้นและเสียงปิดประตูรถดังสอดขึ้นมา

    “อ้าว! แล้วไหนอรนัดผมให้นั่งรอทานข้าวตอนบ่ายสองด้วยกันยังไงล่ะ” ผมถามทันที ด้วยความรู้สึกที่คิดว่าเธอลืมนัดที่เธอนัดไว้

    “หา ! จริงเหรอ...” น้ำเสียงเธอแฝงด้วยความตกใจ ซึ่งทำให้แน่ใจแล้วว่านัดวันนี้คงจะเสียเปล่า รวมทั้งเวลาของผมด้วยเช่นกัน

    “ทำไมอรถึงไม่มีความรับผิดชอบขนาดนี้นะ เป็นคนนัดพี่เองแท้ๆ” ผมพูดเชิงต่อว่าทันที

    “โอ้ย ! พี่ชลเข้าใจอรหน่อยสิ อือ อือ อรขอโทษก็ได้” เธอพูดตอบด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ ที่โดนต่อว่า

    “แล้วนี่ตกลงจะมาเจอกันไหมคะ” เธอถามต่อ

    “ไปทำไม เวลาแค่นี้จะพอคุยอะไรกันได้เหรอไง” ผมหมดความอดทน

    “อรอุตส่าห์มาถุงที่นี่แล้วเชียว จะไม่ออกมาเจอกันหน่อยเหรอแป๊ปเดียวก็ได้”

    “ไม่ล่ะอรไปทำงานเถอะ เจอกันแป๊ปเดียวไม่ช่วยอะไรหรอก”

    “แล้วพี่ชลเลิกเรียนวันนี้กี่โมงล่ะคะ เจอกันตอนเย็นก็ได้” เธอถาม

    “ทุ่มครึ่ง” ผมตอบสั้นๆ
                   
    “แค่นี้นะครับ จะขึ้นเรียนแล้ว” ผมพยายามทำน้ำเสียงให้ปกติที่สุด เพื่อระงับอาการโกรธของตัวเองไว้อย่างสุดความสามารถ

    ผมกดวางโทรศัพท์ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไรออกมาอีก ความรู้สึกในตอนนี้อึดอัดอยากจะตบหัวตัวเองที่มานั่งรอท้องหิวอยู่คนเดียว รวมทั้งยังไม่ได้ขึ้นเรียน 1 คาบด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้อีก เหมือนกับคนโง่ที่นั่งรออะไรที่ไม่มีอยู่แล้ว ให้ความสำคัญในสิ่งที่ไม่สำคัญ แต่น่าแปลกใจที่ครั้งนี้ผมเองก็คิดว่ามันอาจจะดีที่ได้ปล่อยให้ความรู้สึกที่ยังค้างคาอยู่ให้หายไปบ้าง เพราะความรู้สึกแบบนี้ทำให้ผมเบื่อหน่ายกับตัวเองมานานแล้ว ประหนึ่งตกอยู่ในนรกขุมใดขุมหนึ่งอย่างทุรนทุราย...แน่ล่ะ มันเป็นเรื่องดีที่ความรู้สึกแบบนี้หายไป เหมือนยกภูเขาออกจากอกและเมื่อคิดได้ดังนั้นผมจึงใช้เวลาที่เหลือเดินไปกินข้าวก่อนที่จะขึ้นเรียนวิชาต่อไป

    หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผ่านมาอรก็ไม่ไดติดต่อผมมาอีก ผมเองก็ชินชาเสียแล้วจึงมองเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผมเองก็ยอมรับว่าค่อนข้างจะผิดหวังอยู่มากเลยทีเดียว ในเรื่องอื่นผมนั้นก็ออกจะไม่แพ้ใคร แต่เรื่องความรักและความคิดของหัวใจผู้หญิงนั้นมักจะทำให้ผมขอยอมแพ้ได้เสมอ การที่จะกล้ามีความรักอีกครั้งหลังจากที่พลาดหวังอย่างรุนแรงมาแล้ว ทำให้ผมไม่อยากที่จะเสี่ยง เพราะวคามเจ็บปวดทางใจนั้นหนักหนากว่าความเจ็บปวดทางกายหลายเท่า และไม่มียาใดจะมารักษาให้หายขาดได้เสียด้วย คนไม่เคยก็ไม่รู้

    “เฮ้ย ! ไอ้ชลเป็นไรวะนั่งทำหน้าอมทุกข์” วิทยาหรือไอ้วิทเพื่อนผมเดิเข้ามาทัก

    “เรื่องเดิมๆว่ะ ยัยอรน่ะสิติดต่อกลับมา แถมยังทำแสบอีก”

    “อะไรอีกล่ะคราวนี้ เอ็งกับยัยอรเลิกกันไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ”

    “ไอ้ใช่มันก็ใช่ แต่ก็โทรมาหาเรื่อยๆ ครั้งล่าสุดเมื่อวานซืนก็เพิ่งจะโทรมาขอนัดกินข้าว แย่กว่านั้นคือนัดแล้วไม่ยอมมาตามนัดเสียด้วย” ผมพูดเสียงหน่าย

    “ยัยอรสงสัยทะเลาะกับไอ้ยอดอีกล่ะสิ”

    “สองคนนั้นยังคบกันอยู่อีกเหรอ?” ผมถาม

    “ไม่รู้ว่ะ เพราะข้าก็ไม่ได้คุยกับอรนานแล้วเหมือนกัน”

    “อืม...” ผมตอบรับเบาๆ

    ผู้ชายอย่างผมนั้นออกจะมองความรักเป็นสิ่งหอมหวาน ผมไม่ชอบพูดคำว่ารักพร่ำเพรื่อ รักใครก็รักจริง...ในทางกลับกันผมก็ไม่ชอบที่จะทุ่มเทให้ใครแล้วเสียเปล่า ผมไม่ชอบให้ใครมาเล่นบทตีสองหน้าใส่ ไม่ชอบมีตัวเลือกและไม่ยอมเป็นตัวเลือกของใครเช่นกัน แต่ในเมื่อความรู้สึกของผมยังเหลืออยู่ไม่ว่าน้อยแค่ไหน  มันก็ยังเป็นความรู้สึกที่เหลืออยู่ หลังจากนั่งตรึกตรองดูอย่างมุ่งมั่นจึงตกลงกับตัวเองว่าอย่างน้อยถ้ามีโอกาสเราก็น่าจะลองทำให้ดีที่สุด

    ผมจึงเริ่มนัดเธอทานข้าวเป็นครั้งแรกหลังจากที่เลิกกันมาเกือบจะหนึ่งปี แล้วมื้อต่อๆไปก็ตามมาและทุกครั้งนั้นผมก็สังเกตดูท่าทีของเธอ เธอไม่ได้รังเกียจผม ผมนัดเธอออกมาครั้งใดถ้าไม่ติดธุระสำคัญจำเป็นจริงๆหล่อนก็ไม่เคยปฎิเสธที่จะออกมา ผมนึกดีใจเบื้องต้นว่าครั้งนี้เราอาจจะกลับมาคบกันได้อีก หลังจากที่เลิกรากันไปเมื่อก่อน แต่ครั้งนี้ถ้าทุกอย่างยังคงราบรื่นผมก็มั่นใจว่าความรักของเราคงจะไม่ผิดหวัง

    ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ผมกับอรมานั่งคุยกันสบายๆจิบกาแฟอยู่ในล็อบบี้ของโรงแรม โทรศัพท์ของอรดังขึ้น หล่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและทำสีหน้าตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะกดวางสายและปิดเครื่องไป ด้วยสัญชาติญาณบางอย่างหรืออาจจะเป็นเพียงแค่ความบังเอิญที่ผมฉุกคิดถึงบทสนทนาที่ผมคุยกับไอ้วิทยาขึ้นมาได้

    “อรยังคบอยู่กับยอดหรือเปล่า ?” ผมตัดสินใจถามออกไปทั้งๆที่ไม่อยาก แต่ถ้าผมไม่ถามออกไปนั้นความไว้วางใจของผมที่มีต่ออรนั้นคงจะไม่กลับมาแน่นอน

    “พี่ชลแน่ใจหรือคะว่าจะถามอรอย่างนี้ ทำไมถึงมาถามเอาตอนนี้ด้วย”อรมองหน้าผม

    “ก็พี่แค่อยากจะรู้เพื่อที่จะไว้ใจอรได้อีกครั้ง พี่รู้ดีว่าพี่รักอรนะ และอรคงไม่ปฎิเสธที่จะตอบ”

    “ไม่หรอกค่ะ ตอนนี้อรกับพี่ยอดยังเป็นแค่เพื่อนกัน เรารู้จักกันไม่นาน มีหลายอย่างที่เราเข้ากันไม่ได้ แล้วแบบนี้จะถือว่าเราคบกันอยู่ได้อย่างไรล่ะคะ” อรตอบอย่างใจเย็น

    ผมพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ แต่ดูเหมือนกับว่าความหมายในคำพูดนั้นยังคลุมเครือ ยังมีหลายอย่างที่ยังค้างคาใจ อย่างที่ผมบอกว่าผมเป็นคนที่มีความรักจริงจัง มีหลายอ่างในตัวของอรที่เปลี่ยนแปลงไปจากอรที่ผมรู้จักเมื่อก่อน ผมรู้สึกได้ว่ามีหลายอย่างที่อรกำลังปิดบังผมอยู่

    “อร ที่เราออกมาด้วยกันบ่อยๆอย่างนี้ ผมคิดว่าเราควรจะกลับมาคบกันนะ” ผมตัดสินใจบอกความในใจออกไป โดยมองข้ามข้อเสียของอรที่เห็นมา

    “ไม่ได้หรอกค่ะ เรายังรู้จักกันน้อยไป ทั้งพี่และอรมีหลายอย่างที่แตกต่างไปจากเมื่อก่อน มีอะไรหลายอย่างที่เป็นข้อเสียของอรแต่พี่ชลยังไม่รู้ อรเชื่อวาถ้าพี่ชลรู้จะต้องเปลี่ยนใจ”

    “อรไม่รู้เหรอว่าพี่คิดยังไง พี่เป็นคนยังไงอรก็รู้ พี่รักอรนะ”

    “แล้วอรคิดยังไง พี่ชลเคยถามอรไหมล่ะคะ”

    “แล้ว...อรคิดยังไง” ผมถาม

    “อรว่ามันเร็วเกินไปนะคะที่จะตัดสินใจอะไร อรว่าพี่ลองถามตัวเองดูก่อนดีกว่า”

    ผมอึกอักกับคำตอบและท่าทีของอรที่อยู่ต่อหน้าผมในเวลานี้ ผมยังไม่ทันที่จะรวบรวมสมาธิเพื่อที่จะตั้งหลักความคิดของตัวเอง อรก็ชิงพูดเสียงเครียด

    “พี่ชลคะ อรว่าเราพอแค่นี้เถอะค่ะ อรไม่อยากให้พี่ต้องเสียใจมากกว่านี้ ถ้าวันไหนอรบอกเลิกกับพี่ชล พี่ต้องเข้มแข็งนะคะ”

    ผมรู้สึกร้อนผะผ่าวไปทั่วทั้งหน้า เหมือนมีคนเอาของร้อนมาทาบ หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ มีอาการชาที่มือและปลายแขนรุนแรง หูอื้อ นัยน์ตาพร่ามัวคล้ายกำลังจะเป็นลมหรือไข้จับ....ผมเริ่มจะเข้าใจว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร

    “อร...อรทำเหมือนกับไม่รู้ว่าพี่คิดยังไง ทำไมอรถึงทำอย่างนี้”

    “พี่ชลคงเข้าใจอะไรผิดไปแล้วล่ะค่ะ อรกลัวว่าคนจะประณามอรว่าอรทำให้พี่ชลเสียใจ อรกลัวว่าพี่จะคิดมากที่อรเลิกกับพี่”

    หลังจากที่เธอพูดจบประโยค ความรู้สึกดีๆที่มีให้กับอรภายในตัวผมนั้นก็ได้มลายหายไปสิ้น นี่หล่อนตีค่าตัวเองสูงถึงขนาดนี้...

    “หมายความว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น คุณเห็นผมเป็นเพียงตัวเลือกของคุณใช่ไหม”

    “อรไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”

    ผมรีบโบกมือห้าม “พอเถอะ ผมไม่อยากพูดและรับฟังไปมากกว่านี้”

    หล่อนพยักหน้ารับ

    เวลานั้น...ผมมีความรู้สึกอยากจะตบหน้าเธอเสียเต็มประดา คำหวานและกิริยาที่หล่อนมอบให้ผมตลอดเวลาที่แท้ก็เป็นเพียงแค่ละคนตบตาฉากหนึ่งเท่านั้น จะว่าไปหล่นก็เป็นนักแสดงที่ดีคนหนึ่ง แสดงทุกฉากได้สมบทบาท สมควรจะปรบมือให้ดังกึกก้อง

    คำว่า “ตัวเลือก”สะท้อนกึกก้องในหัวผม…

    “อร มาเจอพี่ที่ร้านอาหารเดิมของเราอีกครั้งได้ไหม พี่มีเรื่องจะคุยด้วย ถือเสียว่าเป็นครั้งสุดท้ายของเรา” ผมเสนอนัดเธอทางโทรศัพท์อีกครั้ง น้ำเสียงเป็นปกติอย่างที่เคยปฎิบัติมา

    “ค่ะ ตกลง” เธอตอบรับ

    เราพบหน้ากันอีกครั้ง และนั่งกินอาหารเบาๆ หล่อนจ้องหน้าผมแล้วยิ้มให้อย่างจืดชืด ผมไม่ยิ้มให้หล่อน พยายามทำท่านิ่งเฉยให้ดูเป็นผู้ใหญ่มากที่สุด

    ผมปล่อยให้อรเดินนำหน้า ผมเดินตามหลังไปอย่างช้าๆ จับจ้องกิริยาท่าเดินของเธอ ราวจะบันทึกไว้ในความทรงจำเป็นครั้งสุดท้าย

    “อร...” ผมเรียกชื่อเธอ

    “คะ” เธอหันกลับมาและชะงักเล็กน้อย
    ผมยิ้มให้เธอ

    “ในเมื่อตอนที่พี่เจออรครั้งแรกพี่เป็นคนเข้าไปทำความรู้จักกับอร และเป็นคนเริ่มต้นนิยายของเราสองคน แต่ตอนนี้คนที่กำลังจะทำให้มันจบลงก็คืออร” ผมพูดเสียงเรียบ

    “ค่ะ ดูว่าจะเป็นอย่างนั้น”

    “อรครับ” ผมเงียบไปสักครู่ “ผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมอยากที่จะปิดนิยายของเราที่ผมเป็นคนเริ่มต้นขึ้นด้วยมือของผมเอง”

    “หมายความว่ายังไงคะ” หล่อนทำหน้า งง

    ผมไม่ตอบ แต่ชักมีดปลายแหลมออกมาจากกระเป๋า คมมีดสะท้อนแสงจันทร์แวววาว...เร็วเกินกว่าที่เธอจะมีโอกาสได้พูดอะไร ผมทิ่มมีดปลายแหลมเข้าไปในช่องท้องของเธอจนสุดปลายมีด และดึงออกมาจ้วงแทงให้สมกับความแค้นที่โดนกระทำต่างๆนาๆ

    หล่อนทรุดลงเหมือนลูกนกปีกหัก ขาดใจตายกลางซอกตึกข้างร้านประจำของเรา

    “สุขสันต์วันครบรอบจ๊ะอร” ผมพูดกับร่างของเธอ และมองเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเดินออกมาพลางคิดถึงความยุติธรรม “ในเมื่อผมไม่เคยเอาใครมาเป็นตัวเลือก ผมก็ไม่ควรเป็นตัวเลือกของใคร”

    จากคุณ : น๋อนหนังสือ - [ 5 ก.ค. 47 01:07:22 ]