CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    รัก...แรก (เรื่องสั้น)

    ฉันมองผู้ชายตรงหน้า ออกอาการตะตะลึงเล็กน้อย ก็ใครจะไปคิดว่าแฟนเก่าที่เลิกรากันมานานกว่า 3 ปีนั้นจะกลายมาเป็นเจ้านายซะดื้อ ๆ แบบนี้
    “ฟังอยู่รึเปล่า” ฉันสะดุ้งเล็กน้อยกับคำถามของเขา
    “ค่ะ” ฉันรับคำไปงั้น ๆ ทั้งที่ในใจยังเต้นแรง ผู้ชายตรงหน้าฉันดูดีขึ้นกว่าเดิมมาก อ๊ะ แต่อย่าเข้าใจผิดนะ สาเหตุที่เลิกกันมันไม่ได้มาจากเรื่องหน้าตานี่หรอก
    “แต่ผมรู้สึกเหมือนคุณเหม่อ ๆ นะ” เสียงทุ้มคุ้นหูนี่ก็ใช่ เสียงเขาแหละ ใช้น้ำเสียงเรียบ ๆ เหมือนไม่มีอารมณ์เสมอ ถ้าอยากรู้ว่าอยู่ในอารมณ์ไหนก็ให้จ้องตาเอา และฉันก็เงยหน้าจากรองเท้าหนังสีดำมันเงาของเขาขึ้นสบตาเขาทันทีตามที่ใจคิด
    ไม่มีอะไรในสายตาคู่นั้น นอกจากความว่างเปล่า ฉันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองทำหน้าเสียใจออกไปที่รู้สึกว่าเขาไม่มีเยื่อใยให้อีกแล้ว
    ฉันก้มหน้าลงทันที หัวใจที่เต้นแรงไปพักใหญ่ค่อย ๆ สงบลง ทำไมน่ะเหรอ ก็ความเป็นไปไม่ได้ระหว่างฉันกับเขาไง ตอนนี้เขากลายเป็นผู้จัดการสาขาที่ถูกส่งตรงมาจากบริษัทแม่ ในขณะที่ฉันก็ยังเป็นฉัน เด็กเพิ่งจบเข้าทำงานยังไม่ผ่านโปรซะด้วยซ้ำ แต่ก็ถูกเรียกตัวมาเป็นเลขาฯให้เขาแบบไม่ทันรู้ตัว

    ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ทั้งที่ยังมึน ๆ อยู่ ด้วยซ้ำ เมื่อกี้ตอนเข้าไปในห้องเขา ฉันแทบจะจำอะไรที่พูดกันไม่ได้เลย ในหัวมันพาลแต่จะคิดไปว่า 3 ปีที่ผ่านมาเขาเป็นยังไงบ้าง
    “หนูนา” ฉันหันไปตามเสียงเรียกของรุ่นพี่ ที่มารับตำแหน่งเลขาคู่กัน ฉันยิ้มให้เพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีไปกว่านี้แล้ว
    “ถูกดุเหรอจ๊ะ” พี่แววถามฉันเสียงเอ็นดู แกคงสงสารฉัน ก็หน้าตาฉันตอนนี้มันคงแย่มาก ๆ เลยทีเดียว และเด็กเพิ่งเข้าทำงานอย่างฉันต้องย้ายมาทำงานกับเจ้านายใหญ่โดยตรงแบบนี้ ก็น่าสงสารมากอยู่ แล้วถ้าพี่แกรู้ความสัมพันธ์เก่า ๆ ของฉัน แกจะว่ายังไงบ้างก็ไม่รู้
    “เจ้านายน่ะ ท่าทางดุ ๆ แต่ความจริงใจดีนะจ๊ะ” ฉันมองพี่แววอย่าง งง ๆ ก็เขาเพิ่งกลับมาจากนอก แล้วพี่แววรู้ได้ยังไง
    “พี่เคยตามคุณประวิทย์ไปประชุมที่บริษัทแม่น่ะ ก็เลยได้เจอเจ้านาย เก่งนะทำงานไปเรียนโทไปด้วย พอจบก็เข้าทำงานบริษัทที่โน่นเลย” ฉันมองหน้าพี่แววอย่างขอบคุณ อย่างน้อยฉันก็รู้ล่ะว่าเขาทำงานพร้อมกับเรียนไปด้วย ไม่น่าเลยดูแกร่ง ๆ ชอบกล คงเพราะดูแลตัวเองมานานแล้ว
    “คุณนา” เสียงเข้ม ๆ ผ่านทางอินเตอร์คอม ฉันเลยส่งยิ้มแหย ๆ ไปให้พี่แววก่อนจะเดินเข้าไปในห้องเขาอีกครั้ง
    “เย็นนี้กลับยังไง” ฉันสบตาเขางง ๆ ก็มันเรื่องของฉันนี่นา
    “เดี๋ยวผมไปส่ง” พอฉันทำท่าจะแย้งเขาก็รีบขัดขึ้นก่อนซะอีก “อยากแวะไปหาเภา” ฉันแทบจะกัดลิ้นตัวเอง นี่ฉันลืมไปได้ยังไง เขาไม่มีธุระอะไรกับฉันแล้วนี่นา ที่จะไปส่งก็เพราะคงอยากไปบ้านฉัน ไปหาพ่อพี่ชายตัวดี นายหนูตะเภา เพื่อนรักเขามากกว่า
    “ค่ะ” ฉันก็เลยรับคำง่าย ๆ
    “เรื่องโต๊ะทำงานผมคงย้ายคุณเข้ามาไว้ในห้องนี้นะ” อยู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่องขึ้นมา ฉันเองเลยต้องตกใจอีกครั้ง(วันนี้มีแต่เรื่องให้รู้สึกแบบนี้ทั้งนั้นเลย) สีหน้าฉันคงแสดงความสงสัยเต็มที่เขาก็เลยพูดต่อเรื่อย ๆ เหมือนเป็นเรื่องธรรมดา
    “คุณแววต้องคอยดูแลงานด้านลูกค้า อยู่ด้านนอกคงสะดวกกว่า ส่วนคุณมาเป็นเลขาฯส่วนตัวผม อยู่ในนี้จะได้เรียกใช้สะดวก” ฉันฟังคำพูดเขาแล้วต้องถอนใจออกมาเบา ๆ ไม่ใช่รู้สึกไม่ดีหรอกนะที่ต้องมานั่งทำงานในห้องกับเขาสองคน แต่จะให้ฉันรู้สึกดีก็คงไม่ได้เหมือนกัน ทำไมน่ะเหรอ…

    ฉันมองผู้ชายที่แก่กว่าฉันคนละ 4 ปี กอดกันเหมือนเด็ก ๆ อย่างนึกเอ็นดู เขาสองคนคงคิดถึงกันมาก เพราะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถม
    -จริงซินะ ฉันเองก็รู้จักเขามาตั้งแต่ฉันยังอยู่อนุบาลด้วยซ้ำไปมั้ง นี่มันกี่ปีแล้วเนี่ยะ-
    ฉันนั่งมองผู้ชายสองคนที่คุยกันอย่างออกรสออกชาติ ผู้ชายหน้าดุเมื่อกลางวันหายไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงเขาคนเดิม พี่ต้นที่แสนดีของฉัน อย่าเข้าใจผิดนะเขาไม่ได้สนใจฉันหรอก เพียงแต่ท่าทางเขาเวลาคุยกับพี่ชายฉันน่ะมันเหมือนเขาคนเดิมทุกอย่าง ถ้าไม่นับถึงผิวที่ขาวขึ้น และหน้าตาที่เปลี่ยนไปตามวัยนะ
    “วันนี้หนูนาเลยไม่พูดเลยนะ” พี่ชายฉันหันมาแซว ฉันส่งค้อนกลับไปวงใหญ่ ก็จะให้ฉันเอาช่องว่างที่ไหนมาพูดล่ะ เขาสองคนทำราวกับว่าไม่มีฉันอยู่บนโต๊ะกินข้าวนี้ด้วยแล้วนี่
    “พูดน้อยลงรึเปล่า” ฉันเงยหน้าขึ้นสบตาเขา แต่ยังไม่ทันจะตอบเลย
    “สงสัยจะเขินนายมั้ง” เจ้าพี่ชายตัวดีมาตอบให้ซะก่อน แล้วฉันก็ไม่รู้หรอกว่าหน้าจะแดงมากแค่ไหน เพราะรู้สึกว่ามันร้อน ๆ ยังไงพิกล แต่ความจริงฉันไม่ได้เขินเขานะ เพียงแต่ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปมากกว่า ก็เขาทำท่าไม่สนฉันซะขนาดนั้นน่ะ นึกแล้วก็เคือง พี่ชายฉันก็รู้ ๆ อยู้ว่าฉันกับเขานั้นเลิกลากันไปแล้ว ยังจะมาพูดจาแบบนี้อีก คอยดูเถอะถ้าป๋ากับแม่กลับมาจากทัวร์ยุโรปเมื่อไหร่จะฟ้องให้เข็ดเลย

    “สบายดี” เขาทำเสียงเป็นคำถาม
    “ค่ะ” ฉันไม่ได้เงยหน้าขึ้นตอบหรอก เพราะไม่กล้าสบตาเขา ฉันกลัวจะเห็นความว่างเปล่าในสายตาคู่นั้น เลยได้แต่มองอกกว้างที่อยู่ตรงหน้าพอดี พอความเงียบเข้าครอบงำฉันก็เลยผ่อนลมหายใจเบา ๆ เพราะรู้สึกอึดอัดจริง ๆ ก็เขาเล่นไม่พูดอะไรอีกเลยนี่นา แล้วพี่ชายฉันอยู่ ๆ ก็จะออกไปธุระ ทิ้งฉันไว้กับเขาสองคน แถมยังสั่งเขาไม่ให้รีบกลับให้รอก่อนอีก
    “คุยกับพี่ลำบากใจเหรอ” ฉันเงยหน้าขึ้นสบตาคนแทนตัวเองว่าพี่ แม้น้ำเสียงที่เขาใช้จะใกล้เคียงของเดิม แต่แววตาสงบที่ฉันอ่านไม่ออกนั้น ก็ยังนิ่งสนิทเหมือนเดิม
    “เปล่าหรอกค่ะ” ฉันเอนตัวไปพิงต้นแก้วต้นใหญ่ รู้สึกเหนื่อยใจกับตัวเอง
    “หนูนามีใครรึยัง” ฉันหันกลับมามองหน้าเขาตรง ๆ
    “มีประโยชน์อะไรที่เจ้านายจะรู้ล่ะค่ะ” เสียงฉันมีแง่งอนเต็มที่ ก็สายตาของเขาไม่เหมือนเดิมแล้วนี่ เขาจะมาถามฉันทำไม จะมีหรือไม่มีใครมันก็ไม่เกี่ยวกับเขา
    “เปล่าครับ” เมื่อฉันเรียกเขาว่าเจ้านาย น้ำเสียงที่ตอบกลับมาแม้จะสุภาพ แต่ก็ห่างเหินจนน่าใจหาย และเมื่อเขาไม่ถามต่อ ส่วนฉันก็ยิ่งไม่มีทางพูด เราสองคนเลยนั่งอยู่กันเงียบ ๆ ท่ามกลางกลิ่นดอกแก้ว และสายลมที่ฉันคุ้นเคย
    พี่ต้น เป็นฮีโร่เสมอสำหรับฉัน เพราะตั้งแต่จำเขาได้พี่ต้นเรียนเก่ง เป็นนักกีฬา แล้วก็โดดเด่นกว่าใครมาตลอด ที่สำคัญกว่านั้นฉันเป็นน้องสาวคนพิเศษของพี่ต้นเสมอ ไม่ว่าจะหกล้ม ก็พี่ต้นคนนี้ที่วิ่งเข้ามาปลอบ ก่อนนายหนูตะเภาที่ห่วงเล่นมากกว่าห่วงฉันซะอีก และเมื่อร้องไห้ก็พี่ต้นนี่แหละที่คอยปลอบ จนฉันไม่รู้ตัวว่าทุกลมหายใจเข้าออกกลายเป็นเขาไปซะหมด แล้วความฝันของเด็กอย่างฉันก็กลายเป็นจริง วันประกาศผลสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัย พี่ต้นที่ตอนนั้นเรียนจบแล้ว อาสาขับรถพาฉันไปดูผลสอบ (ส่วนนายหนูตะเภานอนดูงานรับน้องทางทีวีที่บ้าน) แล้ววันนั้นพี่ชายที่แสนดีของฉันก็สารภาพรัก แม้จะไม่ได้ใช้คำว่ารักซะทีเดียว แต่ประโยคที่บอกว่า “พี่อยากจะขอเปลี่ยนจากพี่ชายเหมือนนายเภา มาเป็นผู้ชายที่จะเคียงข้างหนูนาได้มั้ย” อาจจะไม่หวานเหมือนคู่อื่น ๆ ที่ฉันเคยฟังใคร ๆ เล่า แต่แววตาที่มองมาอย่างอบอุ่นนั้น ฉันก็ตอบรับโดยแทบไม่ต้องคิด ก็ตลอดเวลาที่รู้จักกันมาก็เขานี่แหละ ที่คอยดูแลฉันมาตลอด สาวน้อยกะโปโลที่รุ่นพี่ผู้หญิงในโรงเรียนพากันอิจฉา ทำไมฉันจะไม่น่าอิจฉาล่ะ ก็ข้างตัวฉัน มีพี่ต้น ที่เก่งไปซะทุกอย่าง แถมยังมีความสูงดีกรีนักบาสโรงเรียนเป็นประกัน อีกคนน่ะเหรอ ก็นายหนูตะเภาไง แม้ฉันจะรู้สึกว่าไม่เห็นมีอะไรดี แต่สาว ๆ ที่โรงเรียนฉันตลอดจนเพื่อน ๆ ที่มหาวิทยาลัยก็พากันถูกใจนายคนนี้ ใคร ๆ ก็บอกว่า หน้าตาก็ดี(ฉันว่าก็งั้น ๆ ขาว ๆ ตี๋ ๆ ธรรมดาจะตาย) ดีแค่สูงนิดหน่อย 180 กว่า ๆ เห็นจะได้ ถึงจะเตี้ยกว่าพี่ต้นนิดหน่อย แต่ก็สูงกว่าผู้ชายเกือบทั้งโรงเรียน แล้วก็คงนิสัยบ้า ๆ บวม ๆ ของพี่ชายฉันล่ะมั้ง เพราะนายคนนี้ยิ้มได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ส่วนฉันน่ะเหรอ ฉันก็เป็นหนูนาสมชื่อ เพราะตัวเล็กมาตั้งแต่เกิดเลยได้ชื่อนี้ แล้วหวังจะให้โตน่ะเหรอไม่ได้หรอก เพราะจนอายุ 22 นี่แล้ว ฉันก็ยังสูงแค่ 155 เซน เท่าตอนม.ปลาย คงมีแต่เจ้าส่วนเว้าส่วนโค้งเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่ละมั้งที่เพิ่มขึ้นบ้าง ส่วนอย่างอื่นรวมทั้งหน้าตาก็ไม่มีอะไร ขนาดตอนสมัครงาน คนสัมภาษณ์ยังทำหน้าเหมือนฉันอายุไม่ถึง 20 มาสัมภาษณ์แทนพี่สาวประมาณนั้น
    “คิดอะไรอยู่” เสียงทำลายความคิดฉัน ถามขึ้นข้าง ๆ ฉันถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าฉันกับเขามานั่งข้างกันบนชิงช้าไม้ตัวเล็กนี่ และตอนนี้เขาก็กำลังไกวมันเบา ๆ ด้วยขาที่ยาวกว่าฉัน
    “เรื่อย ๆ ค่ะ” ฉันตอบแล้วก็อดอมยิ้มนิด ๆ ไม่ได้ ก็เมื่อกี้นี้มีแต่เรื่องเขาในหัวฉันเต็มไปหมดเลยนี่นา อาการมองอย่างสงสัยกึ่งจับผิดของเขานั้นทำให้ฉันต้องรีบทำหน้าเฉย ๆ แล้วหันไปมองทางอื่น
    “ไม่ได้นึกถึงพี่ต้นหรอกนะ” ฉันรีบแก้ตัว แล้วก็นึกเสียใจว่าเขาต้องรู้แน่นอนว่าฉันนึกถึงเขาอยู่
    “หนูนาก็คงไม่นึกถึงผู้ชายที่เคยทิ้งไปแล้วหรอก” ฉันหันขวับมาจ้องหน้าเขาทันที ก็เขามาหาว่าฉันเป็นคนทิ้งเขาอ่ะ ทั้งที่ความจริงตอนเลิกกันฉันนอนร้องไห้ไม่ต่ำกว่า 7 วัน แถมยังเสียใจขนาดตัดเจ้าผมสีดาสนิทที่เขาชอบนักหนาออกด้วยมือตัวเอง แล้วจากนั้นก็ไม่ปล่อยให้มันยาวอีกเลย
    “ใครทิ้งใครกันแน่” ฉันทำเสียงหาเรื่อง ถ้าเป็นเรื่องนี้ ยังไงก็ยอมไม่ได้ คนทิ้งฉันไปมาหาว่าฉันทิ้งเขาใช้ได้ที่ไหน แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจฉันแล้ว เพราะก้าวขายาว ๆ ไปยังรถของพี่ชายฉัน ที่เลือกเวลากลับได้ดีจนไม่น่าเชื่อ
    “ท่าทางจะมาขัดจังหวะแฮะ” นายหนูตะเภาทำเสียงกวนประสาทใส่ฉัน คิดดูซิตั้งนานไม่กลับมา ดันกลับมาตอนที่ฉันจะคุยกับเขาให้รู้เรื่อง
    “เปล่า หนูนาไม่ค่อยพูดอะไรเลย” ฉันมองหน้าผู้ชายตัวโตที่ทำเสียงเหมือนฟ้องพี่ชายฉัน
    “ยายนี่น่ะเหรอ ปกติพูดมากจนน่ารำคาญ พูดน้อย ๆ ได้บ้างก็ดีแล้ว” คนว่าฉันเดินมาขยี้หัวเหมือนฉันเป็นเด็ก ถึงฉันจะพยายามหนีก็คงไม่พ้น เพราะนายหนูตะเภาเล่นทำท่าล็อคคอฉันไว้มั่น
    “ไปกินเหล้ากันดีกว่า” ฉันส่งค้อนให้คนที่ชวนเจ้านายฉันไปกินเหล้าหน้าตาเฉย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพรุ่งนี้ไม่ใช่วันหยุด
    “ไว้คราวหน้าดีกว่า พรุ่งนี้ทำงาน” พี่ต้นตอบ เฮ้ย เจ้านายตอบเสียงเรียบ ๆ
    “ลืมไปเลย” พี่ชายฉันทำเสียงอ่อย ๆ นายคนนี้จะไปรู้วัน เดือน ปี กับใครเขาได้ ก็วัน ๆ เล่นนอนวาดรูปอยู่บ้าน แล้วฉันก็ไม่อยากเชื่อด้วยว่ารูปของเขาจะขายออก(แต่ก็มีคนมาซื้อไปจนได้ทุกครั้งที่นายคนนี้จัดนิทรรศการ)
    “งั้นวันศุกร์นี้มานะ” คนมีความพยายามอย่างพี่ฉันมีเหรอจะยอมง่าย ๆ โดยเฉพาะการหาเพื่อนกินเหล้า
    “อือ” เจ้านายยิ้มให้เพื่อนซะกว้าง จนฉันชักอิจฉาพี่ชายตัวเอง ก็ทีกับฉันเขาไม่เห็นยิ้มดี ๆ แบบนี้ให้บ้างเลยนี่นา

    จากคุณ : น้องเล็ก - [ 8 ก.ค. 47 17:15:29 A:203.156.56.248 X: ]