CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    Diary of a madman (หลอนวิปลาส 1)

    หลอนวิปลาส 1


    จิตแพทย์วัยกลางคนนั่งแทะเล็มความคิดของตัวเองอยู่ในห้องอย่างไม่รีบร้อน บันทึกของคนไข้ทางจิตหลายเล่มวางอยู่บนโต๊ะอย่างไม่เป็นระเบียบ  นอกหน้าต่างยังได้ยินสรรพเสียงดังแว่วมาเป็นระยะ  เครื่องบินโดยสารท้องแก่เพิ่งบินอุ้ยอ้ายผ่านไป เขานึกเล่นๆว่ามันคงไม่คลอดออกมากลางอากาศก่อนถึงสนามบิน  นาฬิกาแขวนบนผนังบอกเวลาอีกไม่นานความมืดก็จะเริ่มถามหา อาหารมื้อเย็นและเสียงสวดคาถาจากภรรยาซึ่งมีอายุการใช้งานมากคงรออยู่ที่บ้าน ก็เป็นข้อหาโบราณเก่าเก็บ ประเภทหาว่าเขากำลังมีอะไรกับสาวๆประมาณนั้น

    โครงการแจกสมุดบันทึกให้คนไข้เขียนเป็นไปด้วยดี  บันทึกเหล่านั้นนอกจากจะนำไปใช้ในงานวิจัยเพื่อเป็นข้ออ้างในการขึ้นเงินเดือนให้กับตัวเอง ยังอ่านสนุกนั่งลุกสบาย เรื่องบางเรื่องมีแต่คนบ้าเท่านั้นที่เขียนออกมาแบบนั้นได้ เรื่องบางเรื่องก็มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่จะอ่านรู้เรื่อง   เขาหยิบมั่วๆขึ้นมาเล่มหนึ่ง

    เวลายังพอมี คุณหมอเอนหลังพิงเก้าตัวนุ่มก้นนุ่มหลัง พลิกอ่านช้าๆไม่รีบร้อน

    ++++++

    ก่อนที่ผมจะถูกส่งมาที่นี่ ผมมีภรรยาที่แสนสวยและแสนดี จนทำให้ไม่จำเป็นต้องอิจฉามนุษย์หรือเทวดาหน้าไหน เราพบกันโดยบังเอิญเมื่อหลายปีก่อนในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง เพียงครั้งแรกที่สบตากัน ผมก็รู้ว่าเธอเกิดมาเพื่อผม ผมเกิดมาเพื่อเธอ เราต่างเกิดมาเพื่อกันและกัน  หลังจากงานแต่งงานแบบเรียบง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ ครอบครัวของเราก็เริ่มต้นขึ้นและความผิดปกติอันน่าสะพรึงกลัวก็เริ่มต้นขึ้นเช่นกัน

    พวกเราไม่เคยทะเลาะ ไม่เคยขัดใจกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีจนไม่อยากเชื่อ ผมว่าคุณเองก็คงไม่อยากเชื่อ ว่าคนสองคนอยู่ด้วยกันจะไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งกันเลย ดังนั้นคุณจึงไม่รู้ว่าชีวิตแบบนั้นมันดีขนาดไหน

    บางทีเพราะอะไรที่มันดีเกินไปนี่เอง อาจทำให้ผมดูแปลกไปในสายตาของเพื่อนๆ งานที่ทำเริ่มมีความผิดพลาดมากขึ้น ซึ่งก็แน่ละ... ระยะหลังผมเอาจิตใจทุ่มเทให้กับเวลาเลิกงานจนหมด ก็เพียงแค่จะรีบกลับบ้านเท่านั้น

    แต่ก็มีวันหนึ่งที่ผมทำผิดพลาดไปจนได้ หัวหน้าและบรรดาเพื่อนฝูงทั้งหลายทั้งปวงพอเลิกงาน พากันรวมตัวลากคอผมให้ไปงานเลี้ยงของบริษัทที่จัดขึ้นเพื่อแสดงความยินดีในเรื่องอะไรก็คร้านที่จะจำ คนพวกนั้นดูท่าทางสาแก่ใจและมีความสุขในการบังคับให้ผมดื่มเครื่องมึนเมาแก้วแล้วแก้วเล่า

    “ให้เวลากับเพื่อนฝูงบ้างสิ”  

    นั่นเป็นข้ออ้างของพวกมัน ก็แน่ล่ะ คนเหล่านั้นไม่มีคนรักที่สุดวิเศษอย่างผมนี่นา เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของผู้คนรอบข้างซึ่งดูเหมือนเย้ยหยันทำให้เวียนหัวเหลือเกิน  สาวดูแลโต๊ะซึ่งคอยบริการรินเหล่ารินเบียร์ก็ดูน่าเกลียดน่าชังเสียจริง นัยน์ตาแพรวพราวไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมเยือกเย็น ปากทาสีแดงจนเหมือนเพิ่งดื่มเลือดมาใหม่ๆ   ทำอย่างไรดีจะหนีคนพวกนี้ได้นะ พยายามคิดหาทางออก

    ห้องน้ำ.. จะต้องอ้างเข้าห้องน้ำ แล้วขึ้นรถแท็กซี่หนีกลับบ้าน

    ผมลุกขึ้นและออกปากขอตัวเข้าห้องน้ำ

    คุณจะเชื่อไหมว่าทุกคนหยุดพูดหยุดคุย อย่าว่าแต่โต๊ะนี้เลย ทุกคนทุกโต๊ะในร้านก็พากันชะงักค้างเงียบกริบ
    หันมามองเป็นตาเดียว เหมือนกันจะรู้ว่าผมจะมาไม้นี้  

    อาการของคนพวกนั้นทำให้ผมรู้สึกอยากจะอาเจียนด้วยความขนลุก มันอะไรกันนี่ .. ดูเหมือนว่าพวกเขาพวกเธอทุกคนกำลังรวมตัวกันวางแผนทำอะไรสักอย่างที่ยังทายไม่ออกบอกไม่ถูก อาการนิ่งเงียบแบบพร้อมเพรียงกันและสายตาคนพวกนั้นเหมือนมีอำนาจหรือมนตร์สะกดลี้ลับน่าสะพรึงกลัวบางอย่าง

    หัวหน้าของผมซึ่งเป็นชายวัยกลางคน แต่ตอนนี้ดูหน้าตาของแกน่าเกลียดเหลือเกิน รอยยิ้มนั่นดูไปก็เหมือนกับเป็นการแสยะมากกว่า ผิดจากเจ้านายใจดีที่บริษัทลิบลับ

    “นายจะหนีกลับบ้านก็บอกมาเถอะ....”  เขาเอ่ยขึ้นมาเหมือนกันรู้ความคิดของผม

    “จะกลับก็ควรบอกเพื่อนฝูงกันดีๆ ไม่ควรจะหนีกลับแบบนี้”

    “เปล่าครับ....”
    ผมตอบเสียงอึกอักเพราะไม่ถนัดในการโกหกมนุษย์

    “โกหก...”

    เสียงใครคนหนึ่งสวนคำขึ้นมาในขณะที่ผมเริ่มมึนงงและตกตะลึงกับเหตุการณ์อันไม่คาดคิด  คนพวกนี้เป็นเพื่อนผมจริงๆหรือเปล่าทำไมตั้งหน้าตั้งตาจองล้างจองผลาญแบบนี้

    “จะกลับไปหาแฟนคนดีที่หนึ่งของนายล่ะสิ”

    “เห็นแฟนดีกว่าเพื่อนนี่นา”

    “แบบนี่ต้องสั่งสอน”

    “ฆ่ามันเลย...”

    “เฮ้ย....”  ผมร้องเสียงหลงกับประโยคสุดท้าย มันชักจะล้อเล่นกันแรงมากเกินไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะเสริมให้สิ่งที่พากันพูดออกมาเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น พวกเขาพากันคว้าสิ่งที่พอจะทำเป็นอาวุธขึ้นมาจากโต๊ะ ไม่ว่าจะเป็นช้อน ส้อม ตะเกียบ มีดหั่นเนื้อ  ผมถอยหลังกรูดอย่างไม่เชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น แทบหายเมาเป็นปลิดทิ้ง

    ไม่เพียงแต่โต๊ะนี้เท่านั้น คนที่นึ่งโต๊ะตัวอื่นๆ ก็พากันเข้ามาร่วมสังคายนาด้วย พวกเขาเริ่มพากันลุกขึ้นและเดินตรงมาที่ผมเป็นจุดเดียว มีทั้งเด็ก ผู้หญิง หรือแม้กระทั่งคนแก่ สีหน้าท่าทางของพวกเขาจริงจังและกระหายเลือด แบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นแล้ว

    แผ่นหลังผมปะทะเข้ากับใครสักคน พอหันไปมองก็เป็นสาวดูแลโต๊ะลูกค้าคนนั้นนั่นเองกำลังยิ้มตาลุกวาวแดงฉาน  อกนุ่มๆของเธอไม่ได้ทำให้การปะทะนั้นอิ่มเอิบซาบซ่านแต่ประการใดเพราะมือขวาของเธอกำมีดเงื้อขึ้นสุดแขน

    “จะไปไหนคะที่รัก  คุณยังไม่จ่ายเงินเลยนะคะ”

    เสียงใสๆนั่นไม่เข้ากันเลยกับอาการจ้วงแทงมีดหั่นเนื้อเข้าเต็มซอกคอของผม  

    คมมีดร้อนผ่าวและเจ็บปวดเหมือนจะทะลุผ่านร่างจนทะลุออกไป เสียงคมมีดปักผ่านเนื้อดังถนัดชัดหู นั่นเป็นครั้งแรกที่สัมผัสได้ถึงการถูกแทงด้วยมีด ริมฝีปากแดงของเธอดูเหมือนจะแสยะยิ้มกว้างมากขึ้นทุกทีจนทุกสิ่งทุกอย่างอาบเลือดไปจนหมดสิ้น

    ผมได้ยินเสียงตัวเองร้องสุดเสียง

    ++

    “เป็นอะไรไปวะ เมาจนหลับแล้วจู่ๆแหกปากร้องทำซากอะไร”

    เสียงตะโกนจนแสบแก้วหู

    ผมผวาขึ้นมาปากอ้าตาค้างและมึนงง ก่อนจะพบว่าตัวเองยังนั่งอยู่ในงานเลี้ยง บรรดาขี้เมาทั้งหลายทั้งปวงกำลังหลับหูหลับตาคุยแข่งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยไม่สนใจว่าจะมีคนฟังหรือไม่ บางคนก็กำลังตั้งหน้าตั้งตาจีบเด็กส่งอาหารแบบลืมเมียลืมตาย บางโต๊ะกำลังแหกปากร้องเพลงที่ฟังดูแล้วไพเราะกว่าหมาหอนนิดหน่อย ผิดคีย์ผิดจังหวะไปตามประสาคนเมา

    นี่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มันเป็นเพียงความฝันเท่านั้นหรือ ความเจ็บอันเกิดจากการถูกแทงยังระริกไหวอยู่ซอกคอ


    “เมาก็กลับไปนอน”

    นั่นเสียงของหัวหน้าอันฟังดูเต็มไปด้วยความห่วงไยตามแบบฉบับของหัวหน้าที่ดี ไม่มีแววแห่งความอำมหิตเลือดเย็นจนน่าสยดสยองอย่างเมื่อครู่แม้แต่น้อย

    “จะให้เรียกแท็กซี่ให้ไหม”
    “หรือจะให้ไปส่งที่บ้าน”

    นั่นก็เสียงเพื่อนรักทั้งหลายที่พากันรุมล้อมด้วยความเป็นห่วง

    “หรือจะให้หนูไปส่งก็ได้นะคะ”

    นั่นเป็นเสียงสาวคนที่เพิ่งจ้วงแทงผมเมื่อครู่ แต่ตอนนี้เธอดูหวานทั้งตาทั้งตัวอย่างไม่น่าเชื่อ

    ผมส่ายหน้าปฏิเสธกับทุกคนทุกความเห็น ก่อนขอตัวเดินออกมานอกร้านอาหารซึ่งตั้งอยู่ริมถนน คงไม่อยากที่จะหารถแท็กซี่สักคนกลับบ้าน อะไรบางอย่างรบกวนจิตใจผมเหลือเกิน ความฝันอันน่ากลัวทำให้ผมเหมือนคนกำลังจะสติแตก

    ตอนนี้มืดแล้วบนถนนยังมีรถราวิ่งผ่านมาไม่ขาดสาย แต่ยังไม่มีรถแท็กซี่ผ่านมาสักคัน

    ผมหันไปมองในร้านเป็นครั้งสุดท้าย นึกอยากขอโทษเพื่อนที่ไม่อยู่ร่วมงานจนเลิก แต่ทันใดนั้น โลกเหมือนหยุดนิ่งกะทันหัน

    คนในร้านกำลังจ้องมองมาที่ผมเป็นจุดเดียว!

    ถ้าสายตาคนพวกนั้นจะมุ่งร้ายกระหายเลือดอย่างในความฝัน มันคงจะดีกว่าแบบนี้.. อย่างน้อยถ้าคุณถูกมองด้วยสายตาแบบนั้น ยังคงพอแน่ใจว่าพวกเขามีอารมณ์มีชีวิต แต่สายตาที่กำลังจับจ้องมาตอนนี้มันน่ากลัวมากกว่า .. สายตาที่ว่างเปล่าเรียบเฉยเหลือเกิน คุณจะรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกจ้องมองด้วยสายตาของคนตาย!

    คนตายจำนวนมากกำลังจ้องมองมาที่คุณแบบจุดเดียว มันจะน่าขนลุกเพียงไร สายตาที่ไม่จำเป็นต้องประสงค์ร้าย ไม่ต้องคุกคาม แต่เป็นสายตาที่ว่างเปล่า ความว่างเปล่าแบบนั้นชวนให้ประสาทเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งเป็นถังราดลงบนแผ่นหลัง ความว่างเปล่าไร้ชีวิตไม่เคยนึกว่ามันจะน่ากลัวจนป่านนี้

    ผมหลับตา พยายามคิดว่าตาฝาดไป แต่คลื่นแห่งความหวาดกลัวยังคงวิ่งผ่านความรู้สึกเป็นระยะ  ตอนนี้ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองอีกแล้ว กลัวเหลือเกินว่าสิ่งที่เห็นจะไม่ใช่ภาพหลอนหรือตาฝาด กลัวว่าจะเห็นนัยน์ตาฉายความว่างเปล่าพวกนั้นอีก ตัดสินใจเดินไปตามทางเท้าอีกระยะหนึ่งจึงหันไปมองร้านอาหารนั่นอีกครั้ง

    มันก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เสียงไฟหลากสียังคงวับแวมกระพริบเป็นจังหวะ

    โล่งใจ.บางทีอาจเป็นเพราะฤทธิ์เหล้าก็เป็นไปได้

    ที่รัก ผมอยากกลับบ้านไปหาคุณเหลือเกิน คุณจะรู้ไหมว่าผมกำลังเดินอยู่บนถนนอย่างอ้างว้างโดดเดี่ยว โทรศัพท์มือถือวันนี้ก็ไม่ได้หยิบติดมือมาด้วย อะไรมันจะซวยซับซวยซ้อนจนป่านนี้  หรือจะกลับไปขอยืมเพื่อนในร้าน

    คิดและหันไปมองอย่างไม่ตั้งใจ

    ในร้านนั่นก็มีแต่เพื่อนๆที่เจอหน้าเจอตากันทุกวัน ไม่ใช่เอเลี่ยนหรือซอมบี้ผีปีศาจที่ไหน มันเป็นเพียงอาการประสาทเสียชั่วคราวเท่านั้น นั่นยังมีเสียงเพลงของคนขี้เมาดังออกมาให้ได้ยิน เสียงพูดคุยไม่ได้ศัพท์ยังดังไม่ขาดระยะ ไม่มีอะไรผิดปกติเลยสักนิด ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างที่ควรจะเป็น

    นอกจากหน้าต่างด้านข้างร้านบานนั้น

    หน้าต่างซึ่งปกติจะปิดอยู่ แต่ตอนนี้ค่อยๆแง้มเปิดออกมา เห็นแล้วชวนนึกถึงฝาโลงศพกำลังเปิดออกมาอย่างช้าๆ  แสงไฟแม้จะสลัวและอยู่ไกลพอสมควร  ยังพอจำได้ว่าเป็นสาวดูแลโต๊ะคนนั้น เธอจะเปิดหน้าออกมาด้วยสาเหตุอะไรไม่ทราบได้ แต่หลังจากนั้นก็ยืนนิ่ง แต่ท่าทางเหมือนกำลังจ้องมองมาด้วยสายตาอันว่างเปล่าแบบเดียวกับสายตาของคนตายอีกแล้ว ถึงจะไม่เห็นชัดเจนแต่ความรู้สึกมันบอกแบบนี้ชัดๆ!ความรู้สึกที่บอกว่าคนตายกำลังจ้องมอง!!

    ผมรู้สึกใจหวิวขึ้นมาเหมือนคนจะเป็นลม คราวนี้ขนลุกเป็นละลอกไม่หยุดยั้ง ความน่าสะพรึงกลัวอันไม่มีเหตุผลก่อตัวขึ้นมาเรื่อยๆอย่างยากที่จะยับยั้งและควบคุม

    ไม่..มันก็เพียงเธออาจจะเปิดหน้าต่างออกมารับลมเย็นจากธรรมชาติเท่านั้น  ผมต้องคิดไปเอง..พยายามหัวเราะให้กับอาการฟั่นเฟือน แต่ดูเหมือนว่าจะไร้ผล ความคิดที่จะกลับไปยืมโทรศัพท์จากเพื่อนบินหายไปกับสายลมและความหม่นมัวของค่ำคืน

    ขาทั้งคู่สั่นระริก เข่าอ่อนไร้เรี่ยวแรงจนต้องพิงหลังเข้ากับเสาไฟฟ้า พยายามตั้งสติ มันก็แค่เป็นผลจากเหล้าที่ดื่มเข้าไปเท่านั้น เหล้าคนดื่มคนก็เมา หมาดื่มหมาก็เมา ไม่นานลมเย็นๆคงช่วยให้อาการเป็นปกติสร่างเมา แล้วจะได้กลับบ้านเสียที

    ต้องหาตู้โทรศัพท์สาธารณะ ใช่..ยังมีวิธีนี้อีกวิธี ที่ไม่ต้องกลับเข้าไปในร้านอาหารนั่นอีก แม้ว่ามันจะไม่มีอะไรก็ตาม เดินต่อไปเรื่อยๆคงเจอเข้าสักแห่ง หรือไม่ก็เจอแท็กซี่สักคันเพื่อที่จะได้กลับบ้านเสียที...คืนนี้ เหนื่อยเหลือเกิน

    นอกจากหมาไร้สังกัดซึ่งเดินผ่านไปอย่างไร้เดียงสาแบบหมาๆ  และคนเมาอีกสองสามคนที่เดินเกือบกระแทกผมล้ม ยังไม่เจอตู้โทรศัพท์หรือแท็กซี่เลยสักคัน

    คืนนี้มันเป็นอะไรของมันกันนะ.......

    ++++++++

    ติดตามตอนต่อไป

    แก้ไขเมื่อ 08 ก.ค. 47 22:14:35

    จากคุณ : Psycho man - [ 8 ก.ค. 47 22:11:41 ]