เบื้องหน้าฉันมองเห็นแสงสว่างอยู่ร่ำไร ทางที่ดูเหมือนไกลกับใกล้ถนัดตาในความรู้สึกของฉัน ก่อนที่จะฉันจะออกผจญหน้าสู่ความเป็นจริง ฉันยอมรับว่าใจไม่กล้าพอที่จะบอกให้ใจไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม่มักบอกเสมอเมื่อฉันคิดถึงพ่อว่า
ไม่วันนี้ก็วันหน้า เราต้องเจอ เมื่อเจอแล้วอย่าได้นึกกลัวหรือสิ้นหวังท้อแท้โดยเด็ดขาด จงมั่นใจที่จะผจญหน้ากับความจริงนะลูก แม่ของฉันต้องการบอกอะไรกันแน่
ฉันรู้ว่าท่านคงต้องการให้ฉันมีกำลังใจ แต่ตอนนี้มือที่เย็บเฉียบ เหนื่อยที่ซึมออกมาจากรูขุมขน ฉันกำลังตื่นเต้นมันเป็นอาการที่ควบคุมไว้ไม่อยู่ ทั้งๆ ที่ก่อนเดินออกจากบ้าน ฉันได้สวดมนต์ไหว้พระและกราบบนตักของแม่ แทบไม่น่าเชื่อว่าฉันจะก้มลงกราบที่ตักของท่าน หลังจากที่ฉันไม่เคยกราบท่านแม้แต่สักครั้งเดียว วันนี้....ความรู้สึกของใจมันบอกให้ฉันกระทำสิ่งนั้น พร้อมกับบอกแม่ว่า ลูกคนนี้รักแม่ที่สุด
ก่อนที่ฉันจะเดินออกประตูไม้หน้าบ้าน จู่ๆ น้ำตาก็ไหลเอ่อล้นออกมาจากหางตา ร่างทั้งร่างอยากเดินหันหลังกลับ แต่ฉันเห็นสายตาของแม่ที่เฝ้ามองฉัน และพยักหน้าเชิงบอกให้รับรู้ทางนัยน์ตา ไปดีเถอะลูก
ฉันอยากค้านกับสายตาของแม่ อยากกอดแม่ อยากอยู่กับแม่นานๆ แต่ทำไมหนอ...แม่ถึงพยายามขับไล่ไสส่งฉันให้ไปจากบ้านหลังนี้ ฉันได้แต่คร่ำครวญอยู่ในใจ แม่ไม่รักลูกคนนี้แล้วเหรอ
ฉันเดินต่อไปจนถึงรั้วหน้าบ้าน นทีน้องชายคนเล็กของฉันก็เดินทางกลับมาจากมหาวิทยาลัยพอดี หน้าเขาดูเบิกบาน เสียงผิวปากเป็นเพลงบ่งบอกได้อย่างดีว่าเขาอารมณ์ดี ไร้ซึ่งริ้วรอยของความไม่สบายใจใดๆ ทั้งสิ้น ฉันเดินเข้าไปหาเขา เพื่อสั่งเสียก่อนเดินทาง แต่นทีกลับไม่สนใจฉัน เขาเดินผ่านฉันไปอย่างไม่แยแส อาจเป็นเพราะเขากำลังโกรธฉันอยู่ที่ห้ามไม่ให้เขาคบกับผู้หญิงคนนั้น
ถึงเธอจะไม่สนใจพี่ แต่พี่ก็รักและเป็นห่วงเธอเสมอนะ ที่ทำอย่างนี้ไม่อยากให้เธอต้องถูกผู้หญิงเขาหลอก ใจคอเธอจะโกรธพี่ถึงไหนกัน ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา พร้อมกับน้ำตาเริ่มเอ่อไหลออกมา แต่น้องชายของฉันกลับไม่สนใจ เขาเดินเข้าบ้านไป โดยไม่สนใจแม่ที่กำลังยืนส่งฉันเลยแม้แต่นิด...
...................................................................................................
ตั้งแต่พ่อเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อ ๑๘ ปีที่แล้ว นทีตอนนั้นอายุเพียง ๑ ขวบเท่านั้น ส่วนฉันมีอายุมากกว่าเขาถึง ๑๑ ปี ทำให้ฉันต้องรับภาระในการเลี้ยงดูน้องชายคนเดียวแทนแม่ที่ออกไปทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ดังนั้นฉันจึงรู้สึกรักและเป็นห่วงน้องชายคนนี้มาก
พี่ไม่เคยปล่อยที พี่คิดแต่จะบ่งการชีวิตที ทีโตแล้วนะพี่ พี่เลิกยุ่งวุ่นวายกับชีวิตทีเสียทีเถอะ คำพูดของนทีล้วนเหมือนมีดที่กรีดกลางหัวใจของฉัน ฉันอุตส่าห์เลี้ยงดู ทะนุถนอม เอาใจใส่เขาทุกอย่าง เงินค่าขนมฉันก็ให้เขา ไม่มีสิ่งไหนที่ฉันจะไม่ให้เขา แต่ทำไมนทีถึงทำกับฉันอย่างนี้
ฉันนั่งนึกถึงเรื่องราวต่างๆ หลังจากเดินออกมาจากประตูรั้วของบ้านอย่างคนปลงตกในชีวิต ภาพเมื่อสองวันก่อนผุดขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ ภาพนั้นฉันเห็นนทีกำลังรื้อค้นลิ้นชักโต๊ะของฉัน เขาลุกลี้ลุกลนอย่างผิดสังเกต เหมือนกลัวใครจะเข้ามาจับผิด ฉันแอบสังเกตดูอยู่ห่างๆ ไม่ให้เขารู้ตัวว่าฉันกำลังจับตามองพฤติกรรมของเขา เมื่อเขาเจอเงินที่ฉันซ่อนไว้ นทีก็รีบหันซ้ายแลขวา ก่อนจะเก็บเงินเข้ากระเป๋ากางเกง แล้วเดินมาทางห้องที่ฉันอยู่ ฉันรีบกลับไปนั่งที่เดิมแสร้งหลับตา จนเขาเข้ามาปลุกฉัน ผมออกไปข้างนอกก่อนนะพี่
เมื่อเขาออกไปข้างนอกแล้ว ฉันรีบคว้าหมวกแว่นตากันแดด ก่อนล็อคกุญแจปิดบ้าน เพื่อแอบสะกดรอยตามน้องชายไป แม้จะเดินไม่ทันในตอนแรก แต่สวรรค์ก็ดูจะเป็นใจ เพราะเขากำลังรอรถประจำทางอยู่ป้ายรถหน้าหมู่บ้านนั้นเอง... ฉันจึงรวบผมขึ้นแล้วเอาหมวกครอบทับ พร้อมสวมแว่นตากันแดดตาม ไปยืนรอรถประจำทางพร้อมกับเขา ฉันนั่งรถคันเดียวกับเขา จนถึงจุดหมายปลายทางที่โรงภาพยนตร์ นทีลงทุนขโมยเงินเก็บของฉัน เพียงเพื่อมาดูหนังอย่างนั้นหรือ ทำไมเขาไม่ขอเงินฉันอย่างที่เคยทำล่ะ...คำถามต่างๆ ผุดขึ้นในหัวสมองของฉันขณะนี้
และแล้วปริศนาคำถามนั้นก็ถูกไขออก ฉันเห็นนทีกำลังเดินตรงไปหาผู้หญิงสาวคนหนึ่ง หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม เธอสวมเสื้อผ้าตามแฟชั่นสมัยใหม่ แตกต่างกับฉันที่ชอบสวมเสื้อยืดตัวหลวมๆ กับ กางเกงยีนส์ แต่นั้นก็ไม่ใช่ประเด็นอะไรสำคัญเท่า....กับสิ่งที่เห็นตรงหน้า นทีกำลังซื้อตั๋วหนังให้สาวน้อยคนนั้นอยู่ ก่อนจะเดินไปที่ร้านขายโทรศัพท์เคลื่อนที่ และหญิงสาวที่เดินควงคู่น้องชายฉัน กำลังจิ้มเลือกมือถือนั้นด้วยใบหน้าที่ยิ้มกริ่ม แน่ละสิ...ทำไมสาวน้อยคนนั้นจะไม่ร่าเริงในเมื่อน้องชายของฉันเป็นคนออกเงินจ่ายให้เอง... แม้ฐานะทางบ้านของฉันจะไม่ถึงกับยากจนข้นแค้น แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวยที่จะใช้จ่ายฟุ่มเฟือยฟู่ฟ่ากับสิ่งที่ไร้สาระเช่นนี้ โดยเฉพาะการซื้อของราคาหลายพันให้กับหญิงสาวหน้าไหนไม่รู้ และเธอคนนั้นจะรักนทีจริงหรือเปล่า ก็ไม่มีใครตอบได้ อะไรบางอย่างบอกให้ฉันต้องเข้าไปเตือนสติของเขา โดยลืมนึกไปว่า ที่นี้คือที่สาธารณะ นทีจะรู้สึกอับอายอย่างไร ถ้าต้องถูกฉันเข้าไปฉีกหน้ากลางร้านอย่างนี้ ถ้าย้อนเวลากลับได้ ฉันเองก็อยากจะย้อน ไม่อยากให้เป็นเช่นนี้เลย
ตอนที่เขากำลังยื่นเงินให้กับคนขายอยู่นั้น ฉันก็เข้าไปรวบเงินในมือของนทีมาเสียดื้อๆ ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้ขาย นที และหญิงสาวคนนั้น ด้วยต่างก็นึกว่าฉันอาจเป็นโจรมาปล้นเงิน หญิงสาวที่นทีควงมาส่งเสียงร้องดังลั่น เพื่อขอความช่วยเหลือ ฉันรีบถอดหมวกกับแว่นตากันแดดออก นทีจึงร้องเสียงหลงออกมา
(มีต่อค่ะ)
จากคุณ :
คนชื่นชอบนิยาย ^^
- [
10 ก.ค. 47 08:32:32
A:203.113.33.9 X:
]