" ความรัก กับ ความถูกต้อง ถ้าเป็นคุณจะเลือกอะไรคะ ??? "
.......ฉันไม่เคยคิดว่าชีวิตจะต้องมาเลือกในสิ่งนี้เลย บางทีชีวิตคนเราก็เล่นตลกอย่างไม่น่าเชื่อ เรื่องบางเรื่องที่เบาบางเหลือเกินในความทรงจำก็กลับมาชัดเจนอีกครั้งอย่างผิดที่ผิดเวลา
.
.
ฉันก็เป็นผู้หญิงธรรมดาคนนึงที่ย่อมจะพบเจอกับความรักทั้งสุขสมหวังและผิดหวังไปตามช่วงเวลาของจังหวะชีวิต จนกระทั่งทุกๆอย่างกำลังจะลงตัว ฉันกำลังมีโครงการจะเข้าสู่พิธีแต่งงานในเร็วๆนี้ แต่ก็เหมือนฟ้าจะแกล้งส่งความหวั่นไหวครั้งยิ่งใหญ่เข้ามาให้ฉันต้องฟันฝ่า...
หลังจากเรียนจบปริญญาตรีด้วยคะแนนสูงลิ่วระดับเกียรตินิยม บริษัทยักษ์ใหญ่หลายๆ ที่ก็เสนองานเข้ามาให้ฉันเลือกทำมากมาย แต่ฉันก็ตกลงปลงใจเลือกที่จะทำงานให้กับบริษัทด้านการเงินแห่งหนึ่ง ชีวิตของฉันกำลังดำเนินไปอย่างสวยหรูท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่งดงาม และวันนึงในขณะที่ฉันไปพบลูกค้าที่บริษัทรถยนต์แห่งหนึ่งการเจรจาในด้านธุรกิจผ่านพ้นไปด้วยดีเช่นทุกครั้ง แต่มันก็มีบางอย่างที่ไม่เหมือนทุกครั้ง.....
" คุณครับ กรุณาเลื่อนรถด้วยครับ " เสียงคุ้นหูดังขึ้นด้านหลังฉัน จนทำให้ฉันแทบสะดุ้ง และเมือฉันหันหลังกลับไปมองโลกทั้งโลกเหมือนจะเงียบสนิทจนเกือบได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง
" อืมม รู้แล้วนายออกไปก่อนเหอะ " เสียงตอบของลูกค้าเรียกฉันให้ตื่นจากภวังค์ พร้อมๆกับชายหนุ่มในเครื่องแบบช่างประจำบริษัทที่เพิ่งเดินออกไป.....
******************************************
" นันใช่ไหม " ฉันกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลังช่างหนุ่ม เมื่อพ้นห้องทำงานของลูกค้ามาได้ เขาหันกลับมามองหน้าฉันแล้วยิ้มให้นิดๆ พร้อมยกแขนเสื้อปาดเหงื่อที่ไหลย้อยลงมาข้างแก้ม ใบหน้าของเขาแม้จะดูมอมแมมไปด้วยคราบน้ำมันแต่ก็ยังดูสดใสและอารมณ์ดีเหมือนเช่นวันแรกที่เรารู้จักกัน
" ครับ คุณมาทำอะไรที่นี่ล่ะ " เขาถามฉันด้วยน้ำเสียงสบายๆแต่แฝงความเจียมตัวอยู่ในที อย่างน้อยสรรพนามที่เขาใช้แทนตัวกับฉันก็แปลกออกไป
" วิมาหาลูกค้า เอ่อ... นันทำงานที่นี่เหรอ "
" ครับ...ผมเป็นช่างประจำอยู่ที่นี่ทำมาได้ปีกว่าๆแล้ว "
จริงๆแล้ว ฐานันดร์อายุไม่ได้ต่างจากฉันสักเท่าไหร่ เราเรียนรุ่นเดียวกันเพียงแต่คนละสถาบันเท่านั้น เขาทำงานได้เกือบปีก็หมายความว่าเขาไม่ได้เรียนต่อจนจบ ฉันแทบจะคิดไม่ออกเลยว่าอะไรที่ทำให้เขาต้องมาทำงานที่นี่ในตำแหน่งนี้ ในเมื่อเขามาจากครอบครัวที่เพียบพร้อมแทบจะเรียกได้ว่ามีฐานะมากเลยก็ว่าได้
" นี่ใกล้จะห้าโมงเย็นแล้ว นันพอจะมีเวลาว่างคุยกันบ้างไหม "
" อืมม ขอผมทำงานตรงนี้เสร็จก่อนแล้วกันนะ เอาเป็นว่าคุณไปรอผมที่ร้านเดิมตรงศิริราชแล้วกัน " .... เขาตอบพร้อมส่งยิ้มให้ฉันก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อ
*************************************
บรรยากาศภายในร้านยังดูเหมือนเดิม ฉันเลือกที่นั่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา มุมเดิมๆที่ฉันเคยชอบนักชอบหนาสมัยเป็นนักศึกษา ลูกค้าส่วนใหญ่ในร้านก็ล้วนแล้วแต่เป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยฝั่งตรงข้าม จนทำใหฉันรู้สึกตัวว่าแก่ลงไปถนัดใจ
ที่ร้านนี้เมื่อก่อน มันเป็นร้านประจำระหว่างฉันกับผู้ชายคนนึง ผู้ชายคนที่มีรอยยิ้มอันสดใสและมีเสน่ห์ ผู้ชายที่มีดวงตาเป็นประกายเต็มไปด้วยความฝัน ผู้ชายที่มาจากตระกลูอันโด่งดังแต่แสนจะติดติน และที่สำคัญเขาเป็ผู้ชายคนแรกที่ทำให้ฉันรู้จักคำว่า " รัก "
เราเริ่มต้นคบกันที่นี่ เมื่อเพื่อนของเขามาจีบเพื่อนของฉัน เราเริ่มสานสัมพันธ์กันจากคำว่าเพื่อนจนขยับฐานะเป็นคนรัก เขาเป็นคนที่ทำให้ฉันยิ้มได้ตลอดเวลา เขาเป็นเหมือนเพื่อน พี่ และบางทีก็ทำตัวคล้ายๆ พ่อ ครอบครัวของเราทั้งคู่รับรู้และยินดีกับการคบกันของเรา ฉันเป็นคนที่ทำให้เขาเรียนจบชั้น ปวช.3 และพยายามสอบเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อให้ทัดเทียมกับฉัน จากเด็กช่างเกเรสอบติดมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังได้คงไม่ต้องบอกว่ามันทำให้ที่บ้านของเขาชอบฉันแค่ไหน
ความรักของฉันดูเหมือนน่าจะราบรื่นไปได้ด้วยดีในเวลานั้น แต่ความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน ในช่วงปีที่ 2 ที่เราคบกัน เขาเริ่มออกอาการหึงอย่างไร้เหตุผล และตามติดฉันไปเกือบทุกที่จนฉันเริ่มอึดอัด บางครั้งเขาก็มักจะหงุดหงิดกับฉันบ่อยๆ และหลายๆครั้งที่เราทะเลาะกันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเขาก็โดนไทร์จากมหาวิทยาลัยทีเขาอุตส่าห์พยายามสอบเข้า หลายๆครั้งที่เขาหายหน้าไปเฉยๆอย่างหาสาเหตุไม่ได้ หลายๆ ครั้งที่เขาผิดนัด และอีกหลายๆครั้งที่เขาละเลยความเป็นเรา ในที่สุดรักครั้งนั้นก็จบลงหลังจากผ่านความพยายามในการประคองรักนั้นไว้เป็นเวลาถึง 4 ปี
.
.
" รอนานไหมครับ " .... ความคิดของฉันสะดุดลงเมื่อเขามายืนอยู่ตรงหน้าพลางเลื่อนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วนั่งลง ปล่อยให้ความเงียบเข้ามาปกคลุมบรรยากาศโดยรอบอีกครั้ง ฉันมีคำมากมายที่อยากจะพูดแต่ก็พูดอะไรไม่ออกได้แต่จ้องหน้าที่แสนจะคุ้นเคยนั้น จังหวะหัวใจของฉันเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องมองกระจกฉันก็พอจะรู้ว่าใบหน้าของฉันมันแดงแค่ไหน
" สั่งอะไรกินก่อนไหมคะ " ... ฉันยื่นเมนูไปให้เขาตรงหน้า หลังจากที่สั่งอาหารเรียบร้อย ทุอย่างก็กลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง
" เอ่อ.. คุณสบายดีเหรอ " ... เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่มันทำให้ฉันรู้สึกสะอึกจนจุกขึ้นมาถึงคอหอย " คุณ " ฉันไม่ชอบคำนี้เลยให้ตายเหอะ
" นันเรียกวิ เหมือนเดิมได้ไหม " เขาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะหยักไหล่ พิงพนักในท่าทางยอมรับ
" ผมไม่คอยกล้าเท่าไหร่ ตอนนี้คุณดำเนินธุรกิจกับเจ้านายผม ส่วนผมมันเป็นแค่ช่างเครื่องในบริษัท "
" แต่ยังไงเราก็ยังเป็นวิคนเดิม วิคนที่เป็น.....เพื่อนเก่าของนัน " ประโยคต่อมามันหลุดออกจากปากฉันอย่างยากเย็น
" โอเคก็ได้ แต่คุณสัญญานะว่าจะไม่เอาไปบอกเจ้านายผม ... ถ้าเจ้านายผมรู้ว่าผมตีเสมอคุณนะ ผมโดนไล่ออกแน่เลย " เขาทำท่าทางกระซิบกระซาบแบบขี้เล่นมากกว่าจริงจัง ก่อนจะยิ้มกวนประสาทแบบที่คุ้นเคย ทำเอาฉันอดหัวเราะออกมาไม่ได้
" นันก็ทำเป็นเล่นอยู่เรื่อย " บรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง พร้อมๆกับอาหารที่ทยอยเข้ามาเสริฟ
" ตอนนี้วิเรียนจบแล้วซิ "
" อืมม ถ้าไม่จบวิจะมาทำงานกับเจ้านายนันได้ยังไง... แล้วนันล่ะ " ฉันยียวนกลับ
" เรายังไม่จบแม้กระทั่ง ปวส. เลยวิเอ้ย.... 555 ตั้งใจว่าจะจบๆ ก็ยังไม่จบจนตอนนี้ จริงๆเรากำลังเรียนต่อ ปวส. ภาคค่ำ แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววเลยว่าจะจบเมื่อไหร่ตอนนี้ขอทำงานเก้บตังค์ก่อน "
.น้ำเสียงของเขาไม่มีแวววิตกกังวล
" แล้วนันมาทำงานนี้ได้ยังไง แม่นันรู้ไหมเนี่ย "
" เราออกจากบ้านมาหลายปีแล้วละวิ ไม่รู้สิก็คงตั้งแต่ตอนนั้นล่ะมั้ง ตอนที่...เอ่อ ตอนที่วิไปนั่นแหละ เราก็แทบไม่เคยกลับไปบ้านอีกเลย จะกลับไปก็เวลาตังค์หมดนั่นแหละ จนตอนนี้ทำงานเองก็เลยแทบไม่ได้กลับไปอีก "
" จะว่าไปก็เพราะเธอนั่นแหละ ยัยวิบ้า ดันมาทิ้งฉันทำไมก็ไม่รู้ น่าเขกกระโหลกจริงๆ " เขาพูดไปพลางหัวเราะไปทำเอาฉันอดที่จะหัวเราะตามไม่ได้
" อ้าวว ก็ช่วยไม่ได้นี่ จริงอยู่ที่วิบอกเลิกนัน แต่จะว่าไปนันนั่นแหละที่ทิ้งวิก่อน.... นันหายไปไหนละ นันผิดนัดวิกี่ครั้ง เราทะเลาะกันกี่หน วิร้องไห้เพราะนันไม่รู้เท่าไหร่ วิ..." ... จากเสียงหัวเราะเมื่อสักครู่เริ่มจางหายไป ฉันเริ่มรู้ตัวว่าก้อนสะอื้นมันจุกขึ้นมา ตาของฉันเริ่มร้อน จนเสียงเริ่มขาดหายไปในลำคอ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาเริ่มจางหายไป แววขี้เล่นในสายตาเริ่มจริงจังมากขึ้น กระดาษทิชชู่ถูกหยิบยื่นให้ ฉันมักขี้แงอย่างนี้เสมอแหละ
"... วิไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน นันก็ยังยืนยันคำเดิมว่า นันขอโทษ.. แต่นันรู้ว่าคำขอโทษของนันมันบ่อยเกินไป นันเข้าใจว่าวิคงไม่เชื่อนันอีกแล้วในตอนนั้น... แต่วิรู้ไหมว่าครั้งนั้น นันมั่นใจนะว่าถ้าวิให้โอกาสนัน นันจะทำเพื่อวิได้ แต่วิไม่ให้โอกาสนันอีกแล้ว กว่านันจะเห็นคุณค่าของคำว่าโอกาสก็เมื่อนันไม่มีโอกาสอีกแล้ว แต่ก็ช่างเหอะมันผ่านไปแล้วนี่ "
เขาพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย เหมือนว่าพูดถึงเรื่องดินฟ้าอากาศที่มไม่มีผลต่อความรู้สึกอะไร
"..........................
."
.ฉันนิ่งเงียบเพราะความรู้สึกต่างๆ มันเหมือนถูกกระทบกระเทือน ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ และก็ดูเหมือนเขาจะจับความรู้สึกนี้ได้
.
.
.
แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 47 23:13:11
จากคุณ :
*แชมพู*
- [
13 ก.ค. 47 23:05:26
]