CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    =[+] ฉิกจับอิด [+]= นิยายจีนร่วมแต่งแนวทดลอง : ตอนที่ 55 "สี่พี่น้อง"

    ท่ามกลางความมืดเวิ้งว่างว่างเปล่า เสียงทุ้มลึกทรงพลัง ทว่าแผ่วเบากว่าเสียงกระซิบกระทบโสตประสาทของเสี่ยวซา
    ที่แท้เป็นคำสนทนาธรรม ที่มันเคยมีโอกาสได้สนทนากับหลวงจีนหัวหลินนั่นเอง

    "วิชาเป็นอยู่ด้วยจิตว่าง เป็นวิชาที่ใช้หลักของ สมาธิ มาเป็นฐานในการฝึกวิชา เมื่อสมาธิกล้าแกร่ง ก็จะเกิดปัญญาในการพิจารณาสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง เมื่อเรารวบรวมสมาธิโดยเดินลมปราณผ่านจุดต่างๆ จะเกิดพลังปราณมหาศาล เพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการฝึกวิชาในขั้นสูงต่อไป ไม่ว่าจะเป็น เพลงมวยไทเก็กที่เจ้าได้เคยร่ำเรียนมาโดยบังเอิญ หรือ จะเป็น กระบวนเป็นอยู่ด้วยจิตว่าง ซึ่ง อัฉริยปรามาจารย์บัญญัติไว้ทั้ง 2 กระบวนท่า แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องศึกษามัน ช่วงนี้ขอให้เจ้าฝึกการตั้งสมาธิ เดินลมปราณจนช่ำชอง เพื่อให้เกิดพลังเสียก่อน"

    "สมาธิ ทำให้เรามีพละกำลัง ได้อย่างไร?" เสี่ยวซาถามด้วยความสนใจ

    "มันเป็นวิธีการที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ อาตมาเองก็ไม่อาจทราบได้ ทว่ายังสามารถชี้ให้เห็นได้ เปรียบดัง
    เม็ดฝนที่ตกกระจัดกระจายบนยอดเขา แม้มีจำนวนมากแต่ไร้ซึ่งพลัง แต่หากเจ้ารวบรวมน้ำฝนเหล่านั้น
    กักเก็บเข้าไว้ด้วยกันเป็นปริมาณมากๆ แล้วเทลงมาในคราเดียว มันก็จะมีพลังมหาศาลสามารถทำลายได้ทุกสิ่ง กระทั่งต้นไม้ใหญ่ที่มีอายุหลายสิบหลายร้อยปีก็ยังหักโค่นจนสิ้น!

    นิ่งชั่วครู่จึงกล่าวต่อ

    "เป็นอยู่ด้วยจิตว่าง เป็น วิชาที่ใช้ แนว สมาธิ และ ปัญญา จึงมีข้อควรระมัดระวังที่สำคัญคือ ยามใช้อย่าให้สมาธิกระจัดกระจายจนมิอาจควบคุมพลังลมปราณในตัวได้ ศัตรูสำคัญของสมาธิตามหลักพุทธคือ อารมณ์ อันเกิดจาก การรับรู้สิ่งที่ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ ทำให้เกิดทุกข์ และเป็นอันตราย เหมือนพิษร้ายที่เข้าเกาะกุมจิตใจ จนไม่สามารถรวบรวมสมาธิไว้ได้"

    "หากเป็นอย่างที่ท่านไต้ซือ กล่าวมา เราจะทำอย่างไร เมื่อเกิดอารมณ์โกรธ หรือ ไม่ชอบ" เสี่ยวซาถาม สีหน้าของมันยังฉายแววสับสนไม่เข้าใจ

    "พุทธองค์สอนให้ใช้ "สติ" ในการจัดการกับพิษร้ายเหล่านั้น "

    "สติ?"

    "ถูกต้อง สติ เป็นดั่งเชือกที่ผูก จิตไว้กับ สมาธิ เมื่อ จิตรับรู้อารมณ์ที่ ไม่ชอบ และเข้าสู่ภาวะปล่อยจิตไปตามนิมิตรดังกล่าว อันเป็นเหตุให้ เกิดอกุศลกรรมเข้าครอบงำจิตใจ จนเกิดพิษร้ายขึ้นในใจ สติจะต้องเป็นตัวฉุดรั้งไม่ให้ ปล่อยจิต ไปตามอารมณ์รับรู้ดังกล่าว"

    "ทว่า สิ่งเหล่านี้พูดง่าย แต่ การทำกลับยากยิ่ง ยากยิ่ง จริงๆ…….."

    ความดำมืดอันอ้างว่าง กลับ ค่อยๆ สว่างจ้าขึ้นๆ พร้อมกับภาพของหลวงจีนหัวหลินค่อยๆ จางหายไปจากมโนภาพ

    "………………………."
    …..

    "เสียวซา! เสี่ยวซา! เจ้าโง่!! เสี่ยวซา!!!"

    เสี่ยวซาค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ มันรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัว มึนศรีษะ วิงเวียน หมดเรี่ยวหมดแรง ไม่สามารถพยุงกายลุกขึ้นได้

    "เจ้าถูกทำร้ายบาดเจ็บ แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว"

    คนกล่าวกลับเป็นฮั่นตง ที่มันคิดว่าได้เสียชีวิตไปแล้ว ยามนี้ฮั่นตงดูงามสง่าดุจเดิม รอยยิ้มจางๆ ที่มุมปาก ทำให้มันรู้สึกสบายใจขึ้น

    "พี่… พี่ฮั่นท่านยังไม่ ตาย…."

    "ข้า ยังไม่ตาย ตอนนี้เจ้าอย่าเพิ่งพูดอะไร เดินพลังรักษาอาการบาดเจ็บเสียก่อน"

    "เสี่ยวซา เจ้าอย่าเป็นอะไรไปนะ" หลี่ซังซัง ที่ด้านข้างร่ำร้องออกมา

    ฮั่นตงพยุงตัวของเสี่ยวซาขึ้นนั่ง จากนั้นปล่อยให้มันเริ่มโคจรลมปราณ ส่วนฮั่นตงก็เดินลมปราณผันแปร เพื่อช่วยเสี่ยวซาอีกแรง

    ทันใดนั้น!!

    ครืน… โครม เสียงสะท้านสะเทือนเลื่อนลั่น พร้อมกับ ก้อนหินขนาดใหญ่หลายก้อนร่วงหล่นลงมาจากเพดานถ้ำ แรงสั่นสะเทือน ทำให้คนทั้งหมด แทบยืนไม่ติด

    "พี่ฮั่น แย่แล้ว ถ้ำกำลังจะถล่ม สงสัยว่า เจ้านั่นคงจะตั้งกลไกหวังให้พวกเราติดอยู่ในนี้เป็นแน่ ยังดีที่พวกเราสามารถค้นหาทางออกจนพบ"

    เสี่ยวโกย รีบบอกอย่างรวดเร็ว

    "พวกท่าน รีบพา แม่นางเหวิน และ แม่นางหลี่ ออกไปก่อน ส่วนข้าจะช่วยเหลือ เสี่ยวซาออกไปเอง" ฮั่นตงรีบสั่งการ

    โดยมิรอช้า ฟาหลินซี และ เสี่ยวโกย ต่างช่วยกันรีบพา เหวินเม่ยชิง และ หลี่ซังซัง ออกไป

    "เสี่ยวซา พวกเราต้องรีบออกจากที่นี่ เสี่ยวซา เสี่ยวซา!!"

    ฮั่นตงกล่าวอย่างร้อนรน ทว่า กลับไม่มีเสียงตอบรับจากเสี่ยวซาแม้แต่น้อย เมื่อเห็นไม่ทันการจึงยกเสี่ยวซาขึ้นไหล่ และใช้ พลังตัวเบานกนางแอ่น พุ่งทะยานออกจากตัวถ้ำอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ หินก้อนใหญ่ๆ ที่ตกลงมาหนาแน่นขึ้นๆ ในที่สุดก็สามารถพาเสี่ยวซา หลบหลีก ออกมายังถ้ำด้านนอกได้ ตอนนี้ภาพที่เห็นคือ ถ้ำด้านในถล่มจนมิสามารถมองเห็นด้านในได้แล้ว

    ฮั่นตงลอบถอนใจ แม้ว่าจะพาเสี่ยวซา หลบออกมาได้ แต่หลักฐานต่างๆ ก็ถูกถล่มไปพร้อมกับถ้ำด้านในหมดแล้ว

    ทันใดนั้น โสตประสาทที่ฉับไวของเขา รับรู้การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและทรงอานุภาพ พุ่งตรงเข้ามา ฮั่นตงสะบัดฝ่ามือวูบ พลังมังกรเขียวถูกปลดปล่อยออกมา

    เสียง ติง…

    ลูกธนูเหล็กหักสะบั้นลง!! ที่แท้เป็นค่ายกลที่คราวก่อนเกือบจะคร่าชีวิตเขา แต่คราวนี้ดูเหมือนจะย่ำแย่กว่า เนื่องจากต้องแบกเสี่ยวซาไว้บนไหล่ มีเพียงแขนข้างเดียวเท่านั้น!!

    ฮั่นตงอาศัยโสตประสาทที่ปราดเปรียวว่องไว มองสิ่งต่างๆรอบๆ ตัวอย่างชัดเจนมากขึ้น จึงได้เข้าใจ ที่แท้นี่คือค่ายกลที่หัตถ์เทพบัญชาสร้างขึ้นเป็นห้องวงกลมเจาะเป็นรูๆ มากมาย ด้านหลังเข้าใจว่าคงติดตั้งเครื่องยิงลูกธนู ที่ทนทานกว่าปรกติ สามารถยิงลูกธนูเหล็กออกมา พลังความรุนแรงยังเหลือล้ำกว่าลูกธนูที่ยอดฝีมือยิงออกอย่างสุดกำลังเสียอีก! ความเร็วของลูกธนูยิ่งสูงส่งกว่าปรกติหลายเท่า ลูกธนูเช่นนี้ หากใช้คันธนูปรกติยิง คงหักสะบั้นคามือไปแล้ว
    แต่นี่เป็นค่ายกลจึงมิต้องกังวล ดังนั้นนี่จึงนับว่าเป็นค่ายกลที่แม้ยอดฝีมืออันดับต้นๆ พลัดเข้ามา ก็ยากยิ่งจะสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ เขาและเหวินเหม่ยชิงก็ได้ลิ้มรสไปครั้งหนึ่งแล้ว

    สถานการณ์ ของฮั่นตงครานี้ยังย่ำแย่กว่าคราวก่อนมาก เนื่องจากตอนนี้ มันและเสี่ยวซาตกลงมายังพื้นห้องที่เต็มไปด้วยช่องยิงลูกธนูเช่นกัน ฮั่นตงร่ายรำวิชาตัวเบานกนางแอ่น หลบหลีก พร้อมปลดปล่อยปราณมังกรเขียว ออกมาปัดป้อง ฝนลูกธนูที่สาดซัดเข้ามาทุกทิศทุกทางประกายไฟจากการปะทะกับลูกธนูสะท้อนไปทั่วห้อง

    ทั่วร่างของเขาเวลานี้ราวกับมีกังหันลมสีเขียวโบกสะบัด กังหันสีเขียวหมุนไปที่ใดบังเกิดเสียง ติงๆ ตังๆ พร้อมประกายไฟแลบแปลบ ลูกธนูราวห่าฝนร่วงหล่นลงพื้นในสภาพหักพังมิมีชิ้นดี

    อดีตยอดมือปราบรู้สึกว่าตนเองกลับประมาทฝีมือของ "หัตถ์เทพบัญชา" จนเกินไป ลำพังตัวเขายามนี้ อาจจะพอฝ่าค่ายกลนี้ไปได้ ทว่า ไม่สามารถช่วยชีวิตเสี่ยวซาได้! แต่ เด็กหนุ่มผู้นี้ แม้พบกันไม่นานมีความผูกพันกับเขามาตลอด ไม่เพียงแต่เชื่อใจเขาเรื่อง การตายของเตียหงี
    ซ้ำยังถ่ายเทลมปราณช่วยชีวิตเขาในยามวิกฤติ อีกทั้ง ยามเมื่อเข้าใจผิดว่า เขาตาย มันยังคลั่งแค้นจนขาดสติ ทำต้องเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บ

    ฮั่นตงรู้สึก รัก เด็กหนุ่มผู้นี้ ในทันที ไม่ใช่ความรัก เหมือนรักเหวินเหม่ยชิง ทว่าเป็นความรักแบบเพื่อน หรือ พี่น้องที่ยิ่งใหญ่พอๆ กัน และสามารถตายแทนกันได้

    คิดถึงตรงนี้ต้องบังเกิดความหนาวเหน็บขึ้นในใจ "หรือนี่คือเหตุผลที่ ซิเหวินคังไม่ปลิดชีพของเสี่ยวซาลงในยามที่มีโอกาส หรือมันสามารถคาดคำนวณไปถึงเหตุการณ์ที่ยังมิบังเกิดขึ้น เตรียมปิดกั้นเส้นทางหลบหนีของทั้งหมดเอาไว้ หากว่าตัวเขาไม่ปรากฏตัวออกขัดขวางมัน มันก็ตั้งใจทิ้งให้คนอื่นๆ นอกจากเหวินเหม่ยชิงและหลี่ซังซังล้มตายลงด้วยกับดักนี้ โดยมิลงมือปลิดปลงด้วยตนเองอยู่แล้ว!!!!"

    เช่นนั้นคนผู้นี้ก็มีความอำมหิต และความคิดอ่านที่ล้ำลึกจนน่ากลัวทีเดียว!!!!!

    "เสียวซา ไม่ว่าจะอย่างไร วันนี้เราทั้งคู่ต้องรอดชีวิต หรือ ไม่ก็ตายอยู่ในนี้ทั้งคู่" ฮั่นตงคำราม พร้อมเร่งเร้าพลังมังกรเขียวจนถึงขีดสุด พลังไอเย็นปกคลุมไปทั่วบริเวณ ซัดฟาดเข้าใส่ธนูกลที่ยิงเข้ามาจากทุกทิศทุกทางอย่างสุดความสามารถ ทว่าอย่างไรเขาก็มิสามารถฝ่าออกไปได้ ตอนนี้เขาเริ่มอ่อนล้า
    หน้ามืดวิงเวียน สติเริ่มเลือนราง ทว่ายังหลบหลีก ปัดป่ายอย่างแคล่วคล่อง

    แต่แล้วเหมือนฟ้าจงใจกลั่นแกล้งคนดีที่พากเพียร ในที่สุดเขามิอาจต้านทานค่ายธนูกล อันร้ายกาจได้ ธนูดอกหนึ่ง พุ่งเข้าหาเสี่ยวซาอย่างรวดเร็ว โดย
    ฮั่นตงมิอาจสกัดได้ทัน เห็นได้ชัดว่า มันต้องทะลุด้านหลังเสี่ยวซา และ ปลิดชีพมันอย่างแน่นอน

    แต่เมื่อ เหตุการณ์กำลังเลวร้ายขั้นวิกฤติ ธนูดอกนั้นกลับปะทะกับสิ่งหนึ่ง หักกระเด็นไป

    คือ มือของเสี่ยวซา! เอง

    ตอนนี้มันเริ่มปัดป่ายช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว ร่ายรำเพลงมวยไทเก็ก ที่คล้ายเชื่องช้าทว่า กลับใช้ทุกส่วน ป้องกัน ธนูกล ได้อย่างน่าอัศจรรย์

    ในที่สุดมันเข้าใจถึงเคล็ดความที่ว่า "ใช้สงบสยบเคลื่อนไหว ใช้อ่อนต้านปะทะแข็ง ใช้ช้ากำราบว่องไว" สำแดงเพลงมวยไทเก็กถึงขีดสุด!!!!

    ยามนี้ สองสุดยอดฝีมือ หนึ่งใช้ปราณมังกรเขียวอันร้ายกาจ และ วิชาตัวเบานกนางแอ่น อีกหนึ่งใช้เพลงมวยไท้เก็ก ที่มองดูแปลกประหลาด กระบวนท่าน่าขบขัน ทว่า อานุภาพร้ายกาจ ช่วยกันปัดป่ายหลบหลีกฝนธนูกล อย่างสุดความสามารถ

    แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 47 11:12:00

    แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 47 22:17:29

    จากคุณ : ทีมแต่งนิยาย - [ 22 ก.ค. 47 21:13:41 ]