ขอออกตัวไว้ก่อนนิดหนึ่งนะคะ
ชื่อเรื่องอาจจะฟังดูหวาน โรแมนติก แต่เนื้อเรื่องออกแนวชีวิตเข้มข้นตามแบบฉบับเดิมของเรา
เรื่องนี้ ทดลองเปลี่ยนการเขียนแนวรักแบบ เพียงฟ้า หรือ ฝน หญิงสาวมีการศึกษาสูง ทำงานสำนักงาน
มาเป็นเรื่องราวความรักและฉากชีวิตอันเข้มข้นของ ชนชั้นที่มีการศึกษาน้อย อย่างพ่อค้าแม่ค้าในตลาดสดดูบ้าง ยังไงก็ยินดีรับฟังคำแนะนำติชม เช่นเคย
หมายเหตุ
เรื่องนี้ทดลองเขียนในมุมมองความรู้สึกนึกคิดของผู้ชายเป็นเรื่องแรก
ผู้อ่านท่านใดโดยเฉพาะคุณผู้ชาย มีข้อท้วงติง ก็แนะนำได้
เพื่อให้ผู้เขียนจะได้นำไปปรับปรุงแก้ไขค่ะ
ปล. รู้สึกผู้อ่านหลายท่านจะงง ตรงจุดที่ "ผม" นอนป่วยอยู่หรือเปล่า และตามแม่นวลออกไปได้ยังไง ยังไม่อยากจะแก้ไขข้อความใด ๆ แต่ขอให้สังเกตุตรงจุดตัวอักษรเข้มดีกว่าค่ะ
สัมผัสแห่งรักแท้ และรักนิรันดร์
1...............
ร่างอันผอมโซจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกของผม กำลังนอนแผ่อยู่บนเตียงไม้เก่า ๆ ในบ้านหลังเล็กอย่างไร้เรี่ยวแรง จริง ๆ แล้ว หลายวันมานี้ ผมรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวขึ้นมาก อาการเจ็บปวดกระดูก แสบร้อนไปหมดทั้งใบหน้าและต้นคอ ก็หายเป็นปลิดทิ้ง เนื้อตัวเบาหวิวเหมือนกับจะล่องลอยไป ณ ที่แห่งใดก็ได้ตามแต่ใจต้องการ แต่แขนขาของผมสิ มันกลับไม่ทำงานตามประสาทสั่งการ ร่างกายของผมในเวลานี้ มีเพียงแต่ดวงตาและปลายนิ้วเท่านั้น ที่จะขยับเขยื้อนได้ตามการสั่งงานของสมอง
ชั่วขณะนั้นเอง ผมพบว่า สัมผัสการรับรู้ของผมสามารถเคลื่อนที่ออกนอกร่างกายที่กำลังนอนป่วยซมอยู่ได้ ผมล่องลอยไปได้ทุกหนทุกแห่งเพียงแต่ใจคิด ก็สามารถเดินทางไปถึง
สัมผัสการรับรู้ของผม กำลังเคลื่อนที่ตามเมียรักที่แบกหาบขนมหาบใหญ่เดินออกจากบ้าน พร้อมกับลูกสาวสองคนโต ที่กำลังช่วยยกกล่องใหญ่ที่บรรจุขนมอยู่เต็มกล่อง เดินตามแม่ไปติด ๆ
"เอาขนมมาส่งจ้า พี่เจิม"
นวลตะโกนร้องเรียกเจิม หญิงวัยกลางคนเจ้าของร้านขายของชำในซอยบ้าน ขณะที่ลูกสาวสองคนของผม ยกกล่องขนมเข้าไปจัดวางในร้าน
"อ้าว... ขนมเสร็จแล้วเหรอจ๊ะ แม่นวล พรุ่งนี้เอาของใหม่มาส่งด้วยล่ะ แหม..ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ใครชิมเป็นต้องติดใจ"
เจิมเดินออกมาทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มยินดี ตั้งแต่นวลเอาขนมไปฝากขาย ทำให้ร้านของแกมีลูกค้าเดินเข้าออกมิได้หยุด
"ขอบคุณนะจ๊ะ พี่เจิม ที่ช่วยฉันขาย" เสียงพูดอันอ่อนหวานของนวลเมียรัก ยังคงตราตรึงอยู่ในใจผมเสมอมา
"แหม.. ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะแม่นวล แม่นวลฝากฉันขายฟรี ๆ สักเมื่อไหร่กัน เอ่อ.. แล้วว่าแต่ว่า อาการของพ่อเติมศักดิ์เขาเป็นยังไงบ้างล่ะเนี่ย"
นวลมีสีหน้าสลดลง เมื่อเจิมถามถึงผม ผมป่วยหนักเป็นมะเร็งในหลอดลมมาหลายปี นวลพยายามทุกวิถีทางที่จะรักษาผมให้หายขาด ทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ อีกทั้งการทำพิธีต่อชะตาสะเดาะเคราะห์ ด้วยความหวังที่จะให้ผมมีชีวิตยืนยาวต่อไป
"ก็แย่ลง แย่ลง ทุกวันแหละจ๊ะ พี่เจิม นี่ก็กะว่าพรุ่งนี้จะให้พี่ชัยช่วยแบกขึ้นแท๊กซี่ พาไปให้หมอเขาฉีดยาอีกสักเข็ม สองวันมานี้ไม่กินอะไรเลยแม้แต่น้ำ" นวลพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า จนผมอดเวทนาในความทุกข์ยากของเธอที่ทำเพื่อผมมิได้
เจิมเดินเข้ามาใกล้ สายตาที่มองนวลนั้น เหมือนอยากจะบอกอะไรบางอย่าง
"แม่นวล พ่อเติมเขาก็ป่วยหนักมาหลายปีแล้วนะ ปล่อยให้แม่นวลต้องหาเลี้ยงลูกตั้งห้าคนเพียงคนเดียว ไหนจะค่าหยูกค่ายาผัวที่กำลังป่วยอีก มันน้อย ๆ สะที่ไหน แม่นวลจะทนทำไปได้อีกสักกี่น้ำกัน"
น้ำเสียงพูดของเจิมนั้น เหมือนเป็นความเห็นใจ แต่มันก็เหมือนมีอะไรบางอย่างแอบซ่อนอยู่
"ทนไม่ได้ ก็ต้องฝืนทน จะปล่อยให้ลูกให้ผัวอดตายได้ยังไงล่ะจ๊ะพี่เจิม" นวลของผมยังคงยืนอยู่บนความเข้มแข็งเสมอไม่เคยเปลี่ยน นับตั้งแต่วันที่ผมรู้จักกับเธอมา
เจิมเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย แล้วสะกิดแขนนวลพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
"แล้วเถ้าแก่คิม เจ้าของโรงงานแก๊สนั้นล่ะ แกสนใจแม่นวลมานานแล้วนะ เห็นมาเรียบ ๆ เคียง ๆ แถวนี้อยู่บ่อย ๆ ไม่สนใจเขาบ้างเลยเหรอ เขามีฐานะมั่นคงแล้วนะ แม่นวลจะได้สุขสบาย ไม่ต้องมาตรากตรำขายขนมอยู่แบบนี้ แล้วอีกอย่างพ่อเติมก็ป่วยหนักมานาน คงไม่เคยมีอะไรกันมาหลายปีแล้วสิท่า"
ประโยคอันโหดร้ายน่ารังเกียจของเจิม ทำให้นวลเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
"อะไรกัน ! พี่เจิม ทำไมพูดแบบนี้ พี่เติมเขาป่วยหนักขนาดนี้ ฉันจะทิ้งเขาไปได้ยังไง ไหนจะลูก ๆ อีก"
เสียงเคร่งเครียดของนวล ทำให้เจิมมีสีหน้าสลดลง
"ขอโทษจ๊ะ... แม่นวล ไอ้ฉันมันก็หวังดี เห็นใจหัวอกลูกผู้หญิงด้วยกัน ชาวบ้านแถบนี้เขาก็พูดกันทั้งนั้น ว่าแม่นวลทำงานหามรุ่งหามค่ำหาเลี้ยงลูกผัว คงจะอดทนทำไปได้อีกไม่นาน"
นวลหันไปมองหน้าหญิงที่สูงวัยกว่า ด้วยแววตาแข็งกร้าว
"พี่เจิม.. ผัวก็คือผัว อยู่ด้วยกันมาเป็นคู่ชีวิตกัน ก็ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ตายก็ต้องตายด้วยกัน คนนะไม่ใช่หมา พอสึกหรอ จะทิ้งไปเปลี่ยนผัวใหม่"
คำพูดประโยคนั้นของนวล ทำให้ผมได้ประจักษ์ถึงแก่นของรักแท้ หัวใจรักอันบริสุทธิ์ที่ผมได้รับมอบจากเธอตลอดเวลา 15 ปีที่อยู่ร่วมกันมา
ธรรมชาติสร้างผู้ชายกับผู้หญิงให้เกิดมาคู่กัน แต่น่าแปลกที่ธรรมชาติกลับสร้างความรู้สึกของคำว่า "รัก" ระหว่างชายกับหญิงที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
มีคำพูดที่ว่า ทุกครั้งที่คู่รักสบตากัน ผู้หญิงมักจะมองตาชายคนรัก ด้วยความปรารถนาที่จะควานหาความอบอุ่นและมิตรไมตรี ส่วนผู้ชายมักจะเพ่งมองใบหน้าอันงดงาม เรือนร่างของหญิงสาว ด้วยความหวังที่จะได้ลิ้มรสสัมผัสสวาท
และ...มาถึงวันนี้ ผมก็ได้รู้ถึงคุณค่าแห่งรักแท้ ที่ผมได้รับจากนวล ผู้หญิงคนเดียวที่ผมยังรัก และรักเธอจนหมดหัวใจ
.......................................
ความรักครั้งแรกของผม เกิดขึ้นมาตั้งแต่เยาว์วัย วันที่ผมยังไม่รู้จักคำว่า "รัก" อ้อย.. หญิงสาวในดวงใจคนแรกในชีวิตผม เธอเติบโตขึ้นมาเป็นสาวสะพรั่ง สะสวยที่สุดในย่านบ้านเก่าบางลำภู ใบหน้านวลเนียนงดงามหมดจด ประกอบกับรูปร่างกันเพรียวบาง สวมใส่ด้วยการแต่งกายแบบทันสมัย เปิดเผยทุกส่วนสัดอันงดงาม ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย หนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่ หรือชายแก่ อดที่จะเหลียวมองเธอมิได้ ทุกครั้งที่เธอเดินผ่าน เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของป้าอิ่ม แม่ค้าขายผักในย่านนั้น
ผมหลงรักเธอตั้งแต่แรกเห็น คอยดักรอพูดคุยกับเธออยู่เพียงไม่กี่วัน อาจจะเป็นเพราะใบหน้าอันคมคายของผม ขาวตี๋ของผม ที่ดูเหมือนจะหล่อเหลากว่าบรรดาหนุ่ม ๆ ในย่านนั้น ทำให้อ้อยยอมรับนัดผมไปเที่ยวงานวัดด้วยกัน
คืนนั้นเธอแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ทเอวลอยรัดรูป คอบาดลึก กางเกงยีนส์ขาสั้น เผยโคนขาอันขาวเรียวบาง ผิวพรรณอันขาวผ่องนวลเนียนของเธอ ปลุกอารมณ์เลือดวัยหนุ่มของผมให้เดือดพร่าน รอยยิ้มอันหวานซึ้งยั่วยวนของเธอ ทำเอาผมอยากจะกระโจนเข้าไปดูดดื่มความหวานจากเรียวปากอันเรียวบางนั้น ผมอดไม่ได้ที่จะล่วงล้ำเข้าไปลูบไล้ฝ่ามืออันนุ่มนิ่มและแขนอันเรียวงามคู่นั้น ตอนที่เราสองคนนั่งอยู่บนชิงช้าสวรรค์
เพียงวันที่สองของการเที่ยวงานวัด เราสองคนก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่ในพงหญ้าหลังงานวัดแห่งนั้น เกมรักอันดุเด็ดเผ็ดมันส์ของเธอ เร้าใจดึงดูดให้ผมมอบความเป็นชายให้กับเธอครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างที่ไม่รู้จักเบื่อ เพียงไม่กี่วันหลังจากวันนั้น เธอก็หอบเสื้อผ้าจากแม่ของเธอมาอยู่กับผม
ตึกแถวเรือนไม้หลังเก่าเล็ก ๆ เป็นสถานที่ที่พี่ติ๋ม พี่สาวคนเดียวของผมใช้ประกอบอาชีพขายข้าวแกงหาเลี้ยงชีพ แม่ของผมเสียชีวิตไปตั้งแต่ผมอายุได้เพียง 9 ขวบ ด้วยโรคมะเร็งปากมดลูก ส่วนพ่อนั้นก็เสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่ผมยังไม่เกิด พี่ติ๋มพี่สาววัยแก่กว่าผมเกือบสิบปี จึงเปรียบเสมือนแม่คนที่สองของผม ที่เลี้ยงดูอบรมผมมาตั้งแต่จำความได้ และผมก็ได้ตอบแทนพระคุณโดยการออกจากโรงเรียนมาตั้งแต่เรียนจบชั้น ป.6 ช่วยเหลือพี่สาวทำมาหาเลี้ยงชีวิต ร้านอาหารของเราไม่ใหญ่โตนัก แต่ก็มีลูกค้ามากมายเข้ามาหาซื้ออาหาร ด้วยฝีมือการทำอาหารตำหรับชาวจีนดั่งเดิมมาตั้งแต่รุ่นของแม่ผม
พี่ติ๋มไม่พอใจท่าทีเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดของอ้อย อีกทั้งอ้อยเอง ก็ไม่เคยคิดจะช่วยเหลืองานบ้านหรืองานใด ๆ ในร้าน
"ผู้หญิงดี ๆ แม่เหย้าแม่เรือน หาไม่ได้แล้วหรือไง ดันเสือกเอายัยสันหลังยาวนี่มาทำเมีย" พี่ติ๋มผมมักจะพูดจาประชดประชัน หรือด่าว่าอ้อยอยู่บ่อย ๆ ทำให้ทั้งสองคนไม่ลงรอยกันนัก
ส่วนผมกับอ้อยนั้น ในระยะข้าวใหม่ปลามันแบบนี้ เรามีท่าทีจะไปกันได้ด้วยดี ผมหลุ่มหลงในความสวยความสาวของเธอ จนแทบจะเรียกว่า โงหัวไม่ขึ้น จนกระทั่งเธอคลอดลูกชายคนแรกให้ผมด้วยวัยเพียง 18 ปี ส่วนผมนั้นอายุครบ 21 ปีบริบูรณ์พอดี และถึงเวลาที่จะต้องไปทำงานรับใช้ชาติ
"กรี๊ด.ๆ.ๆ."
เสียงกรีดร้องของเมียสาว ทำเอาลูกชายแรกเกิดของผมที่แผดเสียงร้องจ้าด้วยความตกใจ ขณะที่ผมรีบคว้าเอาตัวแกเข้ามาอุ้มไว้อย่างทุลักทุเลด้วยความที่เป็นพ่อมือใหม่
"พี่จะไปได้ยังไง แล้วฉันจะทำยังไง ลูกก็เพิ่งคลอด ถ้าพี่ไป พี่ติ๋มจะให้เงินฉันใช้แบบที่พี่ให้ฉันใช้เหรอ ฉันกับลูกก็ต้องอดตายพอดี"
อ้อยมักจะพูดจาในลักษณะนี้ เธอไม่เคยคิดจะทำอะไรแลกเปลี่ยนกับค่าตอบแทน เคยชินกับการเป็นฝ่ายรับเพียงฝ่ายเดียว
"มันจำเป็นนี่จ๊ะอ้อย คำสั่งของทางราชการ พี่โชคร้ายเองที่จับเจอใบแดง" ผมอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปโอบกอดปลอบประโลมใจเมียรัก ขณะที่เธอยังร้องไห้ฟูมฟายไม่ยอมหยุด
"ฉันไม่ยอม ฉันไม่ยอมนะ แล้วฉันจะอยู่ยังไง.."
แก้ไขเมื่อ 08 ก.ย. 47 09:21:01
แก้ไขเมื่อ 24 ก.ค. 47 01:06:38
แก้ไขเมื่อ 23 ก.ค. 47 22:02:20
แก้ไขเมื่อ 23 ก.ค. 47 14:32:49
แก้ไขเมื่อ 23 ก.ค. 47 14:30:45
จากคุณ :
วังวน
- [
23 ก.ค. 47 14:22:33
]