CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    เจ้าหมีขี้เล่น

    เจ้าหมีขี้เล่น                      
                                                                                                               
            เจ้าหมีเป็นชื่อหมาเพศผู้ตัวเล็กๆ  สีออกไปทางสีดำ  หางเป็นพวง  ใบหูลู่ตกพับลงเหมือนหมาที่มีสายพันธุ์ผสมทั่วๆไป  หน้าตาบ้องแบ๊ว มันคงเป็นหมามีสกุลรุนชาติอยู่บ้างกระมัง  ได้มาอย่างไร ฉันก็จำไม่ได้แล้ว  เพราะช่วงนั้น  แม่แยกบ้านอยู่กับพ่อ  พ่อยังอยู่บ้านเช่านอกตัวเมืองอย่างเดิม  แม่มาเช่าอยู่หลังตลาดในตัวเมือง  นัยว่าทำมาหากินสะดวกกว่าเพราะอยู่ใกล้ตลาด เดินแป๊บเดียวก็ถึง  พวกเราสี่คนพี่น้องตามแม่มาอยู่บ้านเช่าหลังนี้ด้วย  ที่บ้านหลังนี้แหละที่ได้เจ้าหมีมา  
             ความที่มันตัวเล็ก เวลาวิ่งก้นมันส่ายดุ๊กดิ๊กๆ  หางเป็นพวงตั้งขึ้นพลอยส่ายไปด้วย   แถมเวลาเห่าเสียงแหลมเล็กราวกับเด็กที่ไม่ยอมโตสักที
             ทำไมมันชื่อหมีล่ะหนอ…เพราะมันตัวเล็กไง  เลยตั้งชื่อให้มันเอาเคล็ดว่า “หมี” แถมตัวมันออกจะสีคล้ำๆดำๆ  เลยเรียกชื่อมันให้ดูน่าเกรงขามหน่อย  แต่มันก็ไม่เคยทำตัวให้น่าเกรงขามเลย กลับขี้เล่นจนน่าหมั่นไส้
    บ้านเช่าของแม่เป็นบ้านปลูกแบบหลังเดี่ยว  มีใต้ถุนสูง  เหมือนบ้านตามต่างจังหวัดทั่วไป  เมื่อมีใต้ถุนให้ใช้ประโยชน์ได้  แม่จึงซื้อหมูตัวเมียมาเลี้ยงตัวหนึ่ง  สร้างคอกไว้ใกล้บันไดขึ้นลงนั่นแหละ  พูดถึงเรื่องเลี้ยงหมู  เวลาใครจะเลี้ยงหมูมักนิยมเลี้ยงหมูตัวเมีย  เพราะถ้าได้ผสมพันธุ์กับหมูตัวผู้  หมูตัวเมียจะให้ประโยชน์โภชน์ผลมากกว่า  เนื่องจากลูกหมูที่อยู่ในท้องจะออกมาเพิ่มมูลค่าให้แม่หมู  ทำให้คนเลี้ยงรู้สึกว่า ได้กำไรเห็นๆ  ซึ่งผิดกับหมา ฉันแปลกใจนักหนา เวลาใครจะเลี้ยงหมามักเจาะจงเอาหมาตัวผู้  นัยว่าไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมาก  เพราะเวลามันไปผสมกับหมาตัวเมีย  แล้วก็แล้วกันไปด้วยหน้าที่รับผิดชอบต่อชีวิตน้อยๆที่จะเกิดมา หมาตัวเมียรับฝ่ายเดียว  เว้นแต่พวกหมาฝรั่งที่ราคาแพงๆ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
    ตอนแม่พาลูกหมูตัวขนาดย่อมๆมาไว้ในเล้าที่เตรียมไว้ใต้ถุนบ้าน  เจ้าหมีวิ่งฉวัดเฉวียนไปมาล้อมหน้าล้อมหลังเจ้าลูกหมูอย่างตื่นเต้นจนน่าเวียนหัว  ต้องใช้คำว่าฉวัดเฉวียนจริงๆเพราะถ้ามันเป็นยานพาหนะชนิดใดชนิดหนึ่ง  อาการเคลื่อนไหวของมันก็คงเข้าข่ายนั้น  มันอาจจะคิดว่า เราหาเพื่อนมาให้มันก็ได้
                 ลูกหมูร้องอู๊ดๆน้ำเสียงอ่อยน่าสงสาร  ท่าทางตื่นกลัวเต็มที....    
                 แต่เจ้าหมีก็เห่าไม่หยุดราวกับจะทักถามเอาคำตอบให้ได้  จนกระทั่ง ลูกหมูเข้าไปอยู่ในเล้าแล้ว ทุกคนหันมาทำภารกิจของตัวเองต่อ  เจ้าหมียังคงป้วนเปี้ยนๆอยู่แถวเล้าหมูนั่นเอง  บางทีก็หยุดยืนมองดูเจ้าหมูที่อยู่ในเล้า  ที่ยืนอยู่ด้านในสุดของคอกส่งสายตามองมาอย่างไม่ไว้ใจ  เจ้าหมีส่งสายตาเป็นมิตรให้นะ ฉันเห็นสายตามันหวานยังกะน้ำเชื่อม  แถมพยายามยื่น(แหย่)ขาหน้าไปในเล้าราวกับจะขอเช็คแฮนด์สมาชิกคนใหม่ของบ้านอย่างนั้นแหละ  
                   แต่…น่าสงสารที่ความพยายามของมันไม่เป็นผล เพราะเจ้าหมูก็ยังคงส่งสายตาหวาดระแวงมาอยู่นั่นเอง ฉันสันนิษฐานว่าเป็นเพราะขนของเจ้าหมีดกและยาวจนเกือบจะรุงรัง  มันอาจจะดูน่ากลัวสำหรับเจ้าหมูก็ได้นะ
    เมื่อถึงเวลาให้อาหารหมู   ระหว่างที่ฉันผสมอาหารให้หมูกิน  เจ้าหมีจะคอยเตร่ไปเตร่มาอยู่แถวนั้นไม่ยอมห่าง  และพอเทข้าวหมูใส่รางในเล้า  มันก็ยืนมองดูหมูกินอย่างสนใจ  ในใจมันอาจจะนึกค่อนแคะว่า
                     “กินมูมมามยังกะหมู”
    ส่วนเจ้าหมูพักหลังๆคงจะเริ่มชินกับท่าทีของเพื่อนต่างชนิด  มันจึงไม่ค่อยตื่นกลัวเหมือนแต่ก่อน  ทำท่ากินตามสบายคงจะนึกในใจว่า
                      “มองได้ก็มองไป ฉันไม่แคร์”
    ความที่เจ้าหมีขี้เล่น  เวลาน้องสาวฉันวิ่งขึ้นลงบันได  มันมักจะวิ่งตามขึ้นลงเหมือนเล่นวิ่งไล่จับกันยังงั้นแหละ  บางทีแกล้งทำท่าจะวิ่ง  มันก็จะวิ่งหน้าเริ่ดไปก่อนแล้ว  ครั้นพอรู้ตัวว่าถูกหลอก  มันก็จะหยุดยืนนิ่งๆ  มองหน้าคนที่หลอกให้วิ่งราวกับจะตัดพ้อว่า
    “หลอกกันได้นะ ตัวเอง”
    มีอยู่ครั้งหนึ่ง  ความที่ชอบวิ่งขึ้นลงบันไดจนเป็นนิสัย  เจ้าหมีวิ่งพลาดหล่นลอดขั้นบันไดลงมานอนแอ้งแม้งหน้าเล้าหมูพอดิบพอดี  เจ้าหมูกำลังนอนเพลิน สะดุ้งเฮือกลุกพรวดพราดร้อง”อู๊ดๆ” สีหน้าท่าทางตกใจสุดๆ  เคราะห์ดีที่พื้นตรงหน้าเล้าหมูมันออกจะหยุ่นๆนิ่มๆ เพราะเฉอะแฉะอยู่เป็นประจำ  อีกทั้งขั้นบันไดก็ไม่สูงมากนัก มันจึงร้อง “เอ๋ง “ สั้นๆ  พอให้ใครๆรู้ว่า ฉันเจ็บนะ มาดูฉันหน่อยซี  น้องสาวฉันยืนหัวเราะเฉย  มันจึงค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นเอง ท่าทางหงอยไปถนัดใจ
                 มันหยุดวิ่งขึ้นลงบันไดได้ประมาณสองสามวัน  พอลืมเหตุการณ์นั้น  มันก็ทำเหมือนเดิมด้วยความเคยชิน  อาจเป็นเพราะมันเป็นหมาตัวเล็ก    มันจึงปราดเปรียว
    นักหนา
                  คิดดูเถิดตอนที่เจ้าหมูมาใหม่ๆ  ขนาดของมันใกล้เคียงกันเลยนะ  ถ้าเป็นคนก็กอดคอกันได้เลยล่ะ....
                   ระยะเวลาผ่านไปแค่สองเดือน  เจ้าหมูตัวโตกว่าเจ้าหมีตั้งสี่ห้าเท่าตัว  ระยะหลัง   สายตาของเจ้าหมีที่มองเจ้าหมูเปลี่ยนไป กลายเป็นสายตาแห่งความสงสัยมาแทน   แต่ก็ยังแฝงด้วยความเป็นมิตรอย่างเคยนั่นแหละ  
                    วันดีคืนดี  ฉันมักจะแอบเห็นเจ้าหมีไปยืนสบตากับเจ้าหมูที่มองตอบออกมาจากในเล้า  มันอาจจะกำลังคุยกันด้วยกระแสเสียงทางจิตที่คนอย่างเราไม่ได้ยินและไม่มีวันเข้าใจก็ได้นะ  มีเสียงเห่าเบาๆสลับกับเสียงอู๊ดๆ ดังออกมาเป็นระยะๆ  มันคุยกันอยู่แน่เลย  เจ้าหมีมันอาจจะชวนว่า
                  “ออกมาเล่นด้วยกันซี หมู”
                  “ฉันออกไปไม่ได้  ฉันถูกขัง”
    เจ้าหมูคงตอบอย่างนั้น  เพราะฉันเห็นสายตามันละห้อยหนักหนา  เศร้าแฮะ…ไม่นึกดีกว่า ให้มันคุยกันตามประสาสัตว์นั่นแหละ มันทำให้ฉันเห็นสัจธรรมของชีวิตว่า  สรรพสัตว์ในโลกล้วนต้องการเพื่อน  เพื่อนที่อาจจะมีความแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน   แต่ก็เป็นเพื่อนที่ทำให้เราคลายเหงาและไม่รู้สึกโดดเดี่ยว  เจ้าหมีกับเจ้าหมูก็เช่นกัน  ขอเพียงได้แสดงความเป็นมิตรและเอื้ออาทรกันด้วยสายตา  ก็นับว่าเกินพอแล้วกระมัง
    เมื่อมีพบก็ต้องมีจาก  มีคนมาขอซื้อเจ้าหมูไปทำแม่พันธุ์  คนแปลกหน้าที่เข้ามาด้อมๆมองๆตรงเล้าหมู  ทำให้เจ้าหมีเห่าเสียงขรม ฟังดูเหมือนเห่าไล่อย่างนั้นแหละ  ไม่มีใครสนใจ เพราะเมื่อเขาตกลงราคากับแม่เสร็จ  เขาก็ให้ลูกน้องเขาสามสี่คนมาช่วยกันจับเจ้าหมูที่ร้องอู๊ดๆเสียงลั่นจนเสียงแหบเสียงแห้งประสานเสียงเห่าของเจ้าหมีขึ้นท้ายรถกระบะขับออกไป  เจ้าหมีวิ่งตามรถพลางเห่าพลาง  ตาก็มองดูเจ้าหมูที่ยืนนิ่งบนท้ายรถกระบะส่งสายตาเศร้าสร้อยมองตอบมาแทนคำอำลา  ฉันกับน้องสาววิ่งตามออกมาดูเห็นเจ้าหมีวิ่งตามรถไปจนรถเลี้ยวออกถนนใหญ่ลับสายตาไป  มันวิ่งพลางเห่าพลางไปหยุดยืนตรงทางที่รถเลี้ยวหายไปจากสายตา  มองไปทางที่รถคันนั้นแล่นไป  เสียงเห่าค่อยๆแผ่วลงๆ จนเงียบไปในที่สุด
    มันคงเหนื่อย…ทั้งวิ่งทั้งเห่าอย่างนั้น  ไม่ใช่วิ่งธรรมดา…วิ่งสุดฝีเท้าด้วย  ไอ้ที่ว่ากันว่าใส่ตีนหมาโกยแน่บ  ก็คงพออธิบายได้ถึงลักษณะการวิ่งของเจ้าหมี  ซึ่งปกติไม่เค้ย…ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะได้แสดงความสามารถถึงขนาดนี้  มันเป็นการแสดงออกถึง”ความรักและผูกพัน” เพื่อนต่างเผ่าพันธุ์ของมันโดยแท้ทีเดียว
              มันหันกลับมาด้วยท่าทางหงอยๆ ครั้นเห็นฉันกับน้องสาวยืนมองอยู่  ก็วิ่งหน้าตั้งมาหาพลางทำเสียงครางอิ๊ดๆในลำคอ  ท่าทางเหมือนอยากพูดและขอความเห็นใจ…เจ้าหมีสื่อได้เพียงเท่านั้น  เพราะมันพูดไม่ได้  ฉันลูบหัวมันอย่างปลอบประโลม
    “เข้าบ้านเถอะ หมี”
    คนสองคนกับหมาหนึ่งตัวพากันเดินเข้าบ้านอย่างหงอยๆ  ถ้าเจ้าหมีไม่มีปฏิกริยามากมายถึงเพียงนั้น ฉันคงไม่รู้สึกเศร้าถึงเพียงนี้  
    เย็นวันนั้น  ฉันแอบเห็นเจ้าหมียืนนิ่งอยู่หน้าเล้าหมูที่ว่างเปล่า ส่งเสียงเห่าเบาๆ  เหมือนที่มันเคยทำอยู่เป็นประจำตอนที่เจ้าหมูยังอยู่  
    มันอาจจะกำลังจินตนาการก็ได้นะว่า  เจ้าหมูกำลังคุยกับมันดังเช่นทุกวันนั่นแหละ  เพื่อนรักของมันไม่ได้จากไปไหนสักหน่อย
    โถ..เจ้าหมี  ฉันอยากจะร้องไห้กับความขี้เล่นของแกเสียจริงๆ
                                                           
                                      จบ

    จากคุณ : wanalee - [ 24 ก.ค. 47 22:12:38 ]