สัมผัสแห่งรักแท้.. และรักนิรันดร์ ตอนที่ 2
ความเดิม
อ้อยคลอดลูกคนที่สามออกมาเป็นชาย เป็นลูกครึ่งไทย-ฝรั่ง ทำให้เติมศักดิ์รู้ว่าอ้อยไม่ซื่อสัตย์กับตน จึงเลิกกับเธอและออกจากบ้านไปอาศัยอยู่ที่พักของที่ทำงาน
ตอนที่ 1 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2927125/W2927125.html
ตอนที่ 2
3.............
เวลาผ่านไปหลายปี ผมทำงานยังคงทำงานอยู่ที่นั่นด้วยความขยันขันแข็งเรียน ค่อย ๆ เรียนรู้วิธีและเทคนิคการทำอาหารเพิ่มขึ้น จนกระทั่งได้เลื่อนระดับเป็นพ่อครัวเต็มตัว พร้อมกับเงินรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ห้องผนังไม้เล็ก ๆ ที่กว้างยาวเพียง 2 เมตร เป็นสถานที่ซุกหัวนอนแห่งใหม่ของผม อยู่บริเวณด้านหลังภัตตาคาร ด้านข้างมีตึกแถวติด ๆ กันอยู่หลายห้อง เป็นสถานที่ขายอาหารในช่วงเย็นบริการผู้คนที่สัญจรไปมามากมายในย่านนั้น ร้านข้าวแกงห้องหัวมุมเป็นร้านประจำที่ผมไปฝากท้องไว้เกือบทุกมื้อ ไม่ใช่เพราะอาหารที่นั่นอร่อยถูกใจ แต่เป็นเพราะร้านขนมหวานที่ตั้งอยู่หน้าร้านนั้นต่างหาก เกือบทุกวัน แม่ค้าหน้าหวานเหมือนขนมของเธอ จะนำขนมมาจัดวางขายอย่างขยันขันแข็ง
ผมพบกับนวลที่นั่น เธอเป็นสาวน้อยอ่อนวัยกว่าผมอยู่หลายปี แรกพบผมติดใจในกิริยาท่าทางที่อ่อนช้อยงดงามของเธอ ดวงหน้าอันอ่อนหวาน รูปร่างที่เพรียวงามได้ส่วนสัด ภายใต้อาภรณ์ที่ปกปิดจนมิดชิด แต่ก็มีเสน่ห์ยั่วยวนชวนให้ผู้ชายอย่างผมลุ่มหลง
"ทานขนมอะไรดีจ๊ะพี่วันนี้" เสียงหวานของนวลทักทายผมทันที เมื่อผมเดินไปบริเวณหน้าร้าน
"ขนมปลากริมมีไหมจ๊ะแม่นวล" ผมพูดไปพลางมองหน้าหวานของเธอ มิได้ก้มลงเลือกขนมตรงหน้า
นวลเหมือนจะรับรู้ถึงความรู้สึกพิเศษที่ผมมีให้ต่อเธอ เธอจึงมักจะเอาแต่ก้มหน้าพูด ด้วยความเอียงอาย แต่ก็ยังพยายามแสดงสีหน้าและกริยาท่าทางให้เป็นปกติมากที่สุด
"วันนี้ไม่มีขนมปลากริมจ๊ะ มีแต่บัวลอยไข่หวานได้ไหมจ๊ะ" เธอพูดขึ้นพลางก้มหน้าก้มตาตักขนม พยายามที่จะหลบสายตาของผม
"บัวลอยไข่หวานก็ได้จ๊ะ พี่ขอหวาน ๆ นะจ๊ะนวล"
คำตอบของผมคงจะไม่เกี่ยวข้องกับความหวานของบัวลอย แต่คงเกี่ยวกับความหลงใหลในใบหน้าหวาน ๆ ของแม่ค้าขายบัวลอยต่างหาก
ผมหันหลังเดินกลับมาที่โต๊ะอาหาร ยังคงไม่ละสายตาจากเธอ จนไม่ทันระวังขาเตะเอาขาเก้าอี้ล้มระเนระนาด
ผมรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเธอมาบ้าง จากเจ้าของร้านขายอาหารที่เธอเช่าหน้าร้านขายขนมอยู่นี้ พ่อของเธอพายเรือรับจ้างข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ตรงเชิงสะพานพุทธ ส่วนแม่ของเธอนั้นต้องอยู่บ้าน เพราะมีลูกเล็ก ๆ และทำงานพิเศษพับกระดาษเงินกระดาษทองส่งที่ร้านขายธูปเทียน เธอมีพี่น้องมากมายถึง 8 คน นวลเป็นลูกคนโต ทำให้เธอต้องตรากตรำทำงานหนักช่วยเหลือพ่อแม่หาเงินเลี้ยงดูน้อง ๆ
ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับเธอแล้ว ผมอดที่จะเห็นใจตามประสาคนยากไร้หัวอกเดียวกันมิได้ และมันอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกหลงรักเธออย่างปักษ์ใจ ความสวยของเธอประกอบกับกิริยามารยาทที่งดงามอ่อนช้อย เชิญชวนให้หนุ่มใหญ่น้อยในละแวกนั้นพากันมาเกี่ยวพาราสี ในจำนวนนั้นก็ยังมีคนอีกมากมายที่หน้าตาดี และมีฐานะมั่นคงกว่าผม นวลจะคิดยังไง ถ้ารู้ว่าผมเคยมีครอบครัวมาแล้ว เธอจะยอมรับมันได้ไหม เธอจะเข้าใจผมไหม หรือเธออาจจะคิดว่ายังมีผู้ชายดี ๆ อีกมากที่จะมอบความสุขกายสบายใจให้กับเธอได้มากกว่าผม
ผมกลับมาเยี่ยมเยียนในละแวกบ้านเก่าอีกครั้ง เมื่อทราบข่าวมาว่าพี่ติ๋มออกตามหาผม สองขาพาผมเดินตรงไปยังหน้าประตูบ้านของแม่อิ่ม เหม่อมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ดวงตาเหม่อลอยหวนคิดถึงคืนวันเก่าด้วยความอาลัยรัก
เวลา 6 ปีที่ล่วงเลยผ่านไป นับตั้งแต่วันที่ผมก้าวออกจากชีวิตอ้อย แต่อ้อยก็ยังคลอดลูกสาวคนเล็กออกมาเมื่อสองปีก่อน ซึ่งแน่นอนว่าเด็กนั่นไม่ใช่สายเลือดของผม และแน่นอนยิ่งกว่าที่อ้อยจะระบุชื่อผมเป็นพ่อของเด็ก
แม่อิ่มแก่ชราลงไปมาก จึงยกแผงผักที่ตลาดให้อ้อยไปดูแลทำมาค้าขายหาเลี้ยงตัวเองกับลูก ส่วนตัวแม่อิ่มเองก็อยู่บ้านคอยดูแลหลาน ๆ ภาพที่ผมเห็นนั่นก็คือ ต้อย ลูกสาวคนรองของผม (ซึ่งตอนนี้ผมก็ไม่แน่ใจนักว่าแกเป็นสายเลือดของผมหรือไม่) วัย 7 ปีกำลังตักข้าวป้อนใส่ปากน้องคนเล็กวัยสองขวบ ส่วนเจ้าลูกนอกไส้หัวแดงวัย 6 ปีของผมกำลังนั่งเล่นรถพลาสติกอยู่ข้าง ๆ
สายตาของผมควานมองหา ตาต่อ ลูกชายคนโต ซึ่งคงจะเป็นลูกคนเดียวที่ผมแน่ใจว่าแกเป็นลูกแท้ ๆ ของผม แต่แกกลับไม่ได้อยู่บ้านในวันนั้น
"โหย... หาไปสะนานเลยนะเอ็ง ไอ้เติม เอ็งคงรู้แล้วสิว่านังอ้อยมันคลอดลูกสาวมาอีกคน นังนี่มันยังหน้าด้านหน้าทน ไปเที่ยวบอกใคร ๆ ว่า เอ็งกลับมาปล้ำมัน ทำให้มันท้องอีกรอบ"
พี่ติ๋มร่ายยาวทันทีเมื่อผมก้าวขาเข้าไปในบ้าน ผมนั่งลงกับพื้นข้าง ๆ เธอ โบกมือทำสีหน้าเบื่อหน่ายให้เธอหยุดพูด
"ช่างมันเถิดพี่ติ๋ม เขาจะไปพูดอะไรก็ช่างเขา" ในเวลานั้นผมเริ่มทำใจปลงกับชีวิต และสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
เมื่อกี้ฉันแอบย่องไปดูลูกมา ฉันไม่เห็นไอ้ต่อ ผมถามถึงลูกชายกับพี่ติ๋มด้วยความรักและคิดถึง
อ๋อ ! ไอ้ต่อน่ะเหรอ วันหยุดเรียนแบบนี้มันไปช่วยแม่มันขายผักที่ตลาดโน้น ไอ้นี่มันใช้ได้นะ ขยัน ตัวเท่านี้ก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของแม่มันได้แล้ว นี่ข้าก็บอกให้มันมาหาทุกเย็น แบ่งกับข้าวที่ขายเหลือไปให้ไอ้พวกน้อง ๆ นอกคอกมันกินกัน
ผมฟังแล้วอดรู้สึกปลาบปลื้มใจในความดีงามของลูกชายคนเดียวมิได้ ยังไงตอนนี้ผมก็สบายใจแล้วว่า อ้อยกับลูก ๆ มีหนทางหาเลี้ยงชีวิตไม่อดตาย ผมหันกลับไปทางพี่สาวแล้วเปลี่ยนเรื่องพูด
"ว่าแต่พี่ติ๋มตามฉันมานี่ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า"
พี่ติ๋มกำลังนั่งอมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เหมือนมีอะไรดี ๆ บางอย่างอยากจะบอก
"คือข้าหาเมียใหม่ให้เอ็งได้แล้วว่ะ"
เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงปิติยินดี แต่ผมส่ายหน้า โบกมือปฏิเสธอย่างเบื่อหน่ายในความหวังดีของเธอ
"ฉันไม่เอาหรอกพี่..."
"เอ็งไม่ต้องปฏิเสธเลย ข้าคุยกับเถ้าแก่เส็งเขาแล้ว ถ้าครั้งนี้เอ็งปฏิเสธ แล้วไปคว้ายัยข้างถนนที่ไหนมาทำเมียอีก คราวนี้ข้าไม่ยอมแล้วนะโว้ย" พี่ติ๋มยืนกรานหนักแน่น
เจี๊ยบ ลูกสาวเจ้าของร้านขายข้าวสารย่านตลาดบางลำภู ผมจำเธอได้ดี เธอเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของเถ้าแก่เส็ง กับ เจ๊เคง รูปหน้ากลมมน ดวงตาเล็กเรียวยาว แววตาใสซื่อบริสุทธิ์ ผิวขาวผ่องตามลักษณะของคนไทยเชื้อสายจีนทั่วไป กิริยามารยาทก็ดูเรียบร้อยดี
ปกติเถ้าแก่เส็งจะหวงลูกสาวยังกับงูจงอางหวงไข่ หนุ่ม ๆ ในละแวกบ้านจึงไม่มีใครกล้าเข้าไปเกี่ยวพาราสีเธอ เพราะกลัวลูกตะกั่วของเถ้าแก่
แต่ในครั้งนี้น่าแปลกใจ ที่เถ้าแก่เส็งกลับมาถามหาผม และทาบทามจะยกลูกสาวให้ผมเสียเอง อีกทั้งยินยอมไม่เรียกร้องสินสอดทองหมั้นใด ๆ รวมทั้งออกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการแต่งงานให้เกือบทั้งหมด
เถ้าแก่เขาชอบเอ็งมานานแล้ว เขาว่างั้น แล้วอีกอย่างนังเจี๊ยบมันก็ปาเข้าไป 25 แล้ว เขาอยากจะให้มันเป็นฝั่งเป็นฝา ไม่อยากให้ไปลงเอยกับไอ้พวกจิกโก๋ที่มาด่อม ๆ มอง ๆ หน้าบ้านทุกวัน
นั่นคือเหตุผลที่พี่ติ๋มบอกกับผม ผมจนต่อคำพูดจาหว่านล้อมของพี่สาวเพียงคนเดียว จึงต้องยินยอมทำตามใจเธอทุกอย่าง
การแต่งงานระหว่างผมกับเจี๊ยบดำเนินไปอย่างเรียบง่ายตามประเพณีจีนโบราณ ไม่มีงานเลี้ยงฉลองใด ๆ มีญาติผู้ใหญ่สำคัญทางฝ่ายเจี๊ยบมาเพียงไม่กี่คน ส่วนทางฝ่ายผมก็คงมีแต่เพียงพี่ติ๋มเท่านั้น
เจี๊ยบดูเป็นผู้หญิงเรียบร้อยและนิ่งเงียบเสียจนน่าแปลก คืนแรกของการส่งตัวเข้าหอ เธอนอนนิ่งเหมือนท่อนไม้ ปล่อยให้ผมเชยชมเรือนร่างความสาวของเธออย่างไร้อารมณ์ ในเวลานั้นผมไม่คิดอะไรมากไปกว่า เจี๊ยบตื่นเต้นและยังไม่คุ้นเคยกับผม
หลังจากผ่านพ้นช่วงลาหยุดแต่งงาน ผมก็กลับไปทำงานที่ภัตตาคารแห่งเดิมตามปกติ แต่แล้วผมก็พบว่า นวลมิได้ขายขนมอยู่หน้าร้านอาหารแห่งเดิมเสียแล้ว เจ้าของร้านบอกกับผมว่า บ้านเช่าที่เธออาศัยอยู่นั้นถูกไล่ที่อย่างกะทันหัน เธอกับครอบครัวจึงต้องย้ายบ้านไปอยู่ในย่านวงเวียนใหญ่ และคงไปทำมาค้าขายที่นั้น
ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดายเธอ หวนคิดถึงแต่ดวงหน้าอันอ่อนหวานงดงาม และกิริยามารยาทที่เรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ เธอคงจะได้พบกับคนที่ดีกว่าผม และเรา..ก็คงจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก
......................................
จากคุณ :
วังวน
- [
25 ก.ค. 47 17:37:34
]