ตอนที่ 3 นี้ ต้องเรียนแจ้งขออภัยท่านผู้อ่านมาล่วงหน้า
เนื่องจากมีฉากที่อ้อยมาอาละวาดกับเติมศักดิ์และนวลที่ร้านอาหาร
และการที่อ้อยเกิดในเป็นลูกแม่ค้าในตลาดสด อีกทั้งผ่านการศึกษาเล่าเรียนมาน้อย
จึงเป็นไปไม่ได้ว่า อ้อยจะใช้ภาษาในการทะเลาะที่สุภาพ นุ่มนวล
ผู้เขียนจำเป็นจะต้องใช้คำหยาบคาย ที่ค่อนข้างจะรุนแรงมาก
เพื่อความสมจริงของเหตุการณ์ และสิ่งแวดล้อมของตัวละคร
จึงต้องขออภัยผู้อ่านมาล่วงหน้า ณ ที่นี้ด้วย
ความเดิม
เติมศักดิ์แต่งงานกับเจี๊ยบตามที่พี่สาวต้องการ แต่พบว่าเจี๊ยบมีอาการโรคจิต ทำร้ายลูก จึงต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาลโรคจิต ความบังเอิญ ทำให้เติมศักดิ์ได้มีโอกาสมาพบนวลอีกครั้ง แล้วแต่งงานกันในที่สุด
ตอนที่ 1 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2927125/W2927125.html
ตอนที่ 2 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2929976/W2929976.html
ตอนที่ 3
5.................
การแต่งงานกับนวล ทำให้ผมต้องย้ายออกจากที่พักของภัตตาคาร มาเช่าบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่ร่วมกับเธอ นวลช่วยผมทำมาหากินอย่างขยันขันแข็ง หาบขนมเดินขายไปทั่วตลาดวงเวียนใหญ่ (แผงขายขนมเดิมของเธอ ให้น้องสาวไปขายแทน เนื่องจากเป็นแหล่งรายได้สำคัญของบ้านเธอ) รายได้จากการขายขนมของเธอ รวมกับเงินเดือนลูกจ้างอย่างผมแล้ว ก็เพียงพอที่จะดำรงชีวิต และเก็บออมไว้ใช้ยามจำเป็นได้อย่างสบาย
แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกกับผมอีกครั้ง เมื่อภัตตาคารที่ผมทำงานอยู่แห่งนั้นต้องเลิกกิจการ ในขณะที่นวลกำลังท้องแก่และเดินหาบขนมขายไม่ไหว
"อั๊วมันแก่แล้ว เห็นจะทำต่อไปไม่ไหว ลูก ๆ ก็ไม่มีใครจะเอาต่อด้วยสักคน ตอนแรกก็นึกว่าไอ้คนที่มันซื้อตึกเราไปจะทำภัตตาคารต่อ ไหนได้มันดันจะทุบตึกเอาที่ไปสร้างห้างฯ" (Department Store)
เถ้าแก่เจ้าของภัตตาคารพูดอย่างเห็นใจคนตกงานอย่างผม
"ลื้อเป็นคนมีฝีมือ ขยันขันแข็ง คงมีคนอื่นอีกมากที่อยากจะได้ลื้อไปช่วยงาน" เขาคงให้ผมได้เพียงแค่ให้คำพูดปลอบใจ
ช่วงนั้นภาวะเศรษฐกิจของประเทศตกต่ำ ธุรกิจต่าง ๆ ต่างพากันปิดตัวลงมากมาย เป็นเรื่องยากที่จะมีภัตตาคารแห่งใดจะรับพ่อครัวอย่างผมเข้าทำงานได้อีก
ผมย่ำออกเดินหางานไปจนถึงบริเวณที่อยู่เก่าแถบย่านบางลำภู เถ้าแก่เส็งกับเจ๊เคงคงจะแก่ชราลงไปมาก ขายข้าวสารต่อไปอีกไม่ไหว กิจการขายข้าวสารของแกจึงได้เลิกกิจการไปแล้ว รายได้ของแกก็คงจะมีแต่เพียงเงินค่าเช่าหน้าร้านให้คนเขาขายของ และเงินค่าเช่าห้องแบ่งให้เช่าชั้นบน
ส่วนเจี๊ยบยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลต่อไป หมอไม่ให้ความหวังใด ๆ เกี่ยวกับอาการป่วยของเธอ ภาวะการเลี้ยงดูที่เหมือนไข่ในหินมาตั้งแต่เกิด ทำให้จิตใจของเธอเปราะบางเกินกว่าจะยอมรับความจริงอันโหดร้าย จิตใต้สำนึกของเธอจึงปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างรุนแรง
ภาพที่ผมเห็น เมื่อเดินไปถึงบริเวณหน้าบ้านเถ้าแก่เส็ง นั่นก็คือ เด็กหญิงตัวน้อยวัย 4 ขวบเศษ นั่งซึมอยู่ที่ขอบประตูไม้หน้าบ้าน วันนั้นแกสวมเสื้อสีขาวหม่นตัวหลวมโครกไม่สวมกางเกง เนื้อตัวสกปรกมอมแมม ตามแขนขาเต็มไปด้วยตุ่มแผลที่ถูกยุงกัด มีหนองเยิ้มไปทั่ว บัดนี้ ลูกสาวนอกไส้ของผมมีสภาพน่าเวทนาไม่ต่างไปจากเด็กขอทาน ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่า สองสามีภรรยาชราคู่นี้จะมีจิตใจโหดร้ายทอดทิ้งหลานของตัวเอง ให้มีชีวิตไม่ต่างไปจากหมาข้างถนนตัวหนึ่ง
ผมเดินเข้าไปใกล้ ค่อย ๆ ก้มลงแล้วโอบกอดแกไว้อย่างแผ่วเบา แกซบหน้าลงบนบ่าของผมทันที ผมมิอาจจะรู้ได้ว่า ช่วงเวลาสองปีเศษที่ห่างหายกันไป แกยังจำผมได้หรือไม่ แต่อ้อมแขนของผมในตอนนี้ คงจะเป็นสัมผัสที่เป็นมิตรและอบอุ่นกว่าสิ่งที่แกได้รับอยู่ในทุกวันนี้
ผมตัดสินใจอุ้มแกกลับบ้านทันที โดยไม่มีความจำเป็นต้องบอกกล่าวแก่ผู้ใด พวกนั้นคงจะไม่สนใจการอยู่หรือไปของเศษชีวิตอย่างลูกนอกไส้ของผมคนนี้
นวลตกใจมาก เมื่อเห็นผมอุ้มเด็กน้อยผิวคล้ำ รูปร่างแคระแกรน ไม่สวมกางเกง เนื้อตัวสกปรกมอมแมม กลับมาด้วย ขณะนั้นเธอเพิ่งจะคลอดลูกสาวอีกคนให้กับผม ผมค่อย ๆ วางยัยจุ๊บไว้ตรงหน้าเธอ สภาพอันน่าเวทนาของยัยจุ๊บทำให้เธอตกใจมิใช่น้อย
"เอาเด็กที่ไหนมาจ๊ะพี่ ลูกเต้าเหล่าใคร ทำไมสกปรก เป็นแผลเต็มตัวแบบนี้"
เธอพูดไปพลางรีบเดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาชุบน้ำ บิดแล้วเช็ดตัวทำความสะอาดให้หนูน้อย หยิบยาล้างแผลและยาแดงมาแต้มแผลตามผิวหนัง แล้วเธอก็ต้องหันกลับมามองผมอย่างประหลาดใจอีกครั้ง เมื่อผมนั่งก้มหน้านิ่งเงียบไม่ปริปากใด ๆ
"พี่..."
เธอย้ำเรียกผมอีกครั้ง ผมอึดอัด ลำบากใจเหลือเกิน หากจะต้องสาธยายเรื่องราวในอดีตของตัวเอง
"เอ่อ... ลูกพี่เองแหละนวล แม่ของเขาเป็นบ้า ตอนนี้รักษาตัวอยู่โรงพยาบาลโรคจิต เด็กน่าเวทนามาก นวลเลี้ยงเอาไว้อีกสักคนเอาบุญล่ะกันนะจ๊ะ"
ผมพูดออกไปแบบขวานผ่าซาก อย่างมิได้เตรียมคำตอบที่ดีให้กับเธอไว้ล่วงหน้า นวลนิ่งเงียบไปนานเหมือนกับช็อคกับสิ่งที่ได้รับรู้ เธออาจจะช็อคหนักกว่านี้ ถ้าผมขยายความต่อว่า แท้จริงแล้ว แกไม่ใช่ลูกของผม
"อะไรนะ ! นี่พี่เคยมีลูกมีเมียมาก่อนแล้วเหรอ" เธอพูดโพล่งออกมา หลังจากที่นิ่งไปครู่ใหญ่
"จ๊ะ" ผมตอบสั้น ๆ ได้เพียงเท่านั้น แล้วหันกลับไปก้มหน้านิ่ง
"แล้วทำไมพี่ไม่เคยบอกอะไรกับฉันเลย ยังมีอะไรอีกไหม ยังมีอะไรที่พี่ยังไม่บอกฉันอีกหรือเปล่า"
เธอโวยวายเสียงดังออกมาอย่างสับสน ขณะที่ผมเองก็ไม่กล้าพอที่จะพูดถึงเรื่องราวอันเลวร้ายของตัวเองทั้งหมดให้เธอได้รับรู้ในตอนนี้
"มีน้องสาวอีกคน พี่ยกให้พี่ติ๋ม เป็นลูกบุญธรรม" ผมบอกเธอเพียงเท่านั้น แล้วหลบไปนั่งกุมขมับอยู่คนเดียว
นวลนั่งนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่จะลุกไปหยิบชามข้าวต้มกับปลานึ่งมาป้อนใส่ปากยัยจุ๊บ จากนั้นก็เดินหายไปนอกบ้านสักครู่ กลับมาพร้อมด้วยเสื้อผ้าเด็กเล็กในมือสองสามชุด เธอจับยัยจุ๊บถอดเสื้อผ้าขี้ริ้วนั้นออกเช็ดตัวให้แล้วสวมเสื้อผ้าชุดใหม่
ผมเชื่อว่าผมมองเธอไม่ผิด หัวใจของนวลยังมีน้ำใจอีกมากมายที่จะเผื่อแผ่มายังเพื่อนมนุษย์ แม้กระทั่งเศษชีวิตที่ไม่มีใครต้องการอย่างยัยจุ๊บ ยัยจุ๊บมาอยู่กับผมและนวลต้องใช้เวลาเยียวยาอยู่หลายเดือน จากโรคขาดอาหารทำให้แกจะอาเจียนและท้องเสียอยู่ตลอดเวลา แต่นวลก็เฝ้าดูแลใกล้ชิดหาหยูกยามารักษาจนแกหายเป็นปกติ และเริ่มจะเล่นร่าเริงเหมือนเด็กคนอื่น ๆ
.....................................
รายได้ที่ขาดหายไปกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการต้องเลี้ยงดูลูกทั้งสอง ระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน เงินเก็บของเราสองคนก็หมดไป ค่านม ค่าอาหาร ค่าเช่าบ้าน ค่าหยูกค่ายาของลูก รายจ่ายที่ประดังเข้ามาทำเอาเราสองคนแทบจะอับจนหนทาง
แล้ววันหนึ่งนวลก็เดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี จนผมประหลาดใจ เธอนั่งลงข้างผม ซึ่งในมือกำลังป้อนนมลูกสาววัยทารกอยู่
"พี่วันนี้ฉันเดินผ่านหน้าร้านยายปริกขายข้าวแกง แกบอกฉันว่าแกจะเลิกขายแล้ว แก่แล้วอยากจะไปอยู่กับลูกที่บ้านต่างจังหวัด แกถามว่าเราสนใจจะขายต่อแกไหม จะเซ้งแผงให้พร้อมของใช้ทั้งหมด คิดแค่ห้าพัน"
ผมฟังแล้วสะดุ้งเฮือก แม้ว่าเงินจำนวนห้าพันบาทจะไม่แพงสำหรับค่าเครื่องมือเครื่องใช้และค่าโอกาส แต่เงินสดในมือของผมและนวลตอนนี้รวมกันแล้วคงจะไม่ถึงห้าร้อยบาทเป็นแน่
"แล้วเราจะเอาเงินห้าพันที่ไหนไปให้เขาล่ะนวล ตอนนี้เราไม่มีเงินในมือเลยนะ" ผมส่ายหน้าพูดอย่างท้อแท้เหมือนคนสิ้นหวัง
"ก็ทองไงพี่ ตอนแต่งงานพี่เอาทองมาหมั้นฉันสองบาท พ่อกับแม่ให้ฉันมาอีกสองบาท รวมกันไปขายแล้วก็คงพอเป็นค่าเซ้งแผง เงินที่เหลืออีกนิดหน่อยเราก็เก็บไปทำทุน"
ผมนั่งฟังเธอพูดอย่างพินิจพิจารณา นวลเป็นคนสุขุมมีสติแก้ไขสถานการณ์ได้ดีกว่าผม แต่มันก็น่าใจหายเมื่อสมบัติชิ้นสุดท้ายที่พ่อแม่ของเธอให้มาจะต้องมามลายหายไป
"แต่..มันจะดีเหรอนวล ทองนั่นพ่อกับแม่ให้นวลมา ถ้าทำแล้วมันไม่ดีอย่างที่เราคิด มันก็สูญเปล่า"
เธอยิ้มอย่างอบอุ่นแล้วเอื้อมแขนเข้ามาโอบกอดผมไว้
"ของนอกกาย ไม่ตายเราก็หาใหม่ได้นะจ๊ะพี่ แล้วเราก็ต้องมีความเชื่อมั่นที่จะทำให้สำเร็จ ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่า หากเราประหยัด ขยันทำมาหากิน พึ่งพาลำแข้งของตัวเองแบบนี้ เราจะอดตาย"
คำพูดของนวล เป็นเสมือนน้ำทิพย์ชโลมใจ ที่จุดประกายคนสิ้นหวังอย่างผมให้กลับฟื้นมีพลังชีวิต เดินก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่ท้อถอยอีกครั้ง
ผมเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ นำทองไปขาย นำเงินสดไปเซ้งแผงขายข้าวแกงในตึกใหญ่ สถานที่ให้เช่าขายอาหารในย่านตลาด จ้างคนมาเป็นลูกมือทำกับข้าว ช่วงแรก ๆ นวลยังคงต้องอยู่บ้านเลี้ยงดูแลลูกสาววัยทารก แต่เธอก็ไม่หยุดนิ่งที่จะหารายได้พิเศษ โดยการรับทำงานฝีมือที่บ้าน
กิจการขายข้าวแกงของผมดูจะดำเนินไปได้ด้วยดี สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากพี่ติ๋มและเถ้าแก่ภัตตาคารดูเหมือนจะเป็นเครื่องมือในการหาเลี้ยงชีพได้ไปจนตลอดชีวิต แต่ต่อมาไม่นานดูเหมือนผมจะติดปัญหาเกี่ยวกับผู้ช่วยทำกับข้าว ที่ไม่สามารถหาคนที่มีฝีมือทำอาหารพอที่จะช่วยกันทำได้
นวลนำยัยจุ๊บเข้าโรงเรียนอนุบาล และนำยัยนกลูกสาวคนแรกของเธอไปฝากเลี้ยง แล้วมาช่วยงานผมอย่างเต็มที่ ซึ่งขณะนั้นเธอกำลังเริ่มตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง
....................................
แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 47 12:45:29
แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 47 12:36:14
จากคุณ :
วังวน
- [
27 ก.ค. 47 12:10:34
]