CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    Connect (ตอนที่ 2 connector)

    พนาโทรหาเธอเมื่อคืนนี้ บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย แต่ไม่สะดวกคุยทางโทรศัพท์ วันนี้จึงเป็นการนัดเจอกันครั้งแรกในรอบหกเดือนหลังจากที่เลิกเป็นแฟนกัน

    หลังจากที่เปลี่ยนสถานะจากคนรักกลับมาเป็นเพื่อนกันอีกครั้ง พนาโทรหาเธอน้อยลง ส่วนเธอเองก็โทรหาเขาน้อยลงเช่นกัน

    มีเหตุผลสองประการเท่านั้น ที่เขาจะโทรหาเธอ นั่นคือ หนึ่ง วันนั้นเป็นวันเกิดของเธอ พนาไม่เคยลืมวันเกิดของเธอเลยแม้แต่ปีเดียว นับตั้งแต่เริ่มรู้จักกัน คบหาดูใจกันมาจนกระทั่งกลับกลายมาเพื่อนกันอีกครั้งหนึ่ง สอง เขามีเรื่องสำคัญจริง ๆ จะคุยด้วย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เขาอยากจะระบายให้ใครสักคนฟังมากกว่า และคนที่เขาเลือกที่จะระบายให้ฟังก็คือเธอ

    ก็จ้อยจบจิตวิทยามานี่...นั่นคือเหตุผลที่เขายกขึ้นมาเสมอ เมื่อโทรหาเธอ

    ช่วงที่นั่งรอเขาอยู่ในร้านนั้น นงลักษณ์นึกย้อนไปถึงวันที่เธอและเขาพบกันครั้งแรก วันที่พฤกษ์นัดเธอและเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ มาทำรายงานส่งอาจารย์ที่ใต้ถุนตึกคณะ วันนั้นเขาพาเพื่อนผู้ชายมาด้วยคนหนึ่ง

    “ทุกคน นี่เพื่อนเราชื่อพนา เรียนอยู่สื่อสารมวลชน เขาจะมาช่วยเราคิดว่าจะนำเสนองานยังไงให้น่าสนใจ” นั่นคือเหตุผลที่พฤกษ์พาพนามา

    สนทนากันได้เพียงไม่นาน มีบางสิ่งที่ทำให้นงลักษณ์คิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนที่น่าสนใจไม่น้อย ทั้งวิธีคิดและวิธีการพูดของเขา หลังจากนั้นพวกเขาก็คบหาเป็นเพื่อนกันเรื่อยมา

    การได้พูดคุยกับเขาทำให้เธอรู้สึกดี และมีความสุขใจเป็นพิเศษแตกต่างกับคนอื่น ๆ คบหาเป็นเพื่อนกันมาเกือบปีหนึ่ง จู่ ๆ วันหนึ่งเขาก็บอกกับเธอว่าเธอเป็นคนที่เวลาเขาอยู่ใกล้ ๆ และพูดคุยด้วยแล้วรู้สึกดีเป็นพิเศษ

    จ้อยดีใจนะที่เราสองคนคิดตรงกัน..วันนั้นเธอบอกเขาไปอย่างนั้น นับตั้งแต่นั้นมา เธอและเขาก็เริ่มคบหาเป็นแฟนกัน

    หลังเรียนจบพนาตัดสินใจมาทำงานที่กรุงเทพฯ พฤกษ์เลือกจะทำงานเกี่ยวกับการดูแล เพาะพันธุ์ต้นไม้อยู่ที่เชียงราย ในขณะที่เธอตัดสินใจสอบเรียนปริญญาโทต่อที่กรุงเทพฯ ทำให้เขาและเธอไม่ห่างเหินกันมากนักในช่วงแรก

    เธอเลือกเรียนต่อจิตวิทยาด้วยเหตุผลที่เธอบอกพนาและพฤกษ์ว่า หลังจากที่รู้จักโครงสร้างและระบบการทำงานต่าง ๆ ของพืช สัตว์และคนมาพอสมควรแล้ว เธออยากเรียนรู้จิตใจและความคิดภายในของคนเพิ่มมากขึ้น

    สองปีแรกที่พนาทำงานและเธอเรียนอยู่ ทั้งสองมีโอกาสนัดพบเจอกันบ้างอาทิตย์ละครั้งหรือสองครั้ง ตามเวลาที่เขาและเธอว่าง แต่หลังจากที่เธอเรียนจบและเริ่มทำงานเป็นที่ปรึกษาทางจิตวิทยา ทั้งสองก็มีเวลาว่างตรงกันน้อยลง

    เข้าสู่ปีที่สี่ที่อยู่ในกรุงเทพฯ หลังจากที่พยายามปรับตัวเข้าหากันอยู่นาน และต่างฝ่ายต่างเริ่มเรียกร้องเวลาระหว่างกันและกันมากขึ้น ในที่สุดพนาและเธอก็ตัดสินใจ กลับมาเป็นเพื่อนกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพื่อเปิดโอกาสให้แต่ละคนได้พบคนใหม่ที่อาจจะมีเวลาให้เขาและเธอมากกว่าที่เขาและเธอมีให้แก่กัน

    แต่เกือบปีแล้วที่ทั้งคู่ ยังไม่เคยคิดมีคนใหม่...เธอยังรักพนาอยู่หรือเปล่านะ..ไม่รู้สิ นงลักษณ์ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน รู้เพียงแต่ว่าความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมีให้กับพนา กับความทรงจำในช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันแม้เวลาจะผ่านไปหลายเดือนไม่ได้ทำให้มันลดน้อยหายลงไปเลย

    เธอยังคงแอบดีใจอยู่ลึก ๆ ทุกครั้งที่เขาโทรหาเธอ แม้มันจะเป็นการโทรมาเพื่อระบายความอัดอั้นภายในใจก็ตาม
    ..........................................................................
    เขามาช้าเกือบครึ่งชั่วโมง บอกขอโทษขอโพยเธอ ด้วยเหตุผลที่ว่าวันนี้ต้องไปทำข่าวไกลถึงย่านรังสิต ช่วงกลับเข้ามาในเมืองจึงต้องผจญกับรถติด เพราะเป็นเวลาเลิกงานของคนอื่น ๆ พอดี พนายังดูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย เรื่องงานเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งเสมอ น่าแปลกที่ช่วงแรกเธอไม่เคยเข้าใจเลยว่าเพราะอะไรงานถึงสำคัญกับเขาขนาดนั้น จนกระทั่งเธอเริ่มทำงานเอง ไม่น่าเชื่อว่านิสัยเรื่องงานเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งเสมอของเขาจะติดมาอยู่กับตัวเธอด้วย

    นงลักษณ์รอจังหวะให้เขาได้พักเหนื่อยและสั่งน้ำ สั่งอาหารเสร็จก่อน จึงเริ่มเอ่ยถาม

    “นา มีอะไรเหรอ”

    เขาดื่มน้ำเข้าไปอึกใหญ่ก่อนจะเริ่มเข้าเรื่อง

    พนาเล่าให้นงลักษณ์ฟังถึงความรับผิดชอบใหม่ที่เขากำลังทำอยู่ เล่าให้เธอฟังถึงเรื่องประหลาดที่เขาเจอ และข้อสังเกตเกี่ยวผู้ชายคนนั้นของเขาให้เธอฟัง นงลักษณ์นั่งฟังอย่างตั้งใจ...เป็นเรื่องที่น่าสนใจเลยทีเดียว ถ้าสมมติว่าชายคนนั้นเป็นที่มีพลังพิเศษจริง ๆ...

    “จ้อย มีความเป็นไปได้มากน้อยขนาดไหนที่คนเราจะสามารถถ่ายโอนความเจ็บปวดจากคนหนึ่งมายังอีกคนหนึ่ง” เขาตั้งคำถามทันทีหลังจากที่เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เธอฟังเสร็จแล้ว

    พนักงานยกอาหารที่นงลักษณ์สั่งมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ทำให้จังหวะในการสนทนาหยุดลงไปชั่วขณะนงลักษณ์ใช้ช่วงเวลาขณะนั้น ประมวลความเป็นไปได้ในความคิดของเธอทันที ใช้เวลาพอสมควรก่อนที่นงลักษณ์จะเอ่ยคำพูดออกมา

    “นาจำเรื่องโครงสร้างพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ที่เคยช่วยพวกเราทำพรีเซ็นเตชั่นรายงาน สมัยที่เรียนชีวะกันได้หรือเปล่า”

    จากนั้นนงลักษณ์เริ่มเท้าความให้เขาฟังถึงโครงสร้างพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตอีกครั้งหนึ่งว่า โครงสร้างพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ประกอบไปด้วยเซลล์ เซลล์แต่ละเซลล์จะมีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันไป และมีบทบาทหน้าที่แตกต่างกันไปด้วย อย่างไรก็ตามแม้จะแตกต่างกันในลักษณะรูปร่างและบทบาทแต่เซลล์ต่าง ๆ ล้วนมีองค์ประกอบคล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเป็นเยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาสซึมหรือนิวเคลียส นอกจากนี้ถ้านำสิ่งมีชีวิตมาศึกษาส่วนประกอบทางเคมีจะพบว่าประกอบไปด้วยธาตุ และสารประกอบต่าง ๆ มากมายหลายชนิด ปริมาณมากน้อยแตกต่างกันไปด้วย

    “เดี๋ยว ๆ แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องของเรายังไง” เขาเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน ด้วยกลัวว่าเธอจะตั้งท่าแลคเชอร์ให้เขาฟังวิชาพื้นฐานทางชีววิทยา มากกว่าจะพยายามตอบคำถามของเขา

    “ก็กำลังจะเข้าเรื่องอยู่นี่ไง เรื่องสำคัญก็คือถ้าเราแบ่ง ธาตุหรือสารประกอบต่าง ๆ เหล่านี้เป็นส่วนเล็ก ๆ ให้เล็กลงไปมาก ๆ เราจะได้หน่วยเล็ก ๆ ที่เกือบเล็กที่สุดที่เขาเรียกกันว่า “อะตอม”

    ในอะตอมแต่ละอะตอมถ้าแบ่งให้เป็นส่วนย่อยลงไปอีก จะประกอบด้วยอนุภาคต่าง ๆ อีกสามอย่างคือ โปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน

    เดี๋ยวนะอย่าเพิ่งเบื่อนะ คราวนี้จ้อยสัญญาว่าจะเข้าเรื่องจริงๆ แล้วหละ เพราะสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ก็คือผลรวมของเซลล์ต่าง ๆ ที่เกาะกลุ่มรวมตัวกัน และเซลล์แต่ละเซลล์มีอนุภาคต่าง ๆ สามอนุภาคเป็นส่วนประกอบนี่เอง เมื่อมารวมตัวกันจึงมีปฏิกิริยาเคมีหรือมีการถ่ายโอนประจุระหว่างกันเกิดขึ้น ความเจ็บปวดที่นาพูดถึงก็ถือว่าเป็นผลพวงมาจากปฏิกิริยาเคมีในสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งเหมือนกัน

    อย่างกรณีความเจ็บปวดในร่างกายของคน จะมีเซลล์ประสาทรับความรู้สึกที่จะแปลงการรับสัมผัสจากการกระตุ้นจากสิ่งเร้าต่าง ๆ ให้เป็นปฏิกิริยาเคมี ถ่ายโอนกประจุหรือกระแสประสาทจากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่ง ผ่านตัวส่งผ่าน และตัวรับ”

    นงลักษณ์หยิบกระดาษและปากกาขึ้นมาวาดรูปให้พนาดู ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เธอกำลังพูดให้เขาฟัง

    “และในส่วนของสิ่งมีชีวิตที่เป็นพืช ก็มีปฏิกิริยาเคมีในการแลกเปลี่ยนประจุดังกล่าวเกิดขึ้นเช่นกัน”

    “จ้อย กำลังจะพยายามบอกเราว่า...”

    “จ้อยพยายามจะอธิบายไปถึงเรื่อง ความเจ็บปวดที่ถ่ายโอนไปให้กับต้นไม้ด้วยนะ สมมตินะ นา ถ้าเราสมมติให้โลก หรือจักรวาลเป็นหน่วยในการวิเคราะห์ เมื่อเทียบกับกรณีข้างต้นสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ทั้งที่เป็นคน เป็นสัตว์ หรือเป็นพืช ก็เปรียบเหมือนเป็นเซลล์ เซลล์หนึ่งของโลก และถ้าสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ มีสถานะเป็นเซลล์เซลล์หนึ่งจึงมีความเป็นไปได้ที่ว่า มันจะเกิดมีปฏิกิริยาเคมีหรือการถ่ายโอนแลกเปลี่ยนประจุระหว่างกัน และถ้าจะให้พูดถึงผู้ชายคนนั้นหรือนาย ก.ที่นาเล่าให้ฟังนั้น ถ้าสมมติฐานนี้เป็นจริง เราก็พอจะระบุความสามารถหรือบทบาทของเขาในปฏิกิริยานี้ได้ชัดเจนมากขึ้น....”

    นงลักษณ์หยุดคำพูดไว้ช่วงขณะหนึ่ง เหมือนลังเลที่จะตอบออกมา

    “...ใช่ เขามีบทบาทเป็นตัวเชื่อมระหว่างเซลล์ต่าง ๆ ของโลก...”
    ..........................................................................
    นงลักษณ์เริ่มให้สมมติฐานเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ชายคนนั้นให้เขาฟังมากขึ้น เธอคิดว่าการที่เขาเดินเข้าไปทำท่าเหมือนสำรวจตรวจค้นอะไรบางอย่างจากผู้เคราะห์ร้ายในขณะที่เกิดเหตุนั้น เขาอาจจะกำลังหาจุดเชื่อมต่อระหว่างเขากับคนเจ็บคนนั้น เพื่อให้มีการถ่ายโอนความเจ็บปวดนั้น

    ในกรณีดังกล่าวการที่จะถ่ายโอนความเจ็บปวดจากจุดต่าง ๆ มาไว้ที่เขาเพียงจุดเดียวได้นั้น หมายความว่าเขาจะต้องมีความสามารถในการเหนี่ยวนำหรือดูดความรู้สึกเข้ามาเก็บไว้ในตัวเขาด้วย และจากพฤติกรรมช่วงหลังที่สวนสาธารณะนั้นสะท้อนให้เห็นว่าตัวเขาเองก็มีศักยภาพที่จำกัดในการรองรับความเจ็บปวดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เขาจึงจำเป็นต้องสะท้อนหรือคายความเจ็บปวดนั้นออกมาสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก ซึ่งสิ่งที่เขาเลือกก็คือต้นไม้ในสวนสาธารณะ และท้ายที่สุดเมื่อต้นไม้รองรับความเจ็บปวดนั้นไม่ไหว ต้นไม้จึงสะท้อนความรู้สึกนั้นออกมาให้กับอากาศโดยรอบ

    ดูเหมือนว่านงลักษณ์จะให้ความชัดเจนต่อข้อสงสัยของเขามากทีเดียว

    “สิ่งมีชีวิต จะพยายามรักษาสมดุลให้กับตนเองเสมอ” นงลักษณ์บอกกับเขา

    พนานิ่งไป แม้จะได้รายละเอียดและความเป็นไปได้เกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นมากขึ้น แต่เขาก็ยังจนความคิดอยู่ว่า สุดท้ายแล้วเขาจะเริ่มเสาะหาผู้ชายคนนั้นจากที่ไหนก่อน นงลักษณ์สังเกตอาการนี้ได้ ในระหว่างที่ทานอาหาร เธอจึงเริ่มเป็นฝ่ายเอ่ยถามเขาก่อนบ้าง

    “นา มีคำถามอะไรอยู่ในใจอีกเหรอ ดูเหมือนนายังกังวลอะไรบางอย่างอยู่”

    “สุดท้ายแล้วเราก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มหาผู้ชายคนนั้นจากที่ไหนก่อนอยู่ดี”

    นงลักษณ์ยิ้ม เมื่อรับรู้ถึงความกังวลของเขา

    “จ้อยไม่รู้ว่า จริง ๆ แล้วนาจำเป็นต้องค้นหาผู้ชายคนนั้นให้เจอหรือเปล่านะ แต่ถ้านาอยากจะหาผู้ชายคนนั้นให้เจอจริง ๆ นาลองไปเริ่มที่นี่ดูก่อนแล้วกัน”

    เธอพูดพร้อมหยิบกระดาษขนาดเท่านามบัตรส่งมาให้เขา เมื่อรับมาแล้วจึงรู้ว่าสิ่งที่นงลักษณ์ส่งให้เป็นนามบัตรจริง ๆ ในนั้นมีข้อความระบุว่า

    พจนารท อินทราฤทธิ์ (ผู้จัดการ)
    สมาคมพัฒนาศักยภาพมนุษย์เพื่อชีวิตเป็นสุข
    แขวง XXXXX เขต XXXXXX กรุงเทพมหานคร
    โทร.02-XXX-XXXX มือถือ 0X-XXX-XXXX

    “มื้อนี้นาเลี้ยงจ้อยแล้วกันนะ แล้วถ้าได้เรื่องถือว่าคราวหน้านาติดข้าวจ้อยอีกหนึ่งมื้อก็แล้วกัน” นงลักษณ์ยิ้มอีกครั้งหนึ่งหลังพูดจบ

    จากคุณ : พายุ - [ 27 ก.ค. 47 14:37:26 A:172.16.23.26 X:203.121.160.186 ]