CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    สัมผัสแห่งรักแท้...และรักนิรันดร์ ตอนที่ 4 (จบ)

    ก่อนอื่นต้องขออภัยท่านผู้อ่าน  ที่ตอนสุดท้ายนี้ออกช้าไปหน่อย  
    ด้วยเหตุที่สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ  งานยุ่งมากค่ะ
    ประกอบกับตอนที่สุดท้ายนี้  ตัวละครเอกเติมศักดิ์  ดำเนินชีวิตมาถึงวัยที่สูงวัยกว่าผู้เขียน  
    ซึ่งถือว่าค่อนข้างจะเขียนยาก  สำหรับคนหัดเขียน  ใช้สมาธิและความพยายามอยู่หลายวัน  
    ก็พอจะเขียนออกมาได้แบบนี้นะคะ  ยังไงก็รอรับฟังคำแนะนำจากผู้อ่านทุกท่าน  
    เพื่อผู้เขียนจะนำไปปรับปรุงงานเขียนเช่นเคยค่ะ

    ความเดิม
    เติมศักดิ์นำจุ๊บลูกสาวของเจี๊ยบที่เกิดจากการถูกข่มขืน  
    มาให้นวลเลี้ยงดูแทนตายายที่ทอดทิ้งไม่เอาใจใส่เด็ก
    อ้อยมาอาละวาดที่ร้านขายอาหารของเติมศักดิ์  
    ทำให้ต้อยลูกสาวนอกไส้อีกคนรู้ที่อยู่พ่อ  และมาหา

    ตอนที่ 1  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2927125/W2927125.html
    ตอนที่ 2  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2929976/W2929976.html
    ตอนที่ 3  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2932723/W2932723.html

    ตอนที่ 4

    7.............

    วันเวลาล่วงเลยผ่านไป  กิจการค้าขายข้าวแกงของผมดำเนินไปได้ด้วยดี  นวลมีลูกสาวให้ผมทั้งหมด 4 คน  และลูกชายปิดท้ายเป็นคนสุดท้อง  เธอจึงยินยอมทำหมันไม่ต้องการที่จะมีลูกอีก  ช่วงนั้นยัยจุ๊บเรียนจบชั้นประถมหกแล้ว  จึงเรียนต่อศึกษาผู้ใหญ่ภาคค่ำ  เพื่อเอาเวลาตอนกลางวันมาช่วยงานผมได้อย่างเต็มที่   ส่วนนวลนั้น จำเป็นต้องอยู่บ้านดูแลลูก ๆ ที่ยังเล็ก  แต่เธอก็ยังไม่หยุดนิ่ง  ทำขนมไปฝากขายตามร้านค้าหารายได้เพิ่มเติม   บางวันผมขายดีมากนวลก็จะหอบเอาลูก ๆ มาช่วยงานผมที่ร้าน  

    แล้ววันหนึ่งก็มีชายหนุ่มลักษณะคล้ายคนไทยเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว  เดินเข้ามาภายในร้าน

    "สวัสดีครับ  เชิญนั่งก่อนสิครับ  ทานอะไรดีครับ"  

    ผมกล่าวทักทายเขา เชื้อเชิญให้นั่ง   แล้วรีบหยิบผ้าขี้ริ้วเดินไปเช็ดโต๊ะ   แต่เขากลับหยุดยืนมองผมอยู่นาน  จนผมแปลกใจ    ข้างหลังเขามีหญิงสาวเดินตามเข้ามา  ในมือของเธออุ้มเด็กชายวัยขวบเศษเอาไว้    ชายหนุ่มคนนั้นมองผมอยู่ครู่ใหญ่  แววตาที่เปล่งประกายแวววาวคู่นั้นเหมือนมีอะไรหลาย ๆ อย่างซ่อนอยู่   แล้วเขาก็ยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม

    "พ่อ...  ผมต่อเองครับ  ต่อลูกชายคนโตของพ่อไงครับ"  

    คำพูดแนะนำตัวของเขา  ทำให้เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวผมหยุดนิ่งอยู่กับที่  ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า  มันคือความจริงหรือความฝันกันแน่

    "พ่อครับ  ตอนนี้ป้าติ๋มกำลังป่วยหนัก  บอกให้ผมมาตามพ่อไปพบ"

    เขาพูดถึงจุดประสงค์ของเขาที่มาหาผมในวันนี้  ทำให้ผมได้สติ  เพ่งมองพินิจพิจารณาเขาอย่างละเอียดอีกครั้ง

    เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนโกหก   ผมกับอ้อยแยกทางกันมานานถึง 22 ปีแล้ว  บัดนี้ ตาต่อลูกคนเดียวของผมกับเธอ  มีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์  รูปร่างหน้าตาเขาตอนนี้เหมือนผมสมัยยังหนุ่มวัยเดียวกับเขาไม่มีผิด  ตัวสูงโปร่ง ผิวขาว  รูปหน้ายาวคมเข้ม

    บรรยากาศของความรู้สึกที่ได้พบกับลูกชายในสายเลือด  ผู้ที่เติบโตขึ้นมาโดยปราศจากการดูแลอบรมของคนที่เขาเรียกว่าพ่ออย่างผม  มันทั้งน่าละอายและปลาบปลื้มใจเพียงใด  วันนี้เขาเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่งดงามเพียบพร้อม  สมดังความปรารถนาของคนที่เป็นพ่อแม่    เห็นภาพของเขาแล้ว  อดที่จะรู้สึกชื่นชมอ้อยมิได้  ที่สามารถเลี้ยงดูลูกโดยลำพัง  ให้เติบโตขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์เช่นนี้

    นวลวางเจ้านิค  ลูกชายคนเล็กขวบครึ่งลงกับพื้น  แล้วเดินเข้ามาใกล้  คงเพราะสังเกตเห็นผมนิ่งเงียบไปนาน

    "สวัสดีครับ  แม่นวล"   เขายกมือไหว้นวลอย่างสุภาพอ่อนน้อม

    "เอ่อ..พ่อครับ นี่แพรวเมียผม  แล้วนี่เจ้าแพนลูกชายผมครับ"    

    แล้วเขาก็แนะนำหญิงสาวกับเจ้าหนูที่มาด้วยกัน   ขณะที่เธอวางลูกลงข้าง ๆ แล้วยกมือขึ้นไหว้   เด็กชายตัวน้อยคนนั้นเดินเตาะแตะเข้าไปหาเจ้านิค  ส่งเสียงเจื้อยแจ้วโต้ตอบกันตามภาษาของวัยไร้เดียงสา

    มันน่าตลกไหม  คุณว่า  ในบรรดาลูก ๆ ทั้งหมดของผม  ผมมีลูกชายในสายเลือดอยู่เพียงสองคน   ก็คือ  ตาต่อลูกชายหัวปลีคนนี้กับอ้อย   แล้วปิดท้ายด้วยเจ้านิคลูกชายคนเล็กกับนวล   แล้วที่ตลกไปกว่านั้น  ก็เห็นจะเป็นที่หลานชายคนแรกของผม  อยู่ในวัยเดียวกับลูกชายคนเล็ก

    ผมค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเขา  แล้วเอื้อมแขนเข้าไปโอบกอดเขาไว้อย่างแผ่วเบา

    "พ่อดีใจนะ  ที่พบลูกในวันนี้"   ความปลาบปลื้มใจในเวลานั้น  ทำให้ผมคิดและพูดออกไปได้เพียงเท่านั้นจริง ๆ

    "ผมก็ดีใจ  ที่ได้พบพ่อครับ"    ผมแน่ใจว่า  ได้ยินเสียงนั้นปนสะอื้น  ที่กลั่นออกมาจากหัวใจของเขา

    ......................................

    ปกติแล้ว  หากไม่มีเหตุสำคัญ  พี่ติ๋มคงจะไม่ให้คนมาตามผมไปพบเช่นนี้    เธอป่วยหนักเป็นมะเร็งปากมดลูกมาหลายปีแล้ว  ผมเคยไปเยี่ยมเยียนเธอมาบ้าง  แต่ช่วงหลัง ๆ มาตั้งแต่นวลคลอดตานิค   จึงไม่มีเวลามาช่วยงานผม  ผมก็มัวแต่ยุ่งกับการทำมาหากิน  จนละเลยไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนเธอมานาน  

    วันนั้นผมกับนวลจึงตามตาต่อไปพบเธอที่โรงพยาบาลทันที  ซึ่งในเวลานั้นอาการของเธออยู่ในช่วงระยะสุดท้ายเสียแล้ว   พี่ติสามีของเธอป่วยเป็นโรคเบาหวาน  จนขาทั้งสองข้างไม่สามารถเดินได้มาหลายปีแล้ว    กำลังนั่งอยู่บนรถเข็นหน้าห้องไอซียู   ส่วนใบเตยหลานสาวที่อ่อนกว่าผมเพียงเก้าปี  ลูกสาวคนเดียวของพวกเขากำลังนั่งร้องไห้ระงมอยู่หน้าห้อง

    เด็กสาวรูปร่างสันทัด  เดินซึมเข้ามาหาผม  เธอคือจิ๊บลูกสาวอีกคนของผมที่เกิดจากเจี๊ยบ    บัดนี้  เธอเติบโตขึ้นเป็นสาวสะพรั่ง ผิวขาวผ่อง  รูปร่างหน้าตาลักษณะคล้ายกับเจี๊ยบมาก   ที่ผ่านมาทุกครั้งที่ผมไปเยี่ยมเยียนพี่สาว  ไม่ค่อยจะมีโอกาสได้พบกับเธอนัก  เธอกำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยของรัฐฯ แห่งหนึ่ง  และพักอาศัยอยู่ที่หอพักของทางมหาวิทยาลัย   เธอคงจะล่วงรู้ถึงชาติกำเนิดของตนเอง  แต่สายใยแห่งความผูกพันระหว่างผมกับเธอ  มันแทบจะขาดสะบั้นลงไปนานแล้วนับตั้งแต่วันที่ผมส่งมอบเธอให้กับพี่ติ๋ม  เธอก้มหน้าลงไหว้ผม  ขณะที่ผมโอบกอดศีรษะของเธอไว้อย่างแผ่วเบา

    นวลนั่งลงข้างกายใบเตย  แล้วโอบกอดปลอบประโลมเธอ  ขณะที่ผมไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า  แล้วเดินเข้าไปในห้อง

    สภาพอันน่าเวทนาของพี่สาวคนเดียวของผมในเวลานี้   ไม่ต่างอะไรไปจากซากศพที่ยังคงหายใจด้วยเครื่องช่วยชีวิต   สายน้ำเกลือระโยงระยางที่ปักไว้ตามร่างกายเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงให้ร่างนั้นยังคงรอผมอยู่

    ผมค่อย ๆ เอื้อมมือเข้าไปเกาะกุมฝ่ามือของเธอ   สัมผัสอันอบอุ่นระหว่างสายสัมพันธ์ของเราสองพี่น้องที่ถ่ายทอดถึงกัน  ทำให้ริมฝีปากที่แห้งเหือดซีดเซียวนั้น  ค่อย ๆ เปล่งรอยยิ้มบาง ๆ ออกมา  ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายของเธอจะสิ้นสุดลง

    ช่วงชีวิตของคนเรานั้นแสนจะสั้น  ทุกคนเกิดมาต่างพยายามดิ้นรนไขว่คว้าหาแสงสว่างให้กับชีวิต   จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่า  หนทางแห่งแสงสว่างที่จะสาดส่องมาถึงเรานั้น   คือเราต้องจุดไฟขึ้นมาด้วยตัวของเราเอง

    พี่ติ๋มญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวของผม  ลาจากโลกนี้ไปเสียแล้ว  ส่วนผมยังคงต้องอยู่เผชิญหน้ากับโชคชะตาชีวิตที่เหลือต่อไป

    ...................................

    วันงานศพพี่ติ๋ม  ผมกับนวลพาลูก ๆ ทุกคนรวมทั้งยัยจุ๊บ  ไปช่วยงานศพกันอย่างเต็มที่   วันนั้นผมจำได้ว่า  เป็นวันแรกที่ผมได้เผชิญหน้ากับบรรดาลูกในไส้  และลูกนอกไส้ทุกคนอย่างพร้อมเพรียง   ช่างมากมายเหลือคณาจนผมไม่อยากจะไปนับมัน

    ภาพที่ผมเห็นในวันนั้น  ตาต่อลูกโดยสายเลือดคนเดียวของผมที่เกิดจากอ้อย  วางตัวเปรียบเสมือนพ่อคนที่สอง   อันเป็นที่เคารพยำเกรงของน้อง ๆ   เขาบอกทุกคนให้เข้ามาไหว้ผม

    ยัยต้อยเดินเข้ามาหาผมเป็นคนแรก  ยกมือขึ้นไหว้แล้วเข้ามากอดผมไว้อย่างสนิทสนม  ขณะที่ผมลูบไล้ศีรษะของเธออย่างเอ็นดู  ความทรงจำอันงดงามในวัยเยาว์ของเธอเกี่ยวกับตัวผม  ทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างเราพ่อลูกแนบสนิทดั่งสายเลือดเดียวกัน  ขณะที่น้องอีกสองคนของเธอมิได้รู้สึกเช่นนั้น

    "เป็นไงบ้างลูก"   ผมทักทายเธอ   แล้วเหลือบมองไปเห็นเจ้าลูกชายหัวแดงกับลูกสาวนอกไส้อีกคน  ที่ยกมือขึ้นไหว้ผมอย่างเสียไม่ได้

    ต้อยยิ้มแย้มแล้วพูดกับผมอย่างอารมณ์ดี  เธอเรียนจบระดับ ปวส. มาหลายปีแล้ว  และได้เข้าทำงานในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง  หน้าที่การงานกำลังก้าวหน้าไปด้วยดี

    "ก็ยุ่งกับงานแหละพ่อ  เขาใช้ต้อยจนคุ้ม  ช่วงนี้ก็เลยไม่ว่างไปเยี่ยมพ่อเลย"  

    นับตั้งแต่เธอมาหาผมครั้งแรกที่ร้านอาหารในวันนั้นแล้ว    เธอก็มักจะวนเวียนไปเยี่ยมเยียนผมอยู่บ่อย ๆ  บางครั้งก็จะมาขอเงินผมไปใช้สำหรับการเรียนบ้าง

    "แล้วแม่เราล่ะไม่มาหรือ"  ผมถามถึงอ้อย  ทั้ง ๆ ที่ใจจริงไม่ต้องการจะพบหน้าเธอนัก

    "โอ้ย..  แม่เขาไม่มาหรอก  เอ่อนี่  แม่ฝากมาบอกพ่อด้วยนะว่า  อย่าว่าแต่ป้าติ๋มตายเลย  ถึงพ่อตายเอง  แม่ก็ไม่มาเผาผี"  เจ้าลูกสาวนอกไส้คนเล็ก  พูดเสียงแจ๋นออกมาเป็นชุด ๆ

    "อ้อ !"  ตาต่อเอ็ดใส่แกทันที  

    ลูกสาวนอกไส้คนนี้  เติบโตขึ้นมาแล้ว  มีรูปร่างหน้าตารวมทั้งบุคลิกลักษณะคล้ายกับอ้อยมาก  ผิวขาวผ่อง ตัวสูงโปร่ง เส้นผมสีดำขลับยักศกเล็กน้อย  เธออยู่ในชุดเสื้อรัดรูปสีดำและกางเกงขาสั้นกุด  ผมเพ่งมองไปที่โคนขาอันนวลเนียนของเธออย่างขัดหูขัดตา

    "มางานศพ  ทำไมใส่สั้นนักล่ะลูก"  ผมอดที่จะพูดจาตำหนิเธอมิได้  เธอสวนผมกลับมาในทันที

    "โอ้ย...พ่อสมัยนี้แล้ว  จะให้ฉันใส่แบบแม่นวล ก็เชยแย่สิพ่อ"   เธอพูดจบก็จีบปากจีบคอ  ทำลอยหน้าลอยตาไปมา

    ผมหันกลับไปมองเจ้าลูกชายหัวแดง  คนที่เปรียบเสมือนเป็นเส้นยาแดงที่ทำให้ผมตัดสินใจแยกทางเด็ดขาดกับอ้อย  บัดนี้เขาเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มสูงใหญ่  หน้าตาคมคาย   หล่อเหลาตามแบบค่านิยมดาราลูกครึ่งสมัยใหม่   ติดอยู่ตรงที่ว่า เส้นผมสีทองปนน้ำตาลนั้นที่ยาวสยายปะบ่า  

    "เป็นผู้ชาย  ทำไมไว้ผมยาวล่ะลูก"  

    ผมทักเขาไปตรง ๆ   แต่เขากลับหัวเราะชอบใจ  มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง  มืออีกข้างยกขึ้นเสยผมสีทองที่ยาวสลวยนั้นอย่างภูมิใจ

    "ก็คนมันชอบล้อนักนี่พ่อว่า  ไอ้หัวแดง ลูกแหกคอก ฝรั่งหลงก๊ก ไอ้ลูกชู้  ฉันก็เลยไว้ผมยาวให้พวกมันมองชัด ๆ สะเลย   พวกมันจะได้ล้อกันให้มันถนัดปาก"

    ผมฟังแล้วสะดุ้งเฮือก  ชาติกำเนิดที่ผิดแผกแปลกไปของเขา  ซึ่งแสดงออกมาทางร่างกายภายนอกอย่างชัดเจนเช่นนี้  คงจะสร้างบาดแผลลึกในใจมาตั้งแต่เขาเริ่มจำความได้  คิดแล้วน่าเวทนาสิ่งที่ผู้ใหญ่เป็นผู้ก่อ  และโยนบาปกรรมให้เด็กอย่างเขาต้องมารับเคราะห์

    "ไปตัดเสียเถิดลูก  จะได้ดูเรียบร้อยเป็นสุภาพชน"  

    ผมพูดตักเตือนไปตามที่คิด  ด้วยความรู้สึกเห็นใจในเคราะห์กรรมที่เขาต้องทนแบกรับ    แต่เขากลับชำเลืองมองผมด้วยหางตา  ก่อนที่จะพูดสวนกลับมาอย่างประชดประชัน

    "เกิดมาไม่เคยจะมีใครรับเป็นพ่อ  พอเจอกันหน่อยทำเป็นมาสั่งมาสอน"  

    "ไอ้หรั่ง !  ปากหมานะมืง  ระวังกุจะแตะปากมืงให้ปากแตก"  ตาต่อดุเสียงดังใส่เขาทันที  

    ใจจริงแล้ว  ผมไม่เคยคิดจะโกรธเคืองวาจาสามหาวของลูกนอกไส้ทั้งสองคนนี้เลยแม้แต่น้อย  เคราะห์กรรมจากชาติกำเนิดที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ก่อ   การประณามหยามเหยียดของสังคมรอบข้าง  คงจะทำลายล้างจิตใจอันดีงามของพวกเขาไปจนหมดสิ้น

    คนเราเลือกเกิดไม่ได้  แต่มีสิทธิที่จะเลือกใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า  วันหนึ่งพวกเขาจะต้องเติบโต  แล้วก้าวออกไปจากสังคมของวัยแรกเริ่มชีวิตอันโหดร้าย    แล้วก้าวเดินต่อไปข้างหน้าเพื่อค้นหาสิ่งดีงามที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้ให้กับตัวเอง
    ....................................................

    แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 47 17:49:30

    แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 47 01:09:24

    แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 47 15:32:47

    จากคุณ : วังวน - [ วันเข้าพรรษา 15:27:30 ]