CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    =[+] ฉิกจับอิด [+]= นิยายจีนร่วมแต่งแนวทดลอง : ตอนที่ 56 ก่อนรุ่งสาง (จบ)

    เอ่อ นักอ่านท่านใดยังไม่ได้อ่านตอนที่ลงเพิ่มในวันจันทร์โปรดกลับไปอ่านในกระทู้งเดิมตามลิงค์ข้างล่างก่อนนะครับ เดี๋ยวจะงงครับ

    -----------------------------------------------------------------------------------------
    สถานการณ์พลิกไปแล้ว

    พลพรรรคที่เกี่ยมฮุ้นซ่องสุมมาเนิ่นนานตั้งใจจะนำพาทำงานสำคัญในยามคับขัน บัดนี้กลับแว้งกัดมันเอง!!!

    “ระ... หรือว่าพวกเจ้าล้วนถูกหลี่เฉินเชียงซื้อตัวแล้ว” เกี่ยมฮุ้นครางอย่างผิดหวัง เมื่อมองเห็นความหายนะมาถึงตน

    ลูกน้องมันผู้หนึ่งเดินออกมาประสานมือคารวะหลี่เฉินเชียงเป็นเชิงขออนุญาต จากนั้นหันไปทางเกี่ยมฮุ้น พูดแทนทุกคนว่า “ผู้คุมกฎเข้าใจผิดแล้วพวกเราหาเคยถูกซื้อไม่ แท้จริงพวกเราล้วนเป็นคนของประมุขหลี่แต่แรก นี่เป็นแผนของกุนซือซุนเพราะหวาดระแวงท่านจึงใช้ให้พวกเรามาใกล้ชิดท่าน ลวงท่านชะล่าใจเผยโฉมออกมา ...แล้วท่านก็ติดกับจริงๆ!”

    เกี่ยมฮุ้นฟังดังนั้นก็โกรธจัดตวาดว่า “เจ้าทรยศ!!!!!”

    มันเคลื่อนย้ายลมปราณมาที่นิ้วชี้กับนิ้วนางแล้วซัดใส่ลูกน้องผู้นั้น บังเกิดเสียงหวีดหวิวแหวกอากาศดังก้อง จนหลี่ซังซังกับเสี่ยวซาต้องหลากใจ ส่วนหลี่เฉินเชียงก็มีสีหน้าประหลาดใจ

    ทั้งหมดต่างจดจำได้ว่าเกี่ยมฮุ้นคนเก่าไม่เก่งกาจถึงเพียงนี้ หรือว่ามันสำเร็จวิชากระบี่เมฆาขั้นสุดยอดแล้ว?

    มีเพียงสมุนปากกล้าผู้นั้นที่ยังคงนิ่งเฉย แม้ว่าตัวของมันเองคือเป้าของปราณกระบี่นั้นก็ตามที ไม่ทราบว่าเป็นเพราะมันมีพลังฝีมือต่ำต้อยจนคิดไม่ถึงว่าจะมีผู้สามารถลงมือทำร้ายมันผ่านระยะทางกว่าสี่วาเช่นนี้ได้?  หรือเป็นเพราะว่ามันมั่นใจว่าเกี่ยมฮุ้นมิอาจทำประการใดมันได้กันแน่?

    ทันใดนั้นคำตอบก็เป็นอันกระจ่าง ปราณร้อนแรงสามสายวิ่งผ่านด้านหลังของสมุนผู้นั้นเข้าสกัดปราณกระบี่ของเกี่ยมฮุ้น พลังทั้งสองกระทบกันดัง ซี่ ซี่ จากนั้นแตกระเบิดดัง ปง! ในที่สุดพากันสลายไปด้วยกัน

    เกี่ยมฮุ้นตกใจยิ่งนัก ในสายตาของมัน เมื่อครู่เจ้าคนปากกล้าผู้นั้นเท่ากับคนที่ตายไปแล้ว ทว่า จู่ๆ คนตายก็กลับมิใช่คนตาย มองไปทางหลี่เฉินเชียงเห็นอีกฝ่ายยังคงนิ่งเฉย ด้านเสี่ยวซาที่ยืนอยู่ด้านข้างของหลี่ซังซังก็ยังจับจ้องมายังมันด้วยทีท่าสงบ เช่นนั้นผู้ใดเล่า? ที่เพียงลงมือก็สามารถสลาย "ปราณกระบี่ไร้รูป" ของมันลงได้ในคราเดียว

    ทันใดนั้นเอง แว่วเสียงหัวร่อดังสดใสจากกลุ่มคนที่มันเคยคิดว่าภักดีกับมันโดยไม่มีข้อสงสัย หญิงสาวผู้หนึ่งใส่ชุดรัดกุม เสื้อกางเกงตัดเย็บจากหนังเสือดาว ตัวกางเกงคลุมแค่เข่า เผยให้เห็นท่อนขาเรียวยาว และข้อเท้าขาวผ่องกลมกลึง ที่สำคัญหญิงสาวผู้นี้มิสวมใส่รองเท้า เผยให้เห็นเท้าที่เรียวงามผุดผาด ให้ความรู้สึกดึงดูดอย่างแปลกประหลาด

    เกี่ยมฮุ้นคล้ายจดใจเท้าคู่นี้ได้! ใบหน้าพลันแปรเปลี่ยน รีบเงยหน้าขึ้นจับจ้องยังใบหน้าของอีกฝ่าย

    ภาพที่ปรากฏก็คือใบหน้าของหญิงสาวนางหนึ่งที่ปราศจากการพอกทาเครื่องประทินโฉม ทว่ายังกอปรไปด้วยความคมขำที่มีสเน่ห์เย้ายวนรัดรึงใจ ในมือของนางถือแส้สีดำสนิทม้วนพันอยู่กับข้อมือ ตัวแส้ดำเป็นมันเรียบลื่น กลับจัดสร้างจากเหล็กกล้าต่อกันเป็นข้อๆ

    นี่นับเป็นเรื่องราวใดแน่? อาวุธอ่อนเช่นแส้ ไฉนจัดสร้างด้วยวัตถุที่แข็งแกร่งเช่นนี้?

    ทันทีที่เกี่ยมฮุ้นเห็นหญิงสาวผู้นั้นใบหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นปั้นยาก จากนั้นซีดขาวราวกระดาษใบหนึ่ง สุดท้ายค่อยกลับคืนสู่สภาพปกติ

    "เสี่ยวเหมย...นึกไม่ถึงว่าเป็นเจ้า นับว่ามาในเวลาที่เหมาะสมจริงๆ"

    หญิงสาวผู้นั้นพลันแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวาน กล่าวว่า "พี่ฮุ้น ระหว่างที่อยู่จงหยวนนี้ท่านสบายดีหรือ?"

    ”สบาย... เราสบายอย่างยิ่ง...จนกระทั่งวันนี้” เกี่ยมฮุ้นฝืนยิ้มกล่าวว่า "พี่ชายทั้งสองของเจ้าเล่า พวกเจ้าทั้งสามใช่ว่า มิเคยแยกจากกันหรอกหรือ?"

    "คิก คิก” หญิงสาวหัวเราะ “พี่ฮุ้น ท่านยังคงร้ายกาจเช่นเดิม พวกเราสามพี่น้องมิเคยแยกจากกันจริงๆ"

    ปรากฏบุรุษสองคน ผู้หนึ่งร่างกายใหญ่โตราวเจดีย์เหล็ก ผมสั้นเกรียน บนใบหน้าประดับด้วยรอยแผลดาบสามสาย ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่เบ่งพอง ผิวกายดำคล้ำ ในมือถือกระบองยาวเจ็ดเชี๊ยะด้ามหนึ่ง

    อีกผู้หนึ่งกลับเป็นบุรุษผมยาวที่สูงโปร่ง ใบหน้าเรียบใสราวกับหยกเนื้อดี มันผู้นี้แม้ว่ารูปร่างสูงพอสมควร ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับอีกคน กลับดูเล็กกว่ามาก ในมือมันถือพัดจีบเล่มหนึ่ง ยามนี้โบกสะบัดอยู่ไปมา

    ”พี่ฮุ้น จากกันเนิ่นนาน วันนี้ข้าเห็นท่านยังมีสุขภาพแข็งแรงรู้สึกปลาบปลื้มปิติยิ่ง” บุรุษผมยาวกล่าว

    เกี่ยมฮุ้นกัดกราม กรอด กล่าวว่า "ไซเทียน... โฮ่วฮง... พวกเจ้า!!! นึกมิถึง ในช่วงเวลาสำคัญที่ตัดสินชะตาชีวิตของเรา พวกเจ้ายังคงเป็นมารผจญอยู่อีก!!!"

    "ฮา ฮา ฮา ท่านกลับลืมเลือนฉายาของพวกเราพี่น้อง" คราวนี้บุรุษรูปร่างใหญ่ที่ชื่อโฮ่วฮงเป็นผู้กล่าว เสียงของมันก้องกังวานราวกับเสียงระฆัง

    "ฮึ่มมม ใช่สินะ เรามีฉายากระบี่เมฆา ส่วนพวกเจ้าเรียกว่า ‘สามมารตลบเมฆ’ ตั้งแต่เล็กจนโต เพียงประพฤติตนเป็นอริกับเราเท่านั้น!!!!" เกี่ยมฮุ้นร้อง

    เสี่ยวเหมยยิ้มพลางตอบว่า "พี่ฮุ้น ท่านต้องเข้าใจ ชนเผ่าเราเพียงนับถือผู้เข้มแข็ง ผู้ชนะจึงเป็นเจ้า ...ตระกูลของพวกเรากับท่าน ล้วนแต่ชิงดีชิงเด่นมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่า พวกเราที่เป็นผู้เยาว์รุ่นหลังได้แต่ปฏิบัติตาม ซึ่งความจริงแล้วข้ามีความรู้สึกที่ดีกับท่านไม่น้อยทีเดียว!"

    "เราขอยืนยัน นางมีความรู้สึกดีกับท่านไม่น้อย" บุรุษผมยาวที่ชื่อไซเทียนกล่าว "พวกเราสามพี่น้องล้วนแต่มีความรู้สึกที่ดีกับท่านมิใช่น้อย เนื่องเพราะพวกเราทั้งสามเคยพ่ายแพ้ภายใต้เงื้อมมือท่าน!!!!" ตอนท้ายที่มันกล่าว ดวงตามันแวววาว ทอประกายดุร้ายออกมา

    เกี่ยมฮุ้นเคร่งเครียด สามคนนี้เป็นยอดฝีมือนอกด่านที่ฝึกวิชาวยุทธแนวทางที่ข่มแนวของเขา
    ทั้งนี้หากเอาคนใดคนหนึ่งมาสู้กันเขายังพอชนะได้ แต่หากรวมกันสามคนแม้แต่ชายผู้มีฉายากระบี่เมฆาก็ไม่มีความมั่นใจ

    เกี่ยมฮุ้นเหลียวมองหลี่เฉินเชียงก็ทราบว่าทั้งหมดเป็นแผนซึ่งวางไว้แต่แรก

    ”ประเสริฐนัก ช่วงที่เจ้าออกนอกด่านส่วนหนึ่งคงเพื่อนำพาสามคนนี้มาสินะ ...จากนั้นจงใจสร้างสถานการณ์ อำนวยความสะดวกให้ข้า เพื่อพิสูจน์ความภักดีใช่หรือไม่?”

    มันก้มหน้าลง “ข้ายอมรับว่าสู้พวกเจ้าไม่ได้ แต่ก็นับตนเองเป็นลูกผู้ชายชาตรีคนหนึ่ง จะฆ่าก็รีบฆ่าเถิด”

    หลี่เฉินเชียงเพียงจ้องเกี่ยมฮุ้นนิ่งอยู่ “อาฮุ้น...” ประมุขฉิกจับอิดเอ่ยนามฝ่ายตรงข้าม น้ำเสียงนั้นไม่ทราบเป็นเยาะเย้ยหรือสมเพชกันแน่ “ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราไม่ดีกับเจ้าตรงไหน เจ้าถึงต้องเนรคุณเรา”

    เกี่ยมฮุ้นเงยหน้าขึ้นสบสายตา “เพราะเจ้าไม่เคยจริงใจกับผู้ใด แม้กับข้าก็ยังปฏิบัติไม่ต่างกับคนทั่วไป... ทำให้ทุกผู้คนทะเยอทะยาน ผู้ใดบ้างไม่คิดเป็นใหญ่” มันปลายตามองหลี่ซังซังหน่อยหนึ่งจึงกล่าวต่อ “เพียงแต่พวกที่ยอมคือพวกที่ไม่มีโอกาส ไม่มีความสามารถเท่านั้น!!! เจ้าก็ไม่ใช่คนดีนักหรอก แม้แต่น้องร่วมสาบานยังฆ่าชิงภรรยาได้”

    พอเกี่ยมฮุ้นพูดจบ หลี่เฉินเชียงกลับมีอาการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสองแอบเหลือบดูหลี่ซังซังพร้อมกันจนนางรู้สึกตัว

    “อะไรนะ!!” หลี่ซังซังร้อง “น้องร่วมสาบานของท่านลุงมีคนเดียวก็คือพ่อข้า... แล้วภรรยาของพ่อข้าก็คือ...”

    หลี่เฉินเชียงแสร้งไม่สนใจหลานสาวตนกล่าวว่า “อาฮุ้น หากเจ้าเป็นลูกผู้ชายจริง ก็มิควรใช้วิธีต่ำทรามเช่นนี้ เจ้าเห็นข้าดีกับซ้อเล็กมาก จึงจงใจยุแยงให้ซังเอ๋อเข้าใจเราผิด ใช่หรือไม่!!!!”

    เสี่ยวเหมยหนึ่งในสามมารตลบเมฆเห็นดังนั้นก็พูดแทรกขึ้นว่า “พี่ฮุ้น วันที่ผู้คุมกฎขวาคนเก่าหรือ
    พ่อของคุณหนูหายตัวไปข้าเห็นเขาเดินไปกับท่าน ไม่แน่ว่าผู้ที่สังหารเขาก็คือท่านนั่นแหละ”

    “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” โฮ่วฮงพูดเสริม “เราสามพี่น้องไม่เคยแยกจากกันมาก่อน เรื่องนี้ยังมีพี่ใหญ่เป็นพยานอีกคน”

    เกี่ยมฮุ้นกัดฟันกรอด “ประเสริฐ ในเมื่อพวกเจ้ายืนยันเช่นนี้ เราก็ไม่มีสิ่งใดต้องพูดอีก... ความจริงเป็นเช่นไร พวกเราล้วนทราบกระจ่าง ขอให้พวกเจ้าจดจำเรื่องในวันนี้เอาไว้ มิแน่ซักวันอาจเกิดขึ้นกับพวกเจ้าเช่นกัน!!!!”

    "จนป่านนี้ท่านยังคิดยุแยง ช่างไม่สมกับเป็นเกี่ยมฮุ้น เลยจริงๆ" ไซเทียนผู้เป็นพี่ใหญ่กล่าวขึ้นบ้าง

    “เดี๋ยวหมายความว่าอย่างไร ใครเป็นคนฆ่าพ่อข้า!!! พ่อข้าตายแล้วจริงๆหรือ!!?”

    หลี่ซังซังทนไม่ได้ตวาดแทรกขึ้นมา

    นางเหลียวไปทางหลี่เฉินเชียง “ท่านลุง ท่านบอกข้าสิว่าไม่ใช่เรื่องจริง!!!”

    หลี่เฉินเชียงมองนางด้วยสายตานิ่ง จึงค่อยๆ กล่าวว่า “ซังเอ๋อเอย เรื่องทั้งหมดข้าสามารถอธิบายต่อเจ้าได้ แต่ไม่อาจอธิบายตอนเจ้ากำลังอารมณ์พลุ่งพล่านเช่นนี้”

    ขณะหลี่ซังซังทำท่าจะโวยวายต่อ หลี่เฉินเชียงก็สั่งให้กู่ฮวยฮวยซึ่งแอบแฝงตัวมาในคณะของเกี่ยมฮุ้นกันตัวนางออกไปก่อน

    หลี่ซังซังรู้สึกสับสนยิ่งนัก เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดของนาง แต่บัดนี้คนอื่นกลับเอามาพูดเหมือนกำลังปิดบังนางอยู่ จึงได้แต่ร่ำไห้ออกมาไม่หยุด ทำให้กู่ฮวยฮวยต้องลำบากในการควบคุมนาง

    แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 47 08:32:26

    จากคุณ : ทีมแต่งนิยาย - [ 5 ส.ค. 47 20:21:03 ]