รถสีเทาคันยาวแล่นปาดเข้ามาในบริเวณลานจอดรถของสถานที่ที่ตัวฉันต้องมาอยู่ที่นี้ถึง 15 วัน ก้าวแรกที่ฉันลงจากรถสิ่งแรกที่สัมผัสได้จากสถานที่แห่งนี้คือกลิ่นดอกราตรีที่ลอยตลบอบอวลไปทั่ว จนทำให้ฉันถึงกับต้องกลั้นหายใจเลยทีเดียว พร้อมทั้งบ่นพึมพำกับตัวเอง แต่เสียงบ่นของฉันคงดังเกินไปจนทำให้คนข้างตัวต้องหันมามองอย่างสนใจ
"เป็นอะไรไอ้ผึ้ง หน้าตาบอกบุญไม่รับยังไม่หายเมารถอีกเหรอแก"
เสียงที่เอ่ยถามออกมานั้นเป็นของไป่ หรือไป่หยง บุคคลที่ต้องมาร่วมชะตากรรมในการฝึกงานครั้งนี้กับผึ้งหรือชื่อเต็มๆ ว่า ปานหทัย ซึ่งก็คือฉันเอง
"เปล่า ชั้นแค่เหม็นกลิ่นดอกราตรีเท่านั้นเอง แต่ที่นี่อากาศเย็นเนอะ แกว่ามั้ย"
หลังจากที่ปรับสภาพกับอากาศรอบๆ ตัวได้แล้ว ฉันเองก็เริ่มหันมองไปรอบๆ และพยายามจับรายละเอียดของสถานที่แห่งนี้ให้ได้มากที่สุด แต่สิ่งที่มองเห็นและสัมผัสได้นอกจากกลิ่นดอกราตรีแล้วก็คงจะเป็นความมืดและไอหมอกที่ลอยอยู่รอบๆ ตัว ดังนั้นสิ่งที่สามารถทำได้ในตอนนี้ก็คือเก็บความอยากรู้ไว้ในใจเท่านั้น แล้ววันต่อๆ ไปค่อยเริ่มสำรวจกันอีกที
..
ไอ้ผึ้ง ฉันได้ยินว่าเราจะได้ฝึกงานกับพวกพี่ม
แหละแก"
เสียงของไป่หย่งดังขึ้นหลังจากที่เดินออกจากตัวบ้านพักในวันที่ 2 ของการมาอยู่ที่อ่างขางแห่งนี้และดังพอที่จะเรียกสติของฉันกับมาอีกครั้ง หลังจากเหม่อลอยไปกับธรรมชาติรอบๆ ตัว ในวันนี้ฉันตั้งใจว่าจะมาเดินสำรวจสถานที่หลังจากที่เมื่อคืนทำได้เพียงแค่สำรวจรอบๆ บริเวณบ้านพักเท่านั้น และวันนี้ฉันเริ่มต้นด้วยการนั่งรถไปกับอาจารย์เพื่อสำรวจรอบๆ บริเวณอ่างขางและสิ่งที่ฉันพบเจอนั้นต่างจากที่คิดไว้มากมาย สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์เท่าที่สังเกตดูดอกไม้ส่วนมากจะเป็นดอกไม้เมืองหนาวแทบทั้งสิ้น ( ก็อ่างขางมันหนาวนี้เนอะ / ผึ้ง ) นี้ยังไม่รวมถึงไร่ผลไม้ที่ปลูกไว้ตามภูเขาลูกแล้วลูกเล่าอีกไม่ว่าจะเป็น ท้อ บ๊วย สาลี่ และที่ประทับใจฉันที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นบ้านไม้หลังเล็กๆ ที่มีกระดิ่งลมแขวนที่ตั้งตระหง่านอยู่บนภูเขาสูงยามเมื่อขึ้นไปแล้วมองไปรอบๆ ก็จะมีแต่ธรรมชาติที่งดงาม "ที่แห่งนี้อย่างกับดินแดนในฝันแน่ะ" ฉันยิ้มกับความคิดของตัวเอง ก่อนจะที่จะหันไปถามไป่หย่งว่า
"กลุ่มไหนเหรอแก" ฉันถามกลับไปเพียงแค่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีเท่านั้น
"ไม่รู้ว่ะ ลองไปถามพี่กลุ่มโน้นดูมั้ยเผื่อจะรู้อะไรมั้ง"
ไป่หยงตอบออกมา พร้อมทั้งฉุดกระชากลากฉันเข้าไปหาพี่ๆ ที่นั่งอยู่บริเวณร้านอาหารของสถานีเพื่อสอบถามถึงกลุ่มที่ฉันกับไป่หยงต้องไปฝึกด้วย แต่เมื่อไป่หยงก้าวเท้าเข้าไปหาผู้ชายสีผิวเข้มที่หน้าตาติดจะเรียบเฉยนั้น ก็กลายเป็นว่าฉันต้องเป็นคนตั้งคำถามเสียเอง เมื่อจู่ๆ ไป่หยงก็เกิดอาการแปลกๆ ไม่ยอมสบตาพี่คนนั้นซะเฉยๆ แล้วฉันก็ได้คำตอบว่าไป่หยงเป็นอะไรเมื่อตอนที่พี่คนนั้นยิ้มและตอบคำถามออกมา
"สเป็คแกเหรอ" ฉันกระซิบกับไป่หยงเบาๆ
แต่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ใบหน้าที่ขาวของไป่หยงกลายเป็นสีแดงระเรี่ยทันที
สรุปแล้วฉันต้องมาฝึกงานที่อ่างขาง กับไป่หยงเพื่อนสนิทที่เป็น 1 ใน 9 คนของฉัน สถานที่ก็ดูน่าอยู่ อาหารก็อร่อย ( ถึงแม้ไอ้ไป่จะทานไม่ได้เลยก็ตาม / ผึ้ง ) แถมท่าทางพี่นักศึกษาที่ต้องฝึกงานด้วยกันก็น่ารักดี คงจะทำให้ 15 วันนี้ไม่แย่มากนัก ปานหทัยคิดไว้ในใจลึกๆโดยที่ไม่รู้ตัวเลยซักนิดว่าเวลาแค่นี้จะมีเรื่องราวเกิดขึ้นกับใจดวงน้อยมากมาย
เสียงหัวเราะอย่างถูกใจของผู้ชายคนหนึ่งที่ดังอยู่ไกลๆ เรียกให้ฉันหันไปมองจึงพบกับผู้ชายตัวโตๆ 2 คน คนหนึ่งคือคนที่ฉันรู้จักดีก็คือ พี่ใหญ่ ผู้ชายร่างอ้วนที่แสนจะอารมณ์ดี กับผู้ชายอีกคนที่คุ้นหน้าคุ้นตานัก คนที่ใครๆ ก็บอกว่าบ้าๆ บอๆ ดูไม่น่าสนใจซักนิดนั้นซินะ ผู้ชายใส่แว่นตัวผอมผิวสีแทนที่ออกจะไปทางคล้ำๆ ด้วยซ้ำดูไม่มีอะไรที่น่าสนใจเลยซักนิด นอกจากรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัว แต่แปลกที่กับตรึงอยู่ในใจพิกล
"ไอ้ผึ้ง กินข้าวยัง ไปกินด้วยกันมั้ย" เสียงตะโกนถาม ของพี่ใหญ่ดังขึ้นจึงทำให้ฉันละสายตาจากคนใส่แว่นหันไปมองพี่ใหญ่แทน
"ยังพี่ รอไอ้ไป่อยู่ พี่ไปก่อนเถอะ จองที่ให้ด้วยนะ"
คงเพราะฝึกงานกับพี่แกมาเกือบอาทิตย์แล้วมั้งจึงทำให้ฉันกล้าที่จะตอบพี่ชายคนนี้ไป แล้วหันไปมองตามคนที่เดินเคียงข้างพี่ใหญ่เพื่อถามตัวเองให้แน่ใจอีกครั้งว่าไอ้ความรู้สึกแปลกๆ นี้คืออะไร
"ไอ้ผึ้งรอนานหรือยัง แก" ไป่หยงวิ่งเข้ามาในบริเวณสวนดอยคำสวนดอกไม้นานาพันธุ์ ที่ไม่ว่ามองยังไงก็มีแต่ความสวยงามในทุกมุม
"นานไม่นานทุกคนก็ไปกินข้าวหมดแล้วละแก"
คำตอบที่ฉันตอบออกไปทำให้ใบหน้าของสาวไป่หย่งสลดลงเล็กน้อย จนทำให้ฉันรู้สึกผิดนิดๆ จึงต้องยิ้มออกมาเพื่อประจบสาวขี้งอนอย่างไป่หย่ง ( นอกจากขี้งอนมันยังขี้น้อยใจด้วย / ผึ้ง )
"เอ่อน่า ฉันขอให้พี่ใหญ่แกจองที่ให้แล้วละ"
"อืม นี้แกคนที่อยู่ข้างๆ พี่ใหญ่น่ะพี่อั้มมอ
ใช่มั้ยแกคนที่ใครๆ ก็พูดว่าแกบ้าบอๆ นะ " อืมตรงกับที่เราคิดเลยแฮะบ้าๆ บอๆ จริง ๆ
" เฮ้ย ! ไอ้ไป่ นั้นพี่ใหญ่แกจองที่ให้เราอยู่ๆ ข้างพี่มอ
แหละแก อ้าวไอ้ไป่เป็นอะไร หน้าแดง ๆ"
ฉันหันไปถามไป่หยงอย่างงงกับปฏิกิริยาของไป่หยงที่จู่ๆก็เงียบไป และเมื่อฉันเลื่อนตัวเองมานั่งตรงข้ามกับผู้ชายที่เราเคยไปถามเรื่องกลุ่มฝึกงาน ไป่หยงก็หน้างอทันที ( เป็นไรว่ะ / ผึ้ง ) คงเป็นเพราะฉันไม่อยากนั่งลงอีกจุดหนึ่งที่ไป่หยงเอาของไปวางไว้ซึ่งติดกับผู้ชายขี้เล่นคนนั้น ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมถึงไม่อยากจะอยู่ใกล้ๆ คงเพราะใจสั่นๆ แปลกๆนี้ล่ะมั้งยอมโดนไอ้ไป่มองตาขวางกับการแย่งที่นั่งมัน แทนที่ต้องนั่งจ้องหน้ากับคนบางคน (ใครอยากรู้คำตอบว่าไป่หยงเป็นอะไรลองไปอ่านอ่างขางไม่ร้างรักนะคะแล้วจะรู้คำตอบ / คนเขียน )
แต่แล้วผู้ชายคนนี้ก็ห่างหายไปจากความคิดเมื่อเริ่มเข้าการฝึกงานจริงๆจังๆงานที่นี่จะว่าหนักก็ไม่หนักจะว่าเบาก็ไม่ใช่ นอกจากงานด้านสตรอเบอร์รี่ที่ต้องช่วยทำวิจัยแล้วงานที่นี้ก็เหมือนคนงานทั่วๆ ไปคงเพราะอากาศของที่นี้หมุนเวียนสวนทางกับอากาศของคนข้างล่างล่ะมั้ง เมื่ออากาศข้างล่างเริ่มเข้าสู่คำว่า "ร้อน" แต่ที่นี่อากาศกลับเย็นลงเรื่อยๆ และเพราะที่อ่างขางโอบล้อมไว้ด้วยภูเขา บวกกับดอกไม้นานาพันธุ์ สถานที่แห่งนี้จึงก่อเกิดความสุขขึ้นอย่างประหลาดและวันๆ ชีวิตของฉันนอกจากการทำงานและการนั่งมองหนุ่มๆ หน้าตาดีๆ ( หนุ่มดอยนะน่ารักโคตรๆ / คนเขียน) จึงทำให้วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและลืมเลือนใครบางคนที่ติดตาติดใจไป
แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อกลุ่มพี่นักศึกษาที่ฝึกงานด้วยกันเริ่มเปลี่ยนไปเริ่มกลายเป็นคนที่เข้าใจยากมากขึ้น และเมื่อยามที่อยู่เคียงใกล้ก็เริ่มอึดอัด ความน่าอยู่ของสถานที่คงลดน้อยลง หากไม่มีใครบางคนกับช่วงเวลาอีก 3 วัน ที่ยังเรียกความรู้สึกดีๆ ของสถานที่แห่งนี้กลับคืนมา
.
"วันนี้เราฝึกที่ไหนว่ะ ไป่" ฉันถามออกไปพร้อมๆกับหยิบหมวกสานที่ใส่จนเริ่มชินลงมาสวมไว้บนศรีษะอย่างที่ทำประจำเมื่อต้องลงทำงานในสวนต่างๆ
"ฝึกเรื่องเทคโนหลังการเก็บเกี่ยวนะแก รู้สึกจะเจอกับพี่มนัทนะ"
"อืม เหรอ"
แล้วฉันก็หมดความสนใจเพียงเท่านั้นหากไม่รู้ภายหลังจากเดินลงมารายงานตัวว่า การฝึกหลังการเก็บเกี่ยวเนี่ยจะฝึกร่วมกับอีกหลายๆ มหาลัยรวมทั้งมหาลัยของคนที่ลืมเลือนไปหลายวันด้วย ถึงแม้ฉันจะรู้สึกยินดีนิดๆ แต่ก็คงจะสู้เพื่อนรักของชั้นไม่ได้ ( ไอ้ไป่นะ ขอแซวหน่อย / ผึ้ง)
จากคุณ :
ดอกหญ้า
- [
5 ส.ค. 47 20:44:30
A:202.28.21.6 X:
]