CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    หนึ่งในผลงานแปล เกี่ยวกับแม่

    ตั๋วรถโดยสาร

    ตั้งแต่เด็กแล้ว วันที่ผมกลัวที่สุดก็คือวันแม่ เพราะหลังจากที่คลอดผม ไม่นานคุณแม่ก็ทิ้งผมไป

    ทุกครั้งพอใกล้ถึงเทศกาลวันแม่ ผมก็จะรู้สึกอึดอัด เพราะตามสถานีโทรทัศน์ก็จะออกอากาศแต่เพลงวันแม่ สถานีวิทยุก็เหมือนกัน แม้แต่โฆษณานมผงยังใช้เพลงวันแม่กันเลย สำหรับผมแล้ว ผมรับไม่ได้ซักเพลง

    เรื่องมีอยู่ว่า หลังจากที่ผมเกิดได้ประมาณ 1 เดือน ก็มีคนพบผมที่สถานีรถไฟเมือง ซินจู
    ตำรวจที่สถานีใกล้ๆ กับสถานีรถไฟ พยายามช่วยกันป้อนนมให้ผม แต่ในที่สุดพวกคุณน้าคุณอา ผู้ชายร่างยักษเหล่านี้ ก็ต้องไปหาคุณน้าผู้หญิงที่ป้อนนมเด็กเป็นมาช่วยป้อนให้ มิเช่นนั้นผมคงร้องไห้จนป่วยไปนานแล้ว จนกระทั่งผมกินอิ่มและหลับไป คุณลุงตำรวจจึงเอาผมไปให้ศูนย์รับเลี้ยงเด็ก เต๋อหลัน ของ ต.เป่าซัน เมืองซินจู แล้วปล่อยพวกซิสเตอร์ใจดี รับหน้าที่ปวดหัวต่อไป

    ผมไม่เคยพบคุณแม่ ตอนเด็กๆ รู้แต่ว่าพวกซิสเตอร์เป็นผู้เลี้ยงดูผม ตอนกลางคืนพวกพี่ๆ ต่างต้องทำการบ้าน อ่านหนังสือ ผมไม่มีอะไรจะทำ จึงมักจะไปขลุกอยู่กับพี่ๆ ซิสเตอร์ พวกเขาเข้าไปทำวัตรเย็นในโบสถ์ ผมก็ไปด้วย บางครั้งก็มุดเข้าไปเล่นสนุกอยู่ใต้หิ้งบูชา ยังชอบแลบลิ้นปลิ้นตาหยอกพวกพี่ๆ ซิสเตอร์ที่กำลังตั้งใจสวดอธิษฐาน หรือบางครั้งก็หลับไปคาตักของพี่ๆ ซิสเตอร์ ซิสเตอร์ใจดีบางคนไม่รอให้พิธีจบ ก็อุ้มผมขึ้นไปนอน บางครั้งผมยังเคยสงสัยเลยว่า พวกพี่ซิสเตอร์ รักผมเพราะผมช่วยให้เขามีโอกาสออกจากโบสถ์ก่อนเสร็จพิธีหรือเปล่า

    ถึงแม้ว่าพวกเราต่างก็เป็นเด็กที่มีปัญหา ครอบครัวแตกแยก แต่โดยส่วนใหญ่ก็ยังมีบ้าน พอถึงวันขึ้นไปใหม่ วันตรุษวันสารท ก็ยังมีพี่ป้าน้าอา มาเยี่ยม มารับ มีแต่ผมเท่านั้นที่บ้านตัวเองอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้

    และก็ด้วยเหตุนี้แหละ ซิสเตอร์จะดีกับพวกเราเด็กๆ ที่ไม่มีบ้านเป็นพิเศษ จะไม่ยอมให้เด็กอื่นมารังแก ส่วนผมเองก็มีผลการเรียนดีมาตั้งแต่เล็ก พวกซิสเตอร์ก็หาครูอาสามากมายมาช่วยสอนพิเศษให้ผม จนกระทั่งทุกวันนี้ พวกคุณครูทั้งหลายของผมป่านนี้ก็เป็นด๊อกเตอร์ เป็นรองศาสตราจารย์ อย่างครูภาษาอังกฤษของผมก็เป็นศาสตราจารย์ด้วยซ้ำ จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่ผมเก่งภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก

    ซิสเตอร์ยังบังคับให้ผมเรียนเปียโนด้วย ตอน ป.4 ผมก็เป็นมือออร์แกนของโบสถ์แล้ว ทุกครั้งที่มีพิธีกรรมทางศาสนา ผมจะรับผิดชอบเรื่องเล่นดนตรีมาโดยตลอด และด้วยการอบรมสั่งสอนภายใต้ระบบระเบียบของคริสต์จักร ผมจึงพูดจาชัดถ้อยชัดคำ ในโรงเรียน ผมมักเข้าร่วมแข่งขันกล่าวสุนทรพจน์หรือโต้วาทีเสมอ ยังเคยได้รับเลือกเป็นตัวแทนนักเรียน กล่าวคำขอบคุณในพิธีจบการศึกษาอีกด้วย

    แต่ผมจะไม่ยอมมีบทบาทสำคัญใดๆ ในงานวันแม่เลย ถึงแม้ว่าผมจะชอบเล่นเปียโน แต่ก็มีกฎข้อห้ามของผมข้อหนึ่ง ก็คือ จะไม่เล่นเพลงที่เกี่ยวกับแม่เด็ดขาด นอกจากจะถูกบังคับจริง

    บางครั้งผมก็เคยคิดเหมือนกันว่าพ่อแม่ผมเป็นใคร พอได้อ่านหนังสือนิยาย ก็เดาเอาว่าเราต้องเป็นเด็กที่เกิดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ พ่อเป็นคนไม่รับผิดชอบ ส่วนแม่ก็อายุยังน้อยไม่สามารถเลี้ยงดูเราได้ จึงจำต้องทิ้งเราเสีย . . .

    คงเป็นเพราะผมก็พอมีพรสวรรค์อยู่บ้าง อีกทั้งครูอาสาทั้งหลายต่างก็ช่างสอนกันเหลือเกิน ผมได้เข้าเรียน ร.ร.เตรียมอุดมที่มีชื่อ และเอนทรานส์ก็ผ่านฉลุยได้เข้าคณะที่ต้องการ

    ผมอาศัยเรียนไปทำงานไปจนจบปริญญาตรี ระหว่างเรียนอยู่ บางครั้งซิสเตอร์ซุน ซิสเตอร์ที่เลี้ยงผมจนโตก็มาเยี่ยมที่โรงเรียน พวกเพื่อนๆ ผู้ชายที่ว่าเถื่อนๆ พอเจอซิสเตอร์เข้าก็กลายเป็นเด็กสุภาพ เรียบร้อยไปเลย เพื่อนๆ หลายคนพอรู้ภูมิหลังของผม ต่างก็ปลอบใจผมว่า ผมโตมากับซิสเตอร์นี่เอง ถึงว่าทำไมนิสัยดีอย่างนี้ ในวันรับปริญญา คนอื่นๆ ต่างก็มี คุณพ่อคุณแม่มาร่วมงาน ส่วนญาติคนเดียวของผมก็มีแต่ซิสเตอร์ซุนเท่านั้น อาจารย์ ผ.อ.ของผมยังขอถ่ายรูปด้วยเลย

    ในช่วงที่ผมเกณฑ์ทหารอยู่นั้น ผมกลับมาเยี่ยมที่ศูนย์ ครั้งนี้ ซิสเตอร์ซุนได้เล่าเรื่องๆ นึงให้ผมฟัง ซิสเตอร์หยิบซอง จ.ม. ฉบับนึงออกมาจากลิ้นชัก แล้วบอกให้ผมเปิดดู

    ในซองจ.ม. มีตั๋วโดยสารอยู่สองใบ ซิสเตอร์บอกผมว่า เมื่อตอนที่ตำรวจพาผมมาที่นี่ ในเสื้อของผมมีตั๋วรถสองใบนี้ติด มาด้วย สันนิษฐานว่า แม่ของผมคงใช้ตั๋วรถสองใบนี้ นำตัวผมมาทิ้งไว้ที่สถานีรถไฟซินจู ใบนึงเป็นตั๋วรถบัสจากเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งทางภาคใต้มายังเมืองผิงตง ส่วนอีกใบหนึ่งเป็นตั๋วรถไฟจากเมืองผิงตงมายังซินจู เป็นตั๋วรถเร็วชั้น 3 ผมรู้ได้ทันทีว่าแม่ผมไม่ใช่คนมีฐานะ

    ซิสเตอร์ซุนบอกผมว่า ปกติแล้วพวกเขาไม่ชอบไปสืบหาที่มาของเด็กทารกที่ถูกทิ้ง เธอจึงเก็บตั๋วรถทั้งสองใบเอาไว้เฉยๆ เอาไว้ผมโตขึ้นแล้วค่อยว่ากัน และหลังจากที่เขาสังเกตุการณ์ผมนานพอสมควร ก็สรุปว่าผม เป็นเด็กที่มีสติปัญญา มีเหตุมีผล น่าจะสามารถจัดการกับ เรื่องนี้ได้ด้วยตัวเอง พวกเขาเคยไปยังเมืองเล็กๆ นี้มาแล้ว เป็นเมืองที่มีผู้คนอาศัยน้อยมาก ถ้าหากผมจะหาญาติสักคน เชื่อว่าคงหาได้ไม่ยาก

    ผมเคยคิดอยากจะเจอพ่อแม่บังเกิดเกล้าของผมสักครั้ง แต่พอได้ตั๋วรถสองใบนี้เข้าผมกลับเริ่มลังเล ตอนนี้ผมมีชีวิตที่สุขสบาย มีปริญญาที่สังคมยอมรับ มีเพื่อนหญิงที่กำลังจะลงเอยเป็นคู่ชีวิตที่ดี แล้วทำไมยังต้องเดินกลับไปหาอดีต อดีตที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อให้เจอก็คงไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนักหรอก

    ซิสเตอร์ซุนอยากให้ผมไป โดยให้เหตุผลว่า ผมเป็นเด็กที่มีอนาคตสดใส ไม่ควรปล่อยให้ชาติกำเนิดของตนเองต้องเป็นเงามืออยู่ในจิตใต้สำนึก ซิสเตอร์บอกผมว่า จงคิดถึงเรื่องที่เลวร้ายที่สุดเข้าไว้ และต่อให้สิ่งที่ผมจะต้องเผชิญ จะเป็นเรื่องที่ไม่สู้ดีนัก ก็อย่าให้มีผลกระทบกับความเชื่อมั่นในตนเอง และอนาคตของตน

    ในที่สุดผมก็ไป

    เมืองเล็กๆ ที่แปลกหน้าสำหรับผมเมืองนี้ เป็นเมืองบ้านนอกต้องนั่งรถบัสจากตัวเมืองผิงตงไปอีกชั่วโมงกว่า ถึงแม้ว่าเป็นทางใต้แต่เพราะกำลังเข้าหน้าหนาว อากาศก็ยังเย็นๆ เป็นเมืองที่เล็กจริงๆ มีถนนอยู่สายเดียว มีร้านขายของชำอยู่ร้านสองร้าน มีสถานีตำรวจแห่งนึง ที่ทำการตำบลแห่งนึง โรงเรียนประถมและโรงเรียนมัธยมอีกอย่างละแห่ง นอกจากนั้นก็ไม่มีอีกแล้ว

    ผมวิ่งไปวิ่งมาระหว่างสถานีตำรวจกับที่ทำการตำบล ในที่สุดก็ได้ข้อมูลที่ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับตัวผมสองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือข้อมูลเกี่ยวกับการแจ้งเกิดเด็กทารกชาย อีกเรื่องก็คือบันทึกประจำวันว่ามีคนแจ้งความเด็กหาย หลังจากคลอดได้เดือนกว่า ซึ่งวันที่แจ้งความคือวันที่สองที่ผมถูกทิ้ง จากบันทึกและคำบอกเล่าของพวกซิสเตอร์ ตอนเจอผมที่สถานีรถไฟ ผมอายุได้เดือนกว่าแล้ว ซึ่งก็น่าจะมีการแจ้งเกิดเรียบร้อยแล้ว

    ปัญหาก็คือ ทั้งพ่อและแม่ของผมต่างเสียชีวิตแล้ว พ่อเสียไปเมื่อหกปีก่อน ส่วนแม่เพิ่งเสียไปเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ผมมีพี่ชายคนหนึ่ง แต่พี่ชายของผมก็ได้จากเมืองนี้ไปนานแล้ว ป่านนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน

    ถึงยังไงเมืองนี้ก็เป็นแค่เมืองเล็กๆ เมืองนึง ใครๆ ก็รู้จักกัน จ่าแก่ๆ ท่านหนึ่งในสถานีเล่าให้ผมฟังว่า แม่ของผมเป็นลูกจ้างของโรงเรียนประถมในเมืองมาโดยตลอด แล้วเขาก็พาผมไปพบครูใหญ่

    ครูใหญ่ของโรงเรียนเป็นสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ท่านเล่าให้ผมฟังว่า คุณแม่ของผมมาทำงานที่โรงเรียนเป็นประจำแกเป็นแม่เฒ่าที่มีเมตตามาก ส่วนพ่อผมเป็นคนขี้เกียจและไม่เอาไหน ผู้ชายคนอื่นๆ ต่างก็เข้าไปหางานทำในเมืองใหญ่ มีแต่พ่อผมไม่ยอมไปไหน หาแต่งาน รับจ้างเล็กๆ น้อยๆ ในเมืองทำไปวันๆ ซึ่ง เมืองเล็กๆ ก็ไม่ค่อยมีงานอะไร ให้จ้างอยู่แล้ว ดังนั้นตลอดชีวิตจึงอาศัยค่าแรงของแม่ผม ประทังชีวิตไปวันๆ และเมื่อไม่มีงานทำ อารมณ์ก็ไม่ค่อยจะดี จึงชอบกินเหล้าแก้กลุ้ม พอเมาก็ทุบตีแม่ บางทีก็ตีพี่ชายผม แม้ว่าพอสร่างเมาจะรู้สึกผิดบ้าง แต่ก็ติดเป็นนิสัยแล้วแก้ไขไม่ได้ แม่และพี่ชายของผมก็ทนมาตลอด จนกระทั่งพี่ผมตอนอยู่มัธยมสองทนไม่ได้และหนีออกจากบ้านไปในที่สุด จนป่านนี้ไม่เคยกลับมาอีกเลย

    คุณแม่ท่านนี้เคยมีลูกคนที่สองจริงๆ แต่พออายุได้หนึ่งเดือน กลับ “หายสาบสูญไปอย่างน่าประหลาด”

    ครูใหญ่ถามหลายอย่างเกี่ยวกับตัวผม ผมก็ตอบตามความเป็นจริง พอรู้ว่าผมโตขึ้นจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าทางตอนเหนือ ก็เหมือนคิดอะไรขึ้นได้ แล้วก็รีบลุกไปหาซองเอกสารใบใหญ่จากในตู้มาซองหนึ่ง ซองเอกสารใบนี้ เขาเจอมันอยู่ข้างหมอนของแม่ผมหลังจากที่แม่ผมเสียไป ครูใหญ่รู้สึกว่าของในนั้นต้องมีความหมายมาก จึงตัดสินใจเก็บเอาไว้รอให้ญาติผู้ตายมารับไป

    สองมือของผมสั่นเทา ค่อยๆ บรรจงเปิดซองเอกสาร ปรากฏว่าในนั้นมีแต่ตั๋วรถโดยสาร เป็นตั๋วรถที่เดินทางจากเมืองเล็กๆ แห่งนี้ไปยัง ต.เป่าซัน เมืองซินจู ทั้งหมดถูกเก็บเอาไว้ในซองอย่างเรียบร้อย

    ครูใหญ่บอกผมว่า ทุกๆ ครึ่งปี แม่ของผมจะไปเยี่ยมญาติคนหนึ่งที่ภาคเหนือ ไม่มีใครรู้ว่าญาติคนนี้เป็นใคร รู้แต่ว่าทุกครั้งที่กลับมา แม่ผมจะดูมีความสุขมาก ช่วงหลังแม่นับถือศาสนาพุทธ เรื่องที่แกภาคภูมิใจเป็นที่สุด ก็คือ สามารถบอกบุญกับพวกเศรษฐีในสมาคมพุทธศาสนา มอบเงิน 1 ล้านเหรียญให้แก่ศูนย์รับเลี้ยงเด็กกำพร้าของแคธอลิก ในวันมอบเงินนางยังเดินทางไปที่นั่นด้วยตนเอง

    ผมนึกขึ้นได้ว่ามีอยู่วันหนึ่ง รถบัสคันใหญ่คันหนึ่งพาสาธุชนจากภาคใต้มามากมาย พวกเขาเอาเช็คราคาหนึ่งล้านเหรียญมามอบให้ศูนย์รับเลี้ยงเด็กเต๋อหลัน พวกซิสเตอร์ปลาบปลื้มมาก ยังเกณฑ์เด็กทุกคนในศูนย์ มาถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึก ตอนนั้นผมกำลังเล่นบาสอยู่ก็ไม่เว้นถูกเกณฑ์ไปถ่ายรูปด้วยอารมณ์ไม่สู้ดีนัก ตอนนี้ผมกลับเห็นรูปถ่ายใบนั้น ถูกเก็บไว้ในซองเอกสารด้วยผมขอครูใหญ่ช่วยชี้ให้ผมดูว่าแม่ของผมคือคนไหน เธอยืนอยู่ไม่ไกลจากผมนัก

    และที่ผมซาบซึ้งมาก คือในซองยังมีใบถ่ายเอกสาร ของสมุดที่ระลึกวันรับปริญญา หน้าที่ถ่ายคือหน้าที่เพื่อนๆ ในคณะสวมหมวกสี่เหลี่ยมกำลังสนุกสนานกันอยู่ ซึ่งก็มีผมอยู่ในรูปด้วย

    คุณแม่ของผม แม้ว่าจะทิ้งผมไป แต่ก็มาเยี่ยมผมบ่อยๆ และอาจจะมาร่วมพิธีรับปริญญาของผมด้วยซ้ำ

    น้ำเสียงของครูใหญ่ราบเรียบมาก เธอพูดว่า :

    “หนูควรจะขอบคุณคุณแม่ของหนู แม่หนูทิ้งหนูไปก็เพื่อให้หนูได้มีสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า ถ้าหนูอยู่ที่นี่ อย่างมากก็จบมัธยมต้น แล้วเข้าไปหางานทำในเมือง พวกเราในนี้น้อยคนมากที่จะเรียนถึงระดับ ม.ปลาย ถ้าโชคร้ายกว่านั้น หนูทนให้พ่อหนูตบตีไม่ไหวก็อาจหนีออกจากบ้านแล้วไม่กลับมาอีกเลย เหมือนพี่ชายของหนูก็ได้”

    ครูใหญ่ยังเรียกครูคนอื่นเข้ามาแล้วเล่าเรื่องของผมให้พวกเขาฟังทุกคนต่างก็แสดงความยินดีกับผม ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยที่มีชื่อของรัฐ คุณครูคนหนึ่งบอกผมว่า ในเมืองนี้ยังไม่มีใครสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐได้เลย

    ผมเกิดความรู้สึกตื้นตันมาก ถามครูใหญ่ว่าในโรงเรียนมีเปียโนไหม ผมเปิดฝาเปียโนขึ้น มองไปยังแดดอ่อนๆ ยามเย็นนอกหน้าต่าง ผมเริ่มลงมือเล่น เพลงทุกเพลงที่เกี่ยวกับแม่ที่ผมรู้จัก เพลงแล้วเพลงเล่า ผมอยากบอกให้ทุกคนรู้ว่า ถึงผมจะโตขึ้นจากศูนย์รับเลี้ยงเด็กกำพร้าแต่ผมไม่กำพร้า เพราะผมมีซิสเตอร์ที่ใจดีเลี้ยงดูผม สั่งสอนอบรมผมจนโต รักผมเหมือนลูกแท้ๆ หรือใครคิดว่าผมไม่สมควรเห็นพวกเขาเป็นแม่อย่างนั้นหรือ? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมยังมีแม่ผู้บังเกิดเกล้าผู้เป็นห่วงและรักผม เพราะความเสียสละและความกล้าหาญของเธอ ถึงทำให้ผมได้มีสภาพแวดล้อมที่ดี และอนาคตที่สดใส

    กฎข้อห้ามของผมถูกปลดลงแล้ว นอกจากจะเล่นเพลงแม่ได้ ผมยังร้องตามเบาๆ อีกด้วย ครูใหญ่และครูทุกคนต่างก็พากันร้องตามเสียงเปียโนและเสียงร้องดังกังวาลออกไปถึงนอกโรงเรียน ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเย็น ชาวบ้านต้องพากันสงสัยแน่ๆ ว่า ทำไมวันนี้ถึงมีคนเล่นเพลงวันแม่

    สำหรับผมแล้ว วันนี้ก็คือวันแม่ ซองเอกสารที่เต็มไปด้วยตั๋วรถโดยสาร ทำให้ผมไม่ต้องกลัววันแม่อีกต่อไป


    ผมอยากบอกให้ทุกๆ คนรู้ผมรักแม่


    สุขสันต์วันแม่ครับ

    จากคุณ : beer87 - [ 10 ส.ค. 47 19:01:38 ]