CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    =[+] ฉิกจับอิด [+]= นิยายจีนร่วมแต่งแนวทดลอง : ตอนที่ 57 ปมปัญหาของหลี่ซังซัง

    ยามเช้า ณ สำนักใหญ่พรรคฉิกจับอิด

    หนึ่งวันภายหลังจากที่เกี่ยมฮุ้นก่อการไม่สำเร็จ เหตุการณ์ทุกอย่างภายในสำนักใหญ่ของฉิกจับอิด ซึ่งเปรียบเสมือนเมืองขนาดย่อมๆ เริ่มกลับคืนสู่สภาพปกติ เวรยามต่างเข้าประจำตามป้อมค่าย ผู้คนในสำนักที่ไม่มีหน้าที่ในการดูแลป้องกันสำนักต่างก็ทำกิจกรรมของตนเอง บ้างฝึกวิชา บ้างปัดกวาดเช็ดถู มีอยู่เพียงไม่กี่คนที่ปฏิบัติตนผิดแผกออกไป ในนั้นรวมถึง....เซียนแพทย์เทวะด้วย

    คนผู้นี้หลังกลับมาจากภายนอก ก็มีท่าทีผิดแผกไปจากที่เคยเป็น เดิมทีมันมักจะหมกตัวเป็นวันๆ อยู่ในห้องยา ถ้าไม่เคี่ยวยาก็ คิดค้นตำรับยา ทว่าเวลานี้คนในสำนักกลับพบเห็นมันบ่อยครั้ง มันมิเพียงไม่หมกตัวอย่างที่เคยเป็น กลับหยิบนั่นฉวยนี่จนวุ่นวาย เดินเข้าออกห้องครัววันละหลายครั้ง ทุกครั้งในมือล้วนหยิบฉวยสิ่งของไปด้วย บางครามีคนเห็นมันถือจานชามเก่าคร่ำคร่าเดินเข้าครัว บางทีก็เห็นมันถือถ้วยเก่าใบหนึ่งภายในบรรจุน้ำโสมยกดื่ม สรุปแล้วมันมีภาระกิจวุ่นวายแทบทั้งวัน เพียงแต่เปลี่ยนจากหมกตัวในห้องยา เป็นห้องครัวแทน

    อีกหนึ่งที่ผิดแผกไปจากเดิม หลังเกิดเหตุการณ์เกี่ยมฮุ้นทรยศพรรคก็คือ...หลี่ซังซัง

    นางยังคงเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องพัก โดยมิยินยอมให้ผู้หนึ่งผู้ใดพบหน้านาง เด็กสาวมิได้เสียใจที่กระบี่เมฆาผู้นั้นต้องตกตายไป ปัญหาอยู่ที่คำพูดก่อนตายของมันต่างหาก ซึ่งจนถึงตอนนี้นางยังไม่มีโอกาสพบหน้าหลี่เฉินเชียง ท่านลุงของนางมีภาระกิจต้องกระทำแทบตลอดเวลา ไหนจะเรื่องจัดการความเรียบร้อยในพรรค ไหนจะรับมือหอห้ากระบี่ สุดท้ายสองลุงหลานยังไม่ได้พูดคุยปรับความเข้าใจกัน

    ส่วนเสี่ยวซาก็ได้แต่เตร็ดเตร่ไปมา เด็กหนุ่มนั้นใจหนึ่งอยากจะจากไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด อีกใจก็ยังมิอาจตัดใจทอดทิ้งหลี่ซังซัง ดังนั้นได้แต่ตระเวณไปมาตามที่ต่างๆ ภายในสำนักใหญ่ ซึ่งหลี่เฉินเชียงก็ดูเหมือนจะไม่สนใจเด็กหนุ่มยากไร้ผู้นี้เท่าไหร่ เพียงสั่งมิให้มันเข้าเขตหวงห้ามที่มีอยู่ไม่กี่แห่ง ในนั้นรวมถึง วัดเจ้าแม่กวนอิมด้วย!!!

    เหตุใดฉิกจับอิดที่เพียงนับถือผู้เข้มแข็งและเงินตรา กลับมีวัดเจ้าแม่กวนอิมอยู่ในสำนักใหญ่?

    คำตอบก็คือ เพราะมีคนผู้หนึ่งต้องการให้มีวัดเจ้าแม่กวนอิมที่นี่ คนผู้นั้นคือ...หลี่ฮูหยิน ผู้เป็นมารดาของหลี่ซังซัง

    หลี่ฮูหยินเป็นศาสนิกชนที่เคร่งครัดยิ่ง นางจะมาเซ่นไหว้ที่นี่ทุกๆ ต้นเดือน และนอกจากตนเองกับสาวใช้ติดตามก็ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นเข้าไปอีก

    หากวันนี้กลับผิดแปลกจากเดิม พอหลี่ฮูหยินฟังว่าเกี่ยมฮุ้นพูดเรื่องเกี่ยวกับสามีของนางก็รู้สึกเดือดร้อนใจยิ่งนักจึงพาหลี่ซังซังมาเซ่นไหว้ในศาลเพื่อวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ปัดเป่าเคราะห์ภัยจากครอบครัวนาง

    ความที่หลี่ซังซังเติบโตในฉิกจับอิดจึงไม่เคยศรัทธาในศาสนาใดๆ เมื่อเดินทางกับเสี่ยวซาเห็นเสี่ยวซาสวดมนต์ไหว้พระก็ดูถูกเป็นความโง่เขลา นางเชื่อว่าคนเข้มแข็งที่แท้ต้องสามารถฝ่าฟันอุปสรรคทั้งปวง และควบคุมทุกอย่างให้บรรลุความปรารถนาของตนเองได้ คนที่เอาแต่พึ่งพิงสิ่งที่มองไม่เห็นคือคนอ่อนแอ ...แต่น่าเสียดายที่มารดานางก็เป็นคนอ่อนแอ

    หลี่ซังซังได้แต่ติดตามหลี่ฮูหยินมาไหว้เจ้าแม่กวนอิมอย่างเสียไม่ได้ นางมองมารดาท่องบ่นเป็นภาษาสันสกฤตฟังไม่รู้เรื่องก็นึกรำคาญยิ่งนัก ในที่สุดจึงโพล่งขึ้นมาว่า

    “ท่านแม่ ท่านเอาแต่พร่ำบ่นภาษาแปลกๆ พวกนั้น ทำอย่างนี้แล้วโชคร้ายจะหายไปจริงๆ หรือ ท่านพ่อจะกลับมาหรือ!!!”

    หลี่ฮูหยินได้ยินบุตรสาวโวยวายก็ตอบรับโดยอาการนิ่งสงบ “แม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ แต่การกราบไหว้นี้มิใช่ไม่ได้ผล เวลาแม่มีเรื่องไม่สบายใจมักมาหาเจ้าแม่กวนอิมเสมอๆ และเจ้าแม่ก็ไม่เคยทำให้แม่ผิดหวังเลย”

    หลี่ซังซังแค่นเสียงอย่างคนดื้อรั้น แต่เมื่อนึกได้ว่ามารดาก็คงมีความวิตกไม่น้อยไปกว่านางจึงเริ่มหันเหบทสนทนา “ท่านแม่ ข้ารู้ว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในพรรคฉิกจับอิดตั้งแต่หกขวบ แต่อาจเพราะที่นี่มีเรื่องสนุกสนานมากจนข้าจำความก่อนเข้าพรรคไม่ได้เลย แม่ช่วยเล่าหน่อยสิคะว่าก่อนหน้าเข้าพรรค ครอบครัวเราเป็นอย่างไร”

    หลี่ฮูหยินกล่าวว่า “น่าแปลกที่เจ้ารอจนบัดนี้ถึงคิดมาถามแม่ ปกติอยู่กับลุงใหญ่เขาไม่เคยเล่าให้เจ้าฟังหรือ?”

    “ไม่เคย” หลี่ซังซังตอบ พอนั่งคิดทบทวนดู ก็เห็นแปลกอยู่เพราะจริงๆ นางย่อมเคยถามเรื่องนี้กับหลี่เฉินเชียงมาแล้ว แต่ทุกครั้งลุงใหญ่มักเฉไฉไปพูดเรื่องอื่นจนนานวันเข้านางก็ลืมเลือนไปเอง

    หลี่ฮูหยินเห็นบุตรสาวมีท่าทางกังวล จึงยิ้มอย่างปราณี “ก็ได้มารดาจะเล่าให้ฟัง ก่อนนี้บิดาเจ้าคือหลี่เทียนเล้งประกอบอาชีพเป็นนายวานิชใหญ่ทำการค้าขายผ่านเส้นทางสายไหมทางตะวันตก

    “แม่เองก็ติดตามบิดาเจ้าไปตลอด คอยช่วยเหลือทำบัญชีและให้คำปรึกษา กองคาราวานเราเดินทางผ่านหลายประเทศมีสัมพันธ์ติดต่อกับผู้ทรงอำนาจหลายท้องถิ่น จนพอมีฐานะอิทธิพล ตอนนั้นแม้ทางการหมิงคิดดำเนินการค้าหรือการทูตกับประเทศทางตะวันตกใดๆ ยังต้องขอคำปรึกษาจากพ่อเจ้าเลย

    “กระทั่งวันหนึ่ง ก็มีชาวหูสองคนชื่อจูมาห์ กับ อาอิซมาทำการค้ากับพ่อเจ้า พวกเขาแจ้งว่ามีความสนใจในวรยุทธจงหยวนจึงมาขอแลกเปลี่ยนกับวรยุทธหู เนื่องจากบิดาเจ้าก็เป็นผู้ทักษะยุทธคนหนึ่งทั้งสามจึงคุยกันถูกคอยิ่งนัก

    “ความสนิทสนมนั้นพัฒนาขึ้นจนบิดาเจ้าตกลงเป็นหุ้นส่วนกับชาวหูเหล่านั้น พวกเขาตกลงว่าจะร่วมกันลงทุนในต้าหมิง เปิดเป็นโรงเตี้ยมแบบใหม่ที่ให้บริการอย่างมีมาตรฐานและกระจายสาขาไปทั่วประเทศ จากนั้นเวลาผ่านมาสิบปี ความพยายามนั้นก็ประสบผลสำเร็จอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

    “ซังซังเอ๋ย... ใช่แล้ว สิ่งที่พ่อเจ้าและชาวหูสองคนนั้นสร้างขึ้นมาก็คือพรรคฉิกจับอิด จูมาห์กับอาอิซก็คือท่านลุงหลี่เฉินเชียงกับเกี่ยมฮุ้นนั่นเอง พ่อเจ้าเป็นคนตั้งชื่อแบบฮั่นและสอนภาษาให้แก่พวกเขา โดยเฉพาะท่านลุงใหญ่ที่มีความสนิทเป็นพิเศษนั้นพ่อเจ้ายังร่วมสาบานเป็นพี่น้องและให้เขาใช้แซ่หลี่ของพวกเราด้วย เจ้าจะเห็นได้ว่านอกจากท่านลุงใหญ่แล้วคนที่มาจากนอกด่านอื่นๆคือ เกี่ยมฮุ้น ไซเทียน โฮ่วฮง เสี่ยวเหมย ล้วนมีแต่ชื่อฉายา หากไม่มีแซ่ ทั้งนี้เพราะชาวหูไม่มีแซ่นั่นเอง

    “เวลาผ่านไปอีกหลายปีกระทั่งเจ้าเกิดมาและเติบโตจนอายุประมาณหกขวบ พรรคฉิกจับอิดเพิ่งรวบรวมเงินทุนและกำลังคนมากพอเข้ามาตั้งสำนักใหญ่แห่งแรกในจงหยวน ก็เป็นช่วงเวลานั้นแหละที่พ่อเจ้าได้หายสาปสูญไป...”

    หลี่ซังซังรู้สึกประหลาดใจกับเรื่องราวของมารดาเพราะนึกไม่ถึงว่าที่แท้พรรคฉิกจับอิดมีความเป็นมาเช่นนี้ นางยังผิดคาดกว่าเดิมเมื่อทราบว่าท่านลุงใหญ่กับเกี่ยมฮุ้นมีพื้นเพเป็นชาวต่างชาติ แต่นางยังมีเรื่องที่กระตือรือร้นสงสัยมากกว่า “แล้วท่านพ่อหายไปอย่างไรคะ?” เด็กสาวถาม

    “อืม... เรื่องนี้จะว่าไปก็นับว่าแปลกอยู่” หลี่ฮูหยินกล่าว “วันหนึ่งพ่อเจ้าบอกแม่ว่าจะออกไปเดินเล่น จากนั้นเขาก็ไม่กลับมาอีกเลย ลุงใหญ่เจ้าใช้คนติดตามอย่างไรก็ไม่พบ ...แต่แม่ทราบว่าเขาโกหก บิดาเจ้าจะต้องจากไปเพื่อทำธุระสำคัญ แต่เป็นเรื่องที่ต้องปกปิดแม่ไว้ เพราะก่อนออกไปนั้นแม่แอบเห็นเขาอ่านจดหมายฉบับหนึ่งด้วยหน้าตาเคร่งเครียดแล้วจึงเผาจดหมายทิ้งเสีย”

    หลี่ฮูหยินพูดถึงตรงนี้ก็มีหน้าซีดสลดลงเล็กน้อย จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาพักหนึ่ง แล้วหันไปไหว้เจ้าแม้กวนอิมต่อ

    หลี่ซังซังก็ไม่อยากรบกวนมารดาอีก หากขณะนั้นสายตานางเหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งแลบออกมาจากฐานของรูปเจ้าแม่กวนอิม เหมือนใครจงใจเอาไปเสียบไว้ข้างใต้โดยเจตนาให้ขอบกระดาษโผล่ออกมาเล็กน้อย

    นางเห็นผิดสังเกตจึงคลานไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นมาดูและพบว่ามันเป็นจดหมายที่จ่าหน้าซองถึงมารดาของตน

    ...นั่นยังไม่น่าแปลกใจเท่ากับผู้ที่ลงนามเป็นเจ้าของจดหมายคือเกี่ยมฮุ้น!!!

    “ท่านแม่ ดูนี่!!!” หลี่ซังซังร้อง และยื่นจดหมายให้หลี่ฮูหยินดู

    หลี่ฮูหยินรับมาก็มีสีหน้าแปลกใจเช่นกัน เพราะก่อนหน้านี้นางแม้นรู้จักสนิทสนมกับเกี่ยมฮุ้นมาก่อน แต่ก็ไม่ถึงขั้นเรียกได้ว่ามีความสัมพันธ์กันเป็นการส่วนตัว เหตุใดเขาจึงทิ้งจดหมายไว้ให้นาง มั้งยังจงใจจัดวางเอาไว้ในที่ๆ รู้ว่านางจะต้องมา และมีเพียงนางเท่านั้นที่จะพบเห็น!

    แวบหนึ่งที่นางเกิดความกลัวบางอย่างจึงถือจดหมายออกจากศาลเจ้ากลับไปอ่านที่ห้องส่วนตัว โดยไม่ยอมให้บุตรสาวติดตามมาด้วย

    และแล้วสิ่งที่หลี่ฮูหยินหวาดกลัวก็เป็นความจริง จดหมายนั้นมีความว่า

    “เรียนหลี่ฮูหยิน จดหมายฉบับนี้ข้าเกี่ยมฮุ้นเขียนขึ้นหนึ่งวันก่อนตัดสินใจกระทำการยึดอำนาจจากหลี่เฉินเชียง
    ข้าตั้งใจว่าหากคราวนี้ตนเองสามารถเอาชนะประมุขได้ ก็จะกลับมาเอาจดหมายไปเผาทิ้ง แต่หากต้องพ่ายแพ้ตกตายก็จะเหลือจดหมายไว้เป็นมรดกแก่ฮูหยิน

    “ตลอดสิบปีมานี้ทุกคนต่างทราบดีว่าฮูหยินเพื่อรักษาฐานะของครอบครัว จำยอมผิดประเพณีคบชู้กับหลี่เฉินเชียง ผู้ที่ไม่ทราบเรื่องนี้เห็นจะมีแต่ซังเอ๋อเท่านั้น

    “แต่ฮูหยินประสงค์จะทราบหรือไหมว่าแท้จริงสามีท่านหลี่เทียนเล้งหายสาปสูญด้วยสาเหตุใด?

    “เรียนฮูหยินตามตรง สามีท่านคิดว่าเขาหายสาปสูญนั้น ที่จริงเขาได้ตายไปแล้ว"

    “ท่านคงรู้จักนิสัยของหลี่เฉินเชียงดี ชายคนนี้หากประสงค์สิ่งใดจะต้องคว้าเอามาโดยไม่เลือกวิธีการ สิบกว่าปีก่อนที่ข้ากับหลี่เฉินเชียงมาคบหาสามีท่านเป็นสหาย หลี่เฉินเชียงเมื่อพบเห็นท่านและบุตรี ก็รู้สึกอิจฉาหลี่เทียนเล้งที่มีครอบครัวอันอบอุ่นในขณะที่ตนเองไม่มี จึงวางแผนกับข้าคิดกำจัดหลี่เทียนเล้งเสีย เพื่อแย่งชิงทั้งตัวท่านและบุตรีมาเป็นของมัน"

    “วันที่สามีท่านหายสาปสูญ เราส่งจดหมายไปให้เขา บอกว่ามีธุระสำคัญให้ออกมาปรึกษากันข้างนอก พอหลี่เทียนเล้งหลงกลออกมาก็ถูกพวกเราทั้งสองจับฆ่าเสีย เอาศพโยนลงหุบเหว"

    “หลังจากนั้นหลี่เฉินเชียงก็แกล้งทำเป็นช่วยเหลือค้นหาสามีท่านอย่างสุดความสามารถ อีกทางหนึ่งก็ทำตนเป็นที่พึ่งแก่ครอบครัวของท่าน กระทั่งในที่สุดท่านก็ต้องตกเป็นของเขา และซังซังก็นับถือเขาประดุจบิดาแท้ๆ สมความประสงค์ในการแย่งชิงครอบครัวน้องร่วมสาบานมา"

    “ความลับเรื่องหลี่เทียนเล้งนี้มีข้าคนเดียวที่สามารถเปิดเผยได้ และถ้าข้าตายความลับก็จะสูญไปกับตัวข้าด้วย ดังนั้นข้าจึงต้องเขียนจดหมายบอกฮูหยินไว้ก่อนเพื่อมิให้มีสิ่งใดติดค้างไปภพหน้า"

    “ฮูหยิน หากท่านไม่เชื่อเรื่องนี้ ในวันที่หลับนอนกับหลี่เฉินเชียงครั้งต่อไปท่านสามารถตรวจดูที่ต้นขาของเขาจะมีรอยกรงเล็บเป็นแผลเป็นอยู่รอยหนึ่ง นั่นคือบาดแผลที่สามีท่านทิ้งไว้ให้แก่เขาก่อนตาย ทั้งนี้สังเกตได้ว่าที่นิ้วชี้กับนิ้วกลางจะมีความลึกเป็นพิเศษซึ่งนั่นก็มาจาก ‘ฝ่ามือมังกร’ อันเป็นท่าไม้ตายประจำตัวของสามีท่านนั่นเอง...”

    หลี่ฮูหยินอ่านถึงตรงนี้ก็ทำจดหมายหลุดมือ ร่วงหล่นลงบนพื้น มิเพียงจดหมายที่ร่วงหล่น หยาดน้ำตาอันสดใสราวไข่มุกของนาง ก็ไหลรินลงบนพื้น

    บาดแผลที่ต้นขาของหลี่เฉินเชียงหลี่ฮูหยินย่อมเคยเห็นมาก่อน ครั้งแรกที่นางตกเป็นของคนผู้นี้ นางก็สังเกตเห็นแต่แรก ในตอนนั้นบาดแผลดังกล่าวยังมิสมานตัวดีด้วยซ้ำ เป็นนางเองที่เป็นคนเยียวยาบาดแผลของมัน!

    บุคคลที่นางเคยคิดว่าเป็นที่ยึดเหนี่ยวพึ่งพิง ที่แท้คือฆาตกร สังหารสามีของนาง และต้นเหตุทั้งหมดที่กล่าวมาก็ล้วนแล้วแต่เกิดจากตัวนางทั้งสิ้น!!!


    ************************

    แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 47 20:47:30

    จากคุณ : ทีมแต่งนิยาย - [ วันแม่แห่งชาติ 17:26:35 ]