CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    กาลเวลา

    แสงแดดยามเช้าส่องกระทบ ร่างหญิงสาวที่นั่งเหยียดขาอย่างสบายๆรับแสงแดดอ่อนๆตรงบริเวณม้านั่งข้างสนามหลวง หญิงสาวร่างโปร่งผมยาวหยิกเป็นลอนคลื่นที่ถูกมัดเอาไว้หลวมๆทอดสายตาออกไปเหมือนจะไม่ใส่ใจคนที่เดินผ่านไปผ่านมา  

    แต่ความจริงแล้วสายตาคู่นั้นจับจ้องอยุ่ที่กลุ่มเด็กขายอาหารสำหรับเลี้ยงพิราบกลุ่มหนึ่งที่มีกันราวๆ สามสี่คนทั้งชายและหญิงเด็กชายที่โตสุดในกลุ่มมีท่าที่ซุกซนหันไปเห็นหญิงสาวจ้องมองมาที่กลุ่มตนจึงวิ่งไปทานที่หญิงสาวนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงร่าเริง

    “พี่สาวครับ พี่อีก แล้ว วันนี้จะอุดหนุนผมไหม วันนี้ยังไม่มีใครประเดิมของของผมเลยพี่” เด็กชายพูดพร้อมชูถุงเมล๊ดข้าวเปลือกที่ผสมด้วยข้าวโพดในมือให้หญิงสาวดู

    หญิงสาวยิ้มให้พร้อมหยิบเงินในกระเป๋ากางเกงออกมา ส่งให้ เด็กชาย ที่ยิ้มร่าเมื่อเห็นว่าอย่างน้อยวันนี้ตอนเช้าเค้าก็ยังสามารถขายของที่เตรียมมาออกได้บ้าง

    “เจ้าหนู งั้น พี่เอา สามถุงเลยแล้วกัน แล้ววันนี้ น้องสาวเราตัวเล็กหายไปไหนเสียละ” หญิงสาวถามยิ้มๆกึ่งเอ็นดูเด็กชายตรงหน้า

    เด็กชายตอบด้วยเสียอันดัง ว่า “เค้าช่วยแม่กรอกอาการนกอยู่ทางนู้นแหนะพี่” พลางชี้นิ้วน้ำพุที่มีที่นั่งอยู่รอบๆ

    “ว่าแต่ว่าพี่สาว ผมละสงสัยจริงๆพี่มานั่งทำอะไรเช้าๆแบบนี้ทุกวัน ผมนะ เห็นพี่มาหลายวันแล้ว”

    “พี่มารอคนจ๊ะ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
    เด็กชายปั้นสีหน้ายุ่ง ในใจอยากจะเอ่ยถามออกไปว่า มารอใครว้า เห็นนั่งอยู่คนเดียวทุกวันเมื่อเห็นหญิงสาวยิ้มๆเหมือนจะรู้ทันจึงตัดสินใจถามออกไป

    “พี่แต่ผมเห็นพี่นั่งคนเดียวทุกวันเลย นะ ไม่เห็นจะมีใครมาหาพี่ซักคนเลย แล้วคนที่พี่รอ น่ะ เค้าเป็นใครกันเพื่อนหรือไง”
    “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันพี่รู้เพียงแค่ว่าพี่ต้องมารอเค้า”หญิงสาวทอดสายตาหม่อมองออกไปทางพระบรมหาราชวัง
    “เค้าไหนละพี่ วุ้ยพูดจา ให้ผมงง แล้วพี่จะได้เจอเค้าไหมละนี่” เด็กชายปั้นสีหน้ายุ่งยาก

    “ไอ้จ้อย ไอ้จ้อยเว้ย แม่แกเรียก แหนะ โว้ย” เสียงตะโกนดังมาจากกลุ่มเด็กที่รวมตัวกันอยู่เมื่อครู่ทำให้เด็กชายผละจากหญิงสาวตรงหน้าไป แต่ไม่ลืมที่จะ กล่าวขอบคุณแล้ววิ่งกลับไปหาแม่ของเขา

    หญิงสาวหยิบหูฟังออกมาจากกระเป๋าสะพายข้างตัวของหล่อนพร้อมเสียงเพลงเก่าก็ดังขึ้น

    “รอคอยเธอมาแสนนานทรมาณ วิญญาณหนักหนา ระทมในอุราแก้วกาญดาชั้นปองเธอผู้เดียว เธอเอยแม้เราห่างกันแสนไกลชายใดดวงใจชั้นไม่แลเหลียว.........”
    หญิงสาวเหมือนตกอยู่ในภวังอีกครั้งดำดิ่งลงไปสู่ความทรงจำ
                   แอร์ในรถเย็นฉ่ำสตีนั่งมองเพื่อนรักที่สนิทที่สุดคนเดียวของหล่อนกำลังเลื่อนมือไปกดปุ่มเปิดวิทยุพร้อมเลือกเพลงไม่ว่าจะเปิดไปคลื่นไหนก็ดูเหมือนจะไม่เป็นที่พอใจของนิโลบลทั้งสิ้น นิโลบลเป็นเพื่อนสาวที่สนิทที่สุดเพียงคนเดียวของสตีนั่นเป็นเพราะว่าสตีได้ย้ายตามครอบครัวไปอยู่ต่างประเทศทั้งแต่อายุสิบสองจะกลับมาเยี่ยมคุณปู่คุณย่าก็แทบจะนับครั้งได้ก็มีเพียงแต่กับนิโลบลที่เพียรเขียนจดหมายตอบโต้กันตั้งแต่ย้ายไปจนปัจจุบันนี้

    “เฮ้อ ยายตี ชั้นละเซ็งจริงๆเลย ไม่มีเพลงไหน มันจะน่าฟังเลย มีแต่เพลงวัยรุ่นอกหักซ้ำซากมากๆ ชั้นละเบื่อ” นิโลบลบ่นพรางเปลี่ยนหาคลื่นไปเรื่อยๆ

    ......เธอเอยแม้เราห่างกันแสนไกล ชายใดดวงใจชั้นไม่แลเหลียวรักเธอแน่ใจจริงเจียวรักเธอรักเดี๋ยวนิรันด์ แม้นมีอุปสรรคกวากหนาม ขอตามไม่ยอมพลัดพรากจากกัน จะ ชาติไหนๆ ไม่ยอมห่างไกลกัน ดวงจิตผูกพันดวงจิตมีไว้เพียงเธอ.......

    เสียงเพลงที่ดังขึ้นพร้อมดึงความสนใจของสตีได้อย่างไม่คาดฝัน

    “บัว หยุดก่อนอย่าเพิ่งเปลี่ยน นี่เพลงอะไรหรือเพราะจริงเลย” หญิงสาวถามอย่างสนใจ
    เพื่อนสาวที่กำลังขับรถอยู่ส่งเสียงตอบมาโดยที่ไม่ได้หันมามองหน้า ว่า เป็นเพลงเก่านานมากแล้ว
    ในขณะที่เพลงดำเนินต่อไปสตีกลับตกอยู่ในพะวังความรู้สึกคุ้นเคยเริ่มกลับเข้ามารบกวนจิตใจทำให้หล่อนเงียบลงไปจนเพื่อนรักสังเกต

    “ตีเป็นอะไรทำไมจู่ๆเงียบไปอินกับเพลงมากขนาดนั้นเลยหรือ”เพื่อนสาวเริ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นน้ำตาที่เริ่มไหลเอ่อ ออกมาของคนที่นั่งข้างๆ
    “ตี เป็นอะไรร้องไห้ทำไม” เมื่อเห็นเพื่อนสาวร้องไห้ทำให้ บัว หรือ นิโลบล ต้องหักรถเข้าชิดข้างทาง
    “เปล่าหรอกบัวจู่ๆมันก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาน่ะไม่มีอะไรมากหรอกเนื้อเพลงมันสะกิดใจเราเหลือเกิน”หญิงสาวเช็ดน้ำตาพร้อมสูดหายใจลึกๆ

    นิโลบลถอนหายใจเมื่อเห็นอาการเพื่อนรักเพราะเธอเป็นคนเดียวที่รู้ถึงเรื่องความลับในข้อนี้ของสตีเป็นอย่างดี สตีเริ่มฝันถึงใครคนหนึ่งคนที่เธอไม่เคยรู้จักมาตั้งแต่เธอเริ่มสาวอายุได้ยี่สิบปีจนมาถึงบัดนี้เป็นเวลาถึง ห้าปีแล้ว
    “ตี คิดถึงเรื่องนั้นหรือ ฝัน ของ ตี น่ะ” นิโลบลถามเพื่อนอย่างสงสัย
    “อืม ใช่บัว ไม่รู้ทำไมจู่ๆก็เศร้าขึ้นมาจับใจ”

    นิโลบลเห็นดังนั้นจึงคิดอะไรได้บางอย่างพร้อมเอ่ยชวนสตีไปไหว้พระเพื่อที่จะทำให้จิตใจผ่องใสขึ้นซึ่งสตีก็เห็นด้วยทั้งสองจึงมุ่งหน้าไปที่วัดพระแก้วเพราะว่าสตีนั้นรักวัดพระแก้วหนักหนากลับมาเมืองไทยทุกครั้งจะต้องไปกราบไหว้พระแก้วมรกตอยู่เป็นประจำ

    หลังจากเดินออกจากวัดพระแก้วแล้วสองสาวตัดสินใจเดินเล่นอยู่รอบๆสนามหลวงเสียก่อนเพราะว่าอากาศไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนอย่างเช่นทุกวันสองสาวนั่งพักอยู่ที่ม้านั่งริมสนามหลวงซึ่งกันหน้าไปทางศาลเจ้าพ่อหลักเมืองยังไม่ทันที่สองสาวจะได้นั่งพักให้หายเหนื่อยก็มีกลุ่มเด็กขายอาหารนกเดินเข้ามาหาสามสี่คน เด็กคนที่ตัวโตสุดพูดจาอย่างฉะฉาน เอ่ยถามหญิงสาวทั้งสองว่า จะซื้ออาหารให้นกพิราบที่อยู่แถวนี้ไหม

    นิโลบลทำท่าไม่สนใจพร้อมเอ่ยปากบอกปฎิเศธไปกับเด็กชายแต่สตีกลับตอบไปว่า

    “น้องจ๊ะขายอย่างไรหรือ” สตีเอ่ยถาม
    “โอ้ย ผมขายพี่ถูกๆเลย ถุงละยี่สิบบาท สามถุงห้าสิบเลย พี่”

    นิโลบล ร้องเสียงหลง “อ๊าย ทำไม แพงจัง พี่ว่าถุงขนาดนี้ สิบบาทก็พอม้าง เอากำไรจังเลยนะเรา”
    เด็กชายยังยิ้มขำ “โถ่ๆ พี่ครับเห็นใจผมหน่อยเถอะ นกมันยังต้องทานข้าวเลยแล้วพวกผมละครับพี่”

    สตีมองเด็กชายคนนี้ด้วยความถูกใจจึงได้ขอซื้อทั้งสามถุง เด็กชายเมื่อได้รับเงินก็ยกมือไหว้พรึ่บพรั่บแล้ววิ่งจากไป
    “แล้วนี่จะเอาไงกับไอ้ข้าวเปลือกสามถุงนี้จ๊ะแม่สตี หือ”
    “ก็เอาไปให้นกพิราบซิแม่บัวมันคงหิวแล้ว” สตีตอบด้วบน้ำเสียงล้อเลียน

    ในขณะที่สตีให้อาหารนกพิราบจวนหมดแล้ว ก็พลันได้ยินเสียงเหมือนเรียกชื่อของตน

    ..........แม่สตีจ๋า...... เสียงนั้นเหมือนดังก้องอยู่ในหูแต่เสียงกลับดูห่างไกลเสียเหลือเกิน
    สตีหันไปทางเพื่อนรักแล้วถามว่าเรียกตนหรือเปล่าซึ่งนิโลบลสั่นศีรษะปฎิเศธทำให้สตีงุนงงเป็นอันมากแล้วหล่อนก็หันไปสนใจกับนกพิราบตรงหน้าเมื่ออาหารหมดนกพิราบทั้งฝูงก็บินพรึบพรั่บไปพร้อมกัน

    ........แม่สตี..... แม่ไม่รักฉันแล้วหรือ.... ทำไมไม่มาหาฉัน... ฉันรอแม่มานานแล้ว...เสียงคราวนี้ดังชัด คราวนี้สตีพยายามหันไปหาต้นเสียงว่ามาจากทางไหนจนสายตากวาดไปจับอยู่ตรงสถานที่หนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสนามหลวงนัก สถานที่แห่งนั้นทำให้สตีไม่สามารถละสายตาไปได้จึงเอ่ยปากถามเพื่อนสาวออกไป

    “บัว ที่นั่น คืออะไรหรือดูเหมือนเป็นศาลอะไรซักอย่าง” ไม่พูดเปล่าพลางชี้มือไปทางที่ตั้งของศาลที่มีรั้วสีขาวล้อมรอบ
    “อ๋อ นั่นมันศาลเจ้าพ่อหลักเมืองไงตี ไม่เคยเข้าไปหรือ อยากเข้าไปไหว้ไหม”เพื่อนสาวเอ่ยชวน

    “ไปซิทำไมเรามาวัดพระแก้วกันหลายครั้งแต่ไม่เคยเข้ามาที่นี่เลย ละ บัว”

    “เอ๊า ก็ หล่อน น่ะ มาทีไรก็ไปแต่วัดพระแก้วชั้นจะไปรู้ได้ไงว่าอยากไปไหว้ที่อื่นด้วย”

    เมื่อสองสาวเดินเข้ามาถึงในศาล ผู้คนมากมาย ต่างถือดอกธูปเทียนเพื่อมา สักการะเจ้าพ่อหลักเมือง ผ้าแพรสีรุ้งถูกผูกเอาไว้ที่หลักเมืองจำลองสองต้นทางด้านนอกแต่สายตาของสตีกลับจับจ้องไปที่ศาลเล็กๆทางด้านขวามือของประตูทางเข้าเหมือนดั่งมีแรงดึงดูดให้สตีสาวเท้ายาวๆอย่างรีบเร่งเหมือนมีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่หล่อนต้องการจะพบอยู่ที่นั่น

    ภายในศาลเป็นที่ตั้งของพระเสื้อเมืองพระทรงเมืองพร้อมเทพปกปักเมืองอีกสามองค์ซึ่งสตีไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน หล่อนนั่งพับเพียบลงพร้อมกราบแล้วตั้งจิตอธิฐานพลันวูบหนึ่งในจิตใจของหล่อนเกิดอาการเศร้าอย่างสุกซึ๊งถึงกับน้ำตาเอ่อออกมาจนไม่สามารถระงับได้ ในจิตของหล่อนมีเสียงวนเวียนอยู่ในหัวว่า

    “ช่วยปกปักคุ้มครองเค้าด้วย ช่วยให้เมืองปลอดภัย ชั้นจะรอเค้าอยู่ที่นี่ ที่ตรงนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น” น้ำตาที่พาลเอ่อล้นออกมาไม่หยุดทำให้บัวเพื่อนสาวตกใจจนต้องเขย่าตัวเพื่อนรักเนื่องจากได้สะกิดเรียกสตีแล้วแต่เหมือนหล่อนจะไม่ได้ยินเสียงของบัวแต่อย่างใด

    “ตีเป็นอะไรทำไมจู่ๆร้องไห้อีกแล้วเมื่อกี๊ชั้นเรียกตั้งนานไม่เห็นจะได้ยิน”นิโลบลเอ่ยด้วยน้ำเสียงวิตก

    สตีหันมามองเพื่อนด้วยสายตาอันเศร้าสร้อยเพราะอารมณ์ที่ค้างมาจากเมื่อครู่ทำให้หล่อนต้องตั้งสติก่อนที่จะกล่าวอะไรออกไป

    “บัว เมื่อซักครู่นี้ใจของตีมันไปนึกถึงอะไรไม่รู้” สตีตอบเพื่อนด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
    นิโลบลขยับตัวลุกขึ้นแล้วพยุงเพื่อนสาวออกไปจากศาลแล้วพาไปนั่งที่ม้านั่งข้างนอกศาลพร้อมเอ่ยถามว่ามันเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น

    “จู่ๆตีก็ควบคุมความคิดไม่ได้แล้วเหมือนในสมองของตีมันไปขอให้พระคุ้มครองใครก็ไม่รู้ แล้ว บอกว่า ตี จะรอ แต่ บัวตีไม่รู้ว่าตีกำลังรอใคร แล้วให้คุ้มครองใคร” น้ำเสียงของสตีเริ่มสับสน จนเพื่อนสาวถอนใจ

    “อืม ตี เราว่านะมันชักจะยังไงอยู่แล้วละหรือว่าที่นี่เป็นที่ที่ตีเคยคุ้นมาก่อนหรือเปล่าเราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรทำนองนี้หรอกนะแต่ตีต้องใจเย็นๆค่อยๆคิดทำใจให้สงบๆไว้ก่อน นี่คงจะหิวน้ำแล้วละนั่งพักอยู่นี่ก่อนนะเราจะไปซื้อน้ำมาให้” นิโลบล เดินผละออกไปปล่อยให้สตีนั่งอยู่เพียงลำพังคนเดียว

    สายลมพัดวูบผ่านตัวของสตีพร้อมเสียงที่ลอยมาตามลมทำให้หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวสายลมอ่อนพัดเหมือนจะโอบกอดเอาตัวของหล่อนเอาไว้มันช่างอบอุ่นเหมือนมีท่อนแขนแข็งแรงมาโอบกอดร่างกายของหล่อนน้ำตาเริ่มเอ่อล้นออกมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้เป็นน้ำตาแห่งความปิติเหมือนได้พบกับสิ่งที่ทำให้หัวใจของหล่อนอบอุ่น

    ......แม่สตีจ๋า…...ฉันคิดถึงหล่อนเหลือเกิน..... เสียงทุ้มดังเหมือนเสียงกระซิบอยู่ข้างหูทำให้สตีขนลุกซู่ด้วยความตื้นตัน เสียงของใครคนหนึ่งทำให้หล่อนรู้สึกปิติในใจได้ถึงขนาดนี้

    สตีเอื้อมมือไขว่คว้าเหมือนพยายามจะจับต้องอุ้มแขนอันอบอุ่นอันนั้นแต่ก็เหมือนกับไขว่คว้าอากาศธาตุทำให้หล่อนเจ็บที่หัวใจอย่างที่สุดซึ้งแล้วสายลมวูบนั้นก็วูบหายไปเหลือไว้เพียงแต่ความว่างเปล่า

    นิโลบลไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปเมื่อเห็นอาการของเพื่อนสาวที่นั่งอยุ่เพียงลำพังที่ม้านั่งแต่กลับเหมือนมีลำแสงประหลาดห่อหุ้มตรงบริเวณนั้นเป็นแสงสีนวลตาที่ยากจะอธิบายได้ว่ามันคืออะไร

    นับตั้งแต่นั้นมาสตีก็มานั่งที่ม้านั่งตัวเดิมทุกๆเช้าแล้วเหม่อมองไปทางศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเหมือนรอคอยใครซักคน

    สตีมานั่งรออยู่ที่ม้านั่งตัวเดิมด้วยความหวังว่าใครคนหนึ่งที่หล่อนกำลังรอคอยอยู่จะปรากฎตัวออกมาให้ได้พบ คนที่หล่อนรอคอยมากตลอด คนที่อยู่ในความฝัน เสียงเรียบทุ้มที่เอื้อนเอ่ย ยามเรียกขาลชื่อของหล่อนช่างอบอุ่นนัก หล่อนรอวันที่วันเวลาของเค้าและเธอจะได้มาบรรจบพบกันไม่ว่าจะเป็นในลักษณะใดก็ตาม

    ..... แม้นมีอุปสรรคขวากหนาวขอตามไม่ยอมพลัดพรากจากกันจะชาติไหนๆไม่ยอมห่างไกลกันดวงจิตผูกพันธ์รักนั่นมีไว้เพียงเธอ คงเป็นรอยบุญมาหนุนนำรอยกรรมรอยเกวียนหมุ่นเปลี่ยนเสมอให้เราได้มาเจอะเจอ ชั้นและเธอพบกันร่วมสุขสมดังรอคอย....

    จากคุณ : ไม้ยมก&แหนมมัด - [ 17 ส.ค. 47 01:07:45 ]