ขออภัย ทีแรกคิดว่าไม่ทัน พอดีซ่อมเครื่องได้ และผู้ช่วยมากันตรึม ดังนั้นโพสต์ให้ครึ่งหนึ่ง พรุ่งนี้โพสต์ที่เหลือ
**********ถึงปั๊บ ท่อนที่เหลือยังไม่โพสต์นะ พรุ่งนี้จะจัดการให้ พอดีพี่โตมาเพิ่มเติมหลายหน้าเลย**********
วั่น หลี่ ฉรั่ง เฉิง ด่านเจี๋ยหยูกวาน เทือกเขาฉีเหลียนซาน มณฑลกานสู
วั่น หลี่ ฉรั่ง เฉิง หรือกำแพงหมื่นลี้
สาเหตุที่เรียกชื่อเช่นนี้ย่อมเนื่องมากจากความยาวของมันซึ่งเริ่มตั้งแต่ด่านเจี๋ยหยูกวาน มณฑลกานสูด้านทิศตะวันตกไปถึงด่านซานไห่กวนด้านตะวันออกในอ่าวเลี่ยวตัง จรดชายแดนเกาหลี ตัวกำแพงโดยตลอดก่อสร้างขึ้นจากอิฐหินแข็งแกร่ง แต่ก็มีบางส่วนที่อยู่ในพื้นที่กันดารยากแก่การขนย้ายก้อนหินขนาดใหญ่ ก็จะทำการสร้างกำแพงจากการใช้ทรายและดินเหนียวบดอัดลงไปเป็นชั้นๆ มีความแข็งแรงทนทานไม่ต่างจากก้อนหินที่แข็งแกร่งเลยทีเดียว กำแพงยาวนี้ยืนยงมาตั้งแต่สมัยเลียดก๊ก โดยในสมัยนั้นแต่ละแคว้นต่างสร้างกำแพงยาวขึ้นทางตอนเหนือเพื่อป้องกันการรุกรานของพวกชนเผ่านอกด่าน เช่น พวกซ่งหนู พวกหู พวกเหลียว เป็นต้น
ต่อมาเมื่อมาถึงรัชสมัยของจักรพรรดิ์ฉินฉือหวง หรือจิ๋นซีฮ่องเต้แห่งแคว้นฉิน ได้ทำการรวบรวมแว่นแคว้นต่างๆ ประกาศตนเป็นจักรพรรดิ์องค์แรกของประเทศจีน หลังจากนั้นจึงทำการต่อเชื่อมกำแพงทั้งหลายเข้าด้วยกันเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการรวมอำนาจ ว่ากันว่าราษฎรนับหมื่นนับแสนได้ถูกเกณฑ์มาใช้งานอย่างทารุณ ในการซ่อมสร้างกำแพงครั้งใหญ่นั้นปรากฏคนบาดเจ็บล้มตาย ซากศพถูกฝังไว้ในฐานกำแพงมากมาย ความคับแค้นของเหล่าทวยราษฎร์นี้ทำให้ราชวงศ์ฉินหลังสมัยพระเจ้าฉินสื่อหวงตี้มีสถานะอ่อนแอ ไม่นานจึงเกิดการทำสงครามปฏิวัติ แผ่นดินวุ่นวายยุ่งเหยิง งานต่อเชื่อมกำแพงก็ต้องหยุดชะงักลงในที่สุด
ต่อมาเมื่อถึงราชวงศ์หมิงกำแพงเหล่านี้จึงได้ถูกเชื่อมต่อกันเสร็จสมบูรณ์ มีความยาวนับหมื่นลี้ จนผู้คนเรียกขานว่า "วั่น หลี่ ฉรั่ง เฉิง (กำแพงหมื่นลี้)"
และบนกำแพงใหญ่ที่มีความยาวนับหมื่นลี้นี้ก็ประกอบด้วยด่านหน้าสำคัญป้องกันการรุกรานขอชนเผ่าป่าเถื่อนหล
ายด่าน หนึ่งในนั้นก็คือ "ด่านเจี๋ยหยูกวาน" ซึ่งอยู่ห่างไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของนครปักกิ่ง ในมณฑลกานสู
และเวลานี้ด่านอันสำคัญได้พร้อมทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง!!!!
ฉินอ๋องจูคังยืนอยู่บนตัวกำแพงหมื่นลี้ ซึ่งมีความกว้างกว่า 30 เชี๊ยะ สูงจากพื้นกว่า 40 เชี๊ยะ
( 1 เชี๊ยะประมาณ 10 ชุ่น หรือ10 นิ้ว )
ด้านหลังของเขามีทหารม้าเข้าแถวเรียงรายอย่างเป็นระเบียบอยู่เจ็ดถึงแปดแถว พวกมันทำหน้าที่กองลาดตระเวณบนกำแพง ถือเป็นมาตรการป้องกันอย่างหนึ่ง มิเพียงเท่านั้นตลอดรายทางอันยาวเหยียดยังจัดวางมือธนู และเครื่องป้องกันการเข้าตีเอาไว้อย่างพรั่งพร้อม ไม่ว่าจะเป็นก้อนหิน ท่อนซุง หม้อขนาดใหญ่สำหรับคั่วกรวดและทราย ขอเพียงมีข้าศึกบุกเข้ามามือธนูก็จะอาศัยข้อได้เปรียบที่อยู่ในจุดที่สูงกว่าระดมยิงเข้าใส่ข้าศึกได้จากระยะที่ไกลจนแทบมิน่าเชื่อ จนข้าศึกต้องถอยร่นออกไปในที่สุด หรือหากข้าศึกสามารถบุกเข้าประชิดกำแพงได้ ก็ยังต้องเผชิญกับก้อนหิน ท่อนซุง และกรวดทรายที่คั่วจนร้อนแดงทุ่มเทเข้าใส่จนต้องแตกฮือกลับไป
เฉพาะตัวกำแพงเองนั้นก็สร้างอยู่บนภูเขาสูงยากแก่การปีนป่าย ทุกๆ ครึ่งลี้ยังก่อเป็นป้อมค่ายหลังหนึ่งสูงขึ้นไปจากกำแพงอีกหลายสิบเชี๊ยะ ทุกๆ ป้อมมีระฆังทองเหลืองขนาดใหญ่แขวน เพื่อตีบอกสัญญาณเกิดเหตุไว้ประจำทุกหอและบางป้อมยังมีห้องนอนและที่เก็บของ
นอกจากนี้สิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันกำแพงใหญ่ยังมีแท่นคบเพลิง (บางแท่นอยู่ห่างจากตัวกำแพงออกไป) ตั้งไว้ทุกระยะประมาณ 40 ลี้
เพื่อใช้ส่งสัญญาณไฟไปยังอีกฟากหนึ่งของอาณาจักรได้ภายใน 12 ชั่วยาม สัญญาณนี้แบ่งได้ออกเป็นหลายลักษณะ ในยามกลางวันแท่นคบเพลิงจะปล่อยควันส่งสัญญาณ ส่วนตอนกลางคืนจะส่งเป็นแสงไป
สำหรับสัญญาณควันนั้นจะใช้มูลสุนัขป่าเป็นเชื้อเพลิง เพราะควันที่เกิดจะลอยค้างอยู่บนท้องฟ้าเป็นเวลานาน
จำนวนแท่นที่ใช้ส่งสัญญาณไฟหรือควันนั้นก็จะมีความสำคัญแตกต่างกันไปตามรหัสที่ต้องการสื่อสาร
ถ้ามีสัญญาณควันหรือไฟจากแท่นเดียวหมายถึงบริเวณนั้นถูกกองทหารเล็กๆ (ไม่เกิน 500 คน) โจมตี
ถ้ากองกำลังมากกว่า 1 หมื่นคนก็ใช้ 4 แท่น ที่อยู่แยกจากกันให้เห็นชัด
นอกจากนี้บนหอแต่ละแห่งเองก็ยังประจำการอยู่ด้วยทหารนับร้อยนับพันแยกแยะยศตำแหน่งโดยอาศัยตราประจำตัว รอจนมีสัญญาณแจ้งเหตุ ทหารยามจะอาศัยการเขียนแผ่นป้ายคำสั่งแล้วให้ม้าเร็วไปแจ้งยังป้อมต่างๆ เมื่อนั้นเหล่าทหารหาญแห่งราชวงศ์หมิงก็จะกรูไปยังจุดเกิดเหตุ ระดมกำลังรับการจู่โจม ด้วยมาตรการขนาดนี้ต่อให้กำลังนับแสนก็มิแน่ว่าจะฝ่ากำแพงที่วางกำลังป้องกันอย่างแน่นหนานี้เข้ามาได้!!!!
ด้วยสาเหตุเหล่านี้ วั่น หลี่ ฉรั่ง เฉิง นอกจากเป็นตัวกำแพงยาวเหยียดที่เป็นสัญลักษณแสดงถึงการรวมอำนาจแล้ว ยังเป็นตัวแทนของความยิ่งใหญ่ของชนชาวฮั่นอีกด้วย!!!
อ๋องฉินผู้สำเร็จราชการแทนฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน สูงวัยกว่าเมื่อครั้งที่เคยพบกับฮั่นตงเกือบ 10 ปี ผมและหนวดเคราบางส่วนเปลี่ยนเป็นสีขาวอยู่ประปราย ทว่าช่วงเอวยังตั้งตรงประดุจปลายทวน แสดงให้เห็นว่าวันเวลาที่ผ่านมามิได้กัดกร่อนให้คนผู้นี้ร่วงโรยลงตามวัยแต่อย่างใด
จะมีเพียงสิ่งเดียวที่แสดงให้เห็นว่าเขาสูงวัยขึ้นก็คือริ้วรอยบนใบหน้าที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น อ๋องฉินในวันนี้ยังคงมีใบหน้าที่สง่างาม เค้าหน้าแฝงสง่าราศี ที่สำคัญดูเหมือนช่วงเวลาเกือบสิบปีที่ผ่านมานี้ได้ช่วยให้ความโศกเศร้าจากการสูญเสียบุตรชาย ซึ่งก็คือ "จูอู่เอี๋ยน" นั้นได้คลายลงเป็นอันมาก อ๋องฉินทำความเข้าใจแล้วว่า สมควรลืมเลือนอดีตคิดถึงเพียงวันนี้และวันข้างหน้า ตัวเขาในเวลานี้มีเพียงสิ่งสำคัญที่ต้องปกป้องและหวงแหนอยู่เพียงสองสิ่งเท่านั้น!
หนึ่งนั้นก็คือ บุตรสาวนอกสมรส ที่เหลืออยู่เพียงผู้เดียว
หลังจากที่จูคังสูญเสียบุตรชาย ต้นเหตุก็มาจากเรื่องการแก่งแย่งในราชสำนัก เขาจึงได้ตัดสินใจส่งบุตรีนอกสมรสให้ออกไปอยู่ภายนอกวัง เพื่อให้พ้นจากการแก่งแย่งช่วงชิง ทั้งยังปกปิดชาติกำเนิดของนางเอาไว้ กระทั่งตัวนางก็ทราบเพียงว่าเขาเป็นบิดาบุญธรรมเท่านั้น
อ๋องฉินส่งบุตรีไปยังหันซาน มอบให้แก่ "แม่ชีกล้วยไม้ขาว" ขอร้องให้รับนางไว้เป็นศิษย์ แม่ชีกล้วยไม้ขาวเมื่อเห็นว่าผู้ขอร้องนางเป็นถึงท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ ดังนั้น แม้นมิเต็มใจแต่ยังคงต้องรับเด็กหญิงนั้นเอาไว้
กาลเวลาล่วงเลยไปหลายปี เด็กหญิงเติบใหญ่เป็นเด็กสาว ด้วยสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด บวกกับรูปร่างหน้าตาที่สวยสดงดงาม ในที่สุดแม่ชีกล้วยไม้ขาว ก็อดมิได้ที่จะรักใคร่เด็กสาวผู้นี้ พลังฝีมือของหันซานมีเท่าไหร่ ล้วนทุ่มเทถ่ายทอด ชี้แนะแก่อีกฝ่าย กระทั่งสุดยอดคัมภีร์ที่ตกทอดกันมาตั้งแต่สำนักเริ่มก่อตั้งก็ล้วนให้นางศึกษาจนหมดสิ้น
เด็กสาวผู้นั้นก็ไม่ทำให้แม่ชีกล้วยไม้ขาวต้องผิดหวัง นางร่ำเรียนฝึกฝนวิทยายุทธโดยไม่ปริปากบ่น บวกกับที่เป็นคนฉลาด ในที่สุดพลังฝีมือกลับเหนือล้ำไปยิ่งกว่าผู้เป็นอาจารย์ และได้เป็นศิษย์เอกผู้สืบทอดสำนักหันซานต่อจากแม่ชีกล้วยไม้ขาวที่มาจากไปโดยมิมีผู้ใดคาดคิด
ซึ่งนั่นก็คือ ...เหวินเหม่ยชิงเอง!
จูคังไม่ห่วงนางอีกแล้ว เนื่องเพราะเวลานี้ยังมีผู้ใดบ้างที่มิรู้จัก ยอดฝีมือสตรีอายุเยาว์ที่มีพลังฝีมือโดดเด่นผู้นี้บ้าง?
กระบวนท่า ธรรมเดียว อันร้ายกาจที่นางบัญญัติขึ้น ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันว่า
จะไม่มีผู้ใดข่มเหงรังแกนางได้โดยง่าย!!!!
ดังนั้นสิ่งที่อ๋องฉินจูคังผู้นี้ยังต้องเป็นห่วงอยู่ก็เหลือเพียงสิ่งเดียวนั่นก็คือ
บ้านเมือง!!!!
ราชวงศ์หมิงที่ก่อตั้งมาด้วยหยาดเหงื่อของบรรพบุรุษ ย่อมมิอาจให้ผู้ใดรุกรานและยึดครองได้โดยง่าย
และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ท่านอ๋องผู้นี้มิยอมใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ในเมืองหลวง กลับดั้นด้นมาที่นี่ ตรากตรำร่างกาย เพื่อรับมือกับศัตรูที่คิดแย่งชิงสิ่งที่หวงแหนของตน!!!!
.....................
...................................
ดวงตะวันลอยเด่นตรงศีรษะ สำหรับอากาศยามเที่ยงในพื้นที่แถบนี้ นับได้ว่าร้อนระอุจนยากจะทานทน เหตุผลก็เพราะสภาพภูมิประเทศ นอกจากจะเป็นภูเขาสูงแล้ว ยังประกอบไปด้วยทะเลทราย จัดเป็นบริเวณที่มีพื้นที่แห้งแล้งและกันดารที่สุดจุดหนึ่ง
นอกกำแพงหมื่นลี้ทะเลทรายโกบีอันกว้างใหญ่ผืนหนึ่งทอดตัวอยู่อย่างสงบ บางคราจึงมีลมพัดพามาบ้าง ทว่านอกจากมิช่วยให้ความร้อนบรรเทาเบาบางลงแล้ว กลับทำให้ร้อนระอุยิ่งขึ้น เนื่องเพราะมันพัดพาเอาความร้อนบนผิวหน้าทรายมาด้วยนั่นเอง
ดังนั้นยามกลางวันในทะเลทรายโกบีอันร้อนระอุราวเตาไฟ จึงเงียบสงบเป็นพิเศษ
เว้นแต่สิ่งมีชีวิตที่จำเป็นต้องอยู่อาศัยในดินแดนนี้โดยธรรมชาติ คนและสัตว์อื่นๆ ล้วนหลีกเลี่ยงโดยเลือกหลบพักอยู่ในที่ซึ่งเย็นฉ่ำและชุ่มชื้นกว่า
และที่ที่ว่านั่นก็คือพื้นที่สีเขียวซึ่งมีแหล่งน้ำกลางทะเลทราย ซึ่งมีกระจายอยู่เพียงไม่กี่แห่งทั่วทั้งท้องทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล ที่เหล่านี้นับเป็นสรวงสวรรค์ที่นอกจากจะมีน้ำ อันเปรียบเสมือนเส้นเลือดหล่อเลี้ยงชีวิตของนักเดินทางแล้ว ยังมีพืชพรรณธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ ผู้คนและสัตว์เมื่อเดินทางผ่านทะเลทรายต่างต้องแวะไปเติมน้ำหรือพักแรมเสมอๆ
มีคนกล่าวว่ามันเป็นปรากฏการณ์ปาฏิหารย์ที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของธรรมชาติ บางคนถึงกับเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ประทานมันมาให้ชนเผ่าที่จำต้องอาศัยอยู่ในทะเลทรายนั่นเอง
เวลานี้ผืนดินโอเอซิสก็ได้ต้อนรับการมาเยือนของคนและสัตว์อีกครั้ง และไม่ใช่เพียงจำนวนเล็กน้อย เนื่องด้วยทั้งคนและม้าก่อสร้างกระโจมนับสิบนับร้อยหลังยาวเหยียดจนแทบเต็มพื้นที่ นับดูคร่าวๆ มีจำนวนหลายหมื่นคนทีเดียว
เป็นค่ายพักแรมของกองกำลังชาวหู ชนเผ่านี้นับถือพระเจ้าที่แตกต่างกับชาวฮั่น ซึ่งมีบางส่วนใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่ในทะเลทราย และบางส่วนอาศัยอยู่ในดินแดนภาคกลาง โดยมีเมืองหลวงอยู่ที่หยินฉวน เขตปกครองตนเองหนิงเซี่ย
เนื่องจากพวกมันมีจำนวนไม่กี่หมื่นคน โดยปกติจึงไม่กล้าที่จะขัดแย้งกับชาวฮั่น ทว่าครั้งนี้พวกมันกลับร่วมกำลังกับชนเผ่าอื่นๆที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายโกบีมาได้หลายหมื่น และคิดบุกจู่โจมด่าน "เจี๋ยหยูกวาน"
การกระทำเช่นนี้มิใช่โฉดเขลาเกินไปหรอกหรือ?
พวกมันไม่กี่หมื่นสามารถผ่านกำแพงยาวหมื่นลี้ของชาวฮั่นเข้ามาได้?
ต่อให้มันทำได้พวกมันมีปัญญาต่อกรกับกองกำลังนับแสนของชาวฮั่นได้หรือ?
ถ้าเช่นนั้นพวกมันคิดกระทำประการใด?
จากคุณ :
ทีมแต่งนิยาย
- [
26 ส.ค. 47 20:36:56
]