ได้ยินว่าวันนี้ หลังหกโมง ไปถึง เที่ยงคืน พันทิบปิดซ่อม เลยรีบโพสต์ซะก่อน มีอยู่เท่านี้แหละฮับ ขออภัย
ยกความดีให้บ่างที่มาเตือนเน้อ แว้บบบบบ ตอนที่แล้วมีมาแปะเพิ่ม ใครยังไม่เห็น ย้อนไปดูด้วยเน้อ
**********
ห่างไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองหยางโจวหลายร้อยลี้ เป็นที่ตั้งของเมืองนานกิงอันเป็นราชธานีของราชวงศ์หมิง วันนี้ทั่วทั้งเมืองยังคงคึกคัก และคับคั่งไปด้วยผู้คน ราษฎรยังคงใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติสุข ราวกับมิได้รับผลกระทบจากศึกสงครามที่กำลังจะปะทุ ณ ชายแดนที่ห่างไกลแต่อย่างใด
ทว่าก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะที่นี่เองก็มีบุคคลซึ่งรับรู้เกี่ยวกับเรื่องการศึกชายแดนที่ด่านด่านเจี๋ยหยูกวานอยู่อย่างน้อยก็คนหนึ่ง
บุคคลนั้นคือ เฉินซื่อ ขุนนางระดับสอง รับตำแหน่งตุลาการแปดมณฑล ฉายา "ตุลาการเที่ยงธรรม" หลังจากที่คนผู้นี้ถูกเรียกตัวกลับสู่เมืองหลวงแล้ว ก็ต้องวิ่งวุ่นดูแลกิจการภายในวังแทนฉินอ๋องซึ่งนำกำลังไปตรึงทัพหูจนแทบจะมิได้รับข่าวคราวในแวดวงยุทธจักรอีกเลย
เวลานี้ท่านผู้นี้กำลังรอคอยการมาของบุคคลสองคน เพื่อที่จะแจ้งข่าวคราวความคืบหน้าที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องพิพาทระหว่าง "หอห้ากระบี่" กับ "ฉิกจับอิด" ทั้งเรื่องโรคประหลาดที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในเวลานี้ นอกจากนั้นยังมีเรื่องการหายสาบสูญของผู้คน รวมถึงคดีลอบสังหารเตียหงี อดีตผู้นำของหอห้ากระบี่ และแม่ชีกล้วยไม้ขาวแห่งหันซาน
เรื่องทั้งหมดเกิดในเวลาไล่เลี่ยกัน ดูเผินๆ คล้ายไม่มีส่วนเกี่ยวโยงกัน แต่ถ้าคิดให้ละเอียดอาจเป็นฝีมือของกลุ่มคน ที่ต้องการสร้างความปั่นป่วนแก่ต้าหมิงก็เป็นได้ ตุลาการเที่ยงธรรมยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ขณะนั้นเขาได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า
"เรียนตุลาการ ท่านฟา กับท่านโกย มาถึงแล้วขอรับ" คนกล่าวคือ หวงเหลย ซึ่งรับหน้าที่องครักษ์ของตุลาการเที่ยงธรรมในเวลานี้
"นายทัพหวง รีบเชิญ!" เฉินซื่อร้องสั่ง
"ขอรับ" หวงเหลยรับคำเดินออกไปด้านนอก ชั่วเวลาไม่นาน ปรากฏผู้คนสองคนติดตามมันมา
"ผู้น้อยเสี่ยวโกย คารวะท่านตุลาการ"
"ผู้น้อยฟาหลินซี คารวะท่านตุลาการ"
ที่แท้ทั้งสองคนที่ว่าก็คือ ฟาหลินซี และเสี่ยวโกยนั่นเอง ทั้งสองหลังจากแยกย้ายจากฮั่นตงและเสี่ยวซาก็เดินทางไปตรวจสอบเรื่องผู้คนที่ป่วยเป็นโรคผีตายซาก เวลานี้พวกมันได้เดินทางมาพบตุลาการถึงเมืองหลวงแล้ว คิดว่าคงมีเบาะแสคืบหน้า
"นายทัพหวง ท่านออกไปก่อน เรามีเรื่องต้องพูดคุยกับคนทั้งสอง" ตุลาการเฉินซื่อ หันไปกล่าวกับหวงเหลย ซึ่งเงยหน้าขึ้นมองฟาหลินซีและเสี่ยวโกยแวบหนึ่ง และค่อยๆ ล่าถอยจากไป
หลังจากนั้น ตุลาการจึงกล่าวขึ้นเสียงเบาว่า
"ท่านฟา ท่านโกย มีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง คราวที่แล้วอาตงแจ้งแก่เรามาในพิราบสื่อสารว่าสามารถแทรกซึมเข้าสู่พรรคฉิกจับอิดได้แล้ว ส่วนเรื่องที่ให้ไปสืบเวลานี้ยังไม่คืบหน้าเท่าไรนัก!"
ฟาหลินซีและเสี่ยวโกยมองหน้ากัน ปรากฏสีหน้าละอายใจกล่าวว่า
"เรียนท่านตุลาการ ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลง พี่ฮั่นเพื่อช่วยพวกเราจึงลงมือกับคนของฉิกจับอิด ดังนั้นเวลานี้ได้แต่ถอนตัวออกมา"
"อะไร! อาตงลงมือกับคนของฉิกจับอิด! พวกท่านทั้งสองพลังฝีมือมิใช่ชั่ว เหตุใดยังต้องให้มันลงมือ?!!"
"เรื่องนี้กล่าวไปยืดยาวนัก มิเพียงพวกเรา กระทั่งแม่นางเหวินเหม่ยชิงแห่งหันซานก็เสียทีใต้เงื้อมมือของคนผู้นี้ ...มันเรียกว่า หัตถ์เทพบัญชา มิเพียงมีพลังฝีมือเข้มแข็งลึกล้ำ ยังเชี่ยวชาญค่ายกลกับดัก หากมิได้น้องแซ่ฮั่นช่วยเหลือ น่ากลัวพวกเราคงมิมีชีวิตอยู่แล้ว" ฟาหลินซีตอบข้อสงสัยของอีกฝ่าย และเล่าเรื่องราวในถ้ำลับใต้ดินให้ตุลาการฟังจนสิ้น
เฉินซื่อรับฟังจนหน้าแปรเปลี่ยน เมื่อฟังจบกล่าวว่า
"ที่แท้โรคผีตายซากเกี่ยวข้องโดยตรงกับฉิกจับอิด ยังมีพวกมันเมื่อลอบผลิตอาวุธ คงมีแผนการร้าย"
"น่าเสียดาย ถ้ำดังกล่าวถูกถล่มปิดทางเข้าออกจนสิ้น ทำให้มืดแปดด้าน ไม่เช่นนั้นพวกเรายังสามารถสืบสาวเรื่องราวที่เกิดขึ้น ตอนนี้เท่ากับว่าไม่มีหลักฐานใดๆ เลย " เสี่ยวโกยกล่าวอย่างเสียดาย
"อืมม งั้นพวกเราควรทำอย่างไรดี เวลานี้อาตงอยู่ที่ใด?" ตุลาการกล่าวถามถึงฮั่นตง
"พี่ฮั่นแยกไปทำธุระสำคัญ บอกว่าภายในไม่ช้าจะส่งหลักฐานบางส่วนให้ท่านตุลาการ ส่วนเวลานี้เขาอยู่ที่ใดไม่สามารถบอกกล่าวได้" เสี่ยวโกยพูด
"เช่นนั้นคงเหลือแต่เรื่องผีตายซาก ที่พวกเราสามารถสืบหาความจริง แต่พวกเราควรเริ่มที่ใด?" ตุลาการกล่าวด้วยความสับสน
ฟาหลินซีและเสี่ยวโกยสบตากันนิดหนึ่งพร้อมยิ้มออกมา
"ถ้าด้านเบาะแสพวกเราพอจะมีอยู่บ้างเล็กน้อย" ฟาหลินซีกล่าว
"ยังมิรีบบอก! ปล่อยให้เราหนักใจเช่นนี้" ตุลาการต่อว่า
"ผู้น้อยขออภัย เพียงแต่เรื่องนี้เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของพวกเราเท่านั้น ยังมิสามารถยืนยันได้ ดังนั้นจึงไม่ได้บอกออกไป"
"รีบกล่าว" ตุลาการเร่ง เพราะรู้สึกสงสัยเต็มที
"พวกเราได้ทำการจับตัวผู้ที่เป็นโรคผีตายซากจำนวนหลายคนกลับมาด้วย หลังจากที่ตรวจสอบพวกมันแล้วก็พบว่า พวกมันมีจุดเชื่อมโยงกันอยู่ประการหนึ่ง"
"เป็นอันใด?!!"
"พวกมันทุกคนเป็นผู้ที่ดื่มสุรา! มิเพียงดื่มสุรา ยังเป็นพวกที่ไม่เคยว่างเว้นจากการดื่มแม้เพียงซักวัน!" เสี่ยวโกยร้องด้วยความมั่นใจ
"อย่างนั้นรึ?" ตุลาการเที่ยงธรรมเลิกคิ้วข้างหนึ่ง
ตลอดมาเราเฝ้าสืบพฤติกรรมของคนติดโรคจำนวนมาก พบว่าพวกมันบางคนรวย บางคนจน บางคนหนุ่ม บางคนแก่ แต่ที่พอจะคล้ายกันประการเดียวคือต่างชมชอบสุรายิ่ง
อืม... เฉินซื่อคราง "อย่างนั้นพวกท่านไปยังโรงเตี๊ยมฉิกจับอิด สืบสาวเรื่องนี้ให้แก่เรา ส่วนพวกที่ป่วยเป็นผีตายซากนำมาที่นี่ เราจักให้หมอหลวงตรวจสอบพวกมันโดยละเอียด!"
"น้อมรับคำสั่ง!" ฟาหลินซีและเสี่ยวโกยกล่าวโดยพร้อมเพรียง จึงแยกย้ายกันล่าถอยออกมา
...............
..............................
โรงเตี๊ยมฉิกจับอิดยังคงครึกครื้นไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าใกล้จะมีเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างฉิกจับอิดและหอห้ากระบี่การค้าของพวกมันก็ยังวุ่นวายแทบทั้งวัน มิมีทีท่าว่าจะได้รับผลกระทบจนต้องปิดตัวลง
นอกจากนั้นลูกค้าผู้ใช้บริการมิเพียงไม่เกรงกลัว กลับให้การอุดหนุนพวกมันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ซึ่งถ้าจะพูดให้ถูก มันกลายเป็นสิ่งจำเป็นประการหนึ่งของชีวิตผู้คนไปเสียแล้ว! หากไม่มีพวกมันชาวบ้านต่างหากที่จะเดือดร้อน เพราะเท่ากับว่าเหล่าราษฎรขาดเส้นเลือดใหญ่ที่มาหล่อเลี้ยงการดำรงชีวิตไป เช่นนั้นพวกมันสามารถอยู่ได้หรือ?
ฟาหลินซีและเสี่ยวโกยเดินขึ้นสู่เหลาโรงเตี๊ยมเลือกโต๊ะตัวหนึ่งที่ติดริมหน้าต่าง ห่างจากคนทั้งหลาย ทั้งคู่พึ่งนั่งลงก็พลันได้ยินเสียงบุรุษผู้หนึ่งคำรามเสียงดังขึ้น
"พวกเจ้ามัวทำอันใดกัน!!! ป่านนี้ยังไม่ยกสุรามาให้ข้า อย่านึกว่าข้าไม่รู้เท่าทันนะ! หึ... โรงเตี๊ยมฉิกจับอิดเวลานี้ มีการจัดฉลองครบร้อยสาขา มิว่าเข้าไปใช้บริการที่ใด ล้วนแจกสุราฟรีหนึ่งชั่ง สาขาของพวกเจ้าคิดจะคดโกงหรือไร!!!" คนกล่าวเป็นบุรุษร่างใหญ่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อหยาบ บนโต๊ะมีเพียงถั่วลิสงจานหนึ่งตั้งอยู่ ดูท่าคนผู้นี้เพียงหวังมาดื่มสุราที่แจกเท่านั้น
เสี่ยวเอ้อผู้หนึ่งเห็นเช่นนั้นรีบกระวีกระวาดเข้าไปรับหน้า
"นายท่านโปรดใจเย็น ทางร้านเรากำลังอุ่นสุราอยู่ สำหรับนายท่านทางเราบริการเป็นสองชั่งก็ยังได้" กล่าวจบรีบหัวร่อประจบ
ชายคนนั้นได้ยินก็หัวร่ออกมาบ้าง นั่งลงทันที
เสี่ยวโกยและฟาหลินซีต่างลอบคร่ำครวญในใจว่า "หากในสุรามีปัญหาจริง... การที่ฉิกจับอิดทำเช่นนี้ ไยมิใช่ย่ำแย่ยิ่งแล้วหรือ?"
ทันใดนั้นเอง เสี่ยวเอ้อประคองสุราป้านหนึ่งวางลงบนโต๊ะของทั้งสอง
"นายท่านรับอันใดดีขอรับ"
ทั้งสองมองหน้ากันนิดหนึ่ง เสี่ยวโกยกล่าวว่า
"ขอไก่ย่างตัวหนึ่ง เท่านี้พอ"
"ขอรับ" เสี่ยวเอ้อรับคำแล้วจากไป
"พี่ใหญ่ พวกเราทำเช่นไรดี" เสี่ยวโกยรีบถาม มันเองไม่กล้ารับทานสิ่งของบนโต๊ะแน่นอน
"เจ้ามิต้องทำประการใด เราจัดการเอง" ฟาหลินซีตอบแล้วหันไปร้องสั่ง "เสี่ยวเอ้อ พวกเราต้องรีบเดินทางของพวกนี้เจ้าช่วยห่อให้เราด้วย"
เสี่ยวเอ้อที่พึ่งนำไก่ย่างมาวางบนโต๊ะได้ยินเช่นนั้นพลันกล่าวว่า
"นายท่านรับขนมจีบ ซาละเปาใหญ่พิเศษกินระหว่างทางไหมขอรับ?"
ฟาหลินซีส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ เสี่ยวเอ้อจึงรีบกุลีกุจอนำสิ่งของกลับไปห่อให้ทั้งสอง
ชั่วเวลาไม่นานเสี่ยวเอ้อก็นำมาส่งให้คนทั้งสอง แน่นอนว่าในบรรดาของทั้งหมด ย่อมมีสุราอยู่ด้วย
เสี่ยวโกยมองหน้าฟาหลินซีด้วยความเลื่อมใส ทว่าฟาหลินซีกลับมีสีหน้าหนักใจ ที่แท้ฟาหลินซีหนักใจในเรื่องใด?
แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 47 21:20:22
แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 47 17:23:47
จากคุณ :
ทีมแต่งนิยาย
- [
2 ก.ย. 47 17:12:38
]