CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    วรรณกรรมขายตรง

    ผมนั่งอยู่ในห้องประชุมรวมกับพวกเขา คนขี้แพ้จากทุกสารทิศของเมืองไทย นาทีนี้ผมยังไม่พร้อมจะสารภาพว่าผมเป็นคนขี้แพ้หรือไม่ แต่ผมกล้าพูดอย่างเต็มปากว่าคนอื่น ๆ คือคนขี้แพ้
    เสียงปรบมือดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ดังมาจากสต๊าฟหลายคนซึ่งยืนกระจัดกระจายรอบบริเวณห้อง สตรีอ้วนวัยกลางคนที่นั่งข้างผมเริ่มปรบมือตามจังหวะ เด็กชายวัยรุ่นที่นั่งติดอีกข้างของผมก็เริ่มปรบมือด้วยเช่นกัน สต๊าฟเริ่มชักชวนให้ทุกคนปรบมือพร้อม ๆ กัน สต๊าฟสาวคนหนึ่งมองมาที่ผม เธอยิ้มแย้มดูเป็นมิตร และพยักเพยิกให้ผมปรบมือตาม
    นี่มันลัทธิอะไรวะ ผมคิดอยู่ในใจ
    ผมเริ่มปรบมือตามอย่างขัดเขิน

    “เชื่อพี่ นี่ของดีจริง ๆ ถ้าของไม่ดี พี่ไม่เอามาบอกหรอก บอกกันตรง ๆ พี่ก็ไม่อยากเสียหมาหรอก” เสียงของพี่ช้าง ผู้ที่เคยเป็นรุ่นพี่ในมหา’ลัย บอกกับผมขณะสาธิต เครื่องดื่มอาหารเสริม ซึ่งแกยืนยันกับผมว่าแก้อาการอ่อนเพลียได้เป็นปลิดทิ้ง
    สมัยที่ผมยังเป็นนิสิตอยู่นั่น พี่ช้างกับผมสนิทกันมาก  เรียกได้ว่ามีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน เมากันยันเช้าเป็นนิจก็ว่าได้
    ถึงวันนี้ ผมเลิกดื่มเหล้าร่วม 5 ปีแล้ว และจะด้วยหน้าที่การงานหรืออะไรก็ตามแต่ ก็มีเหตุให้ผมกับพี่ช้างต้องห่างเหินกันไป
    ช่วงเวลาที่ไม่เจอกันนั้น แกเปลี่ยนกิจการมาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นขายนก ขายปลา ให้เช่าพระ แกทำทั้งนั้น แต่จนแล้วจนรอดนั้นกิจการแกก็ไปไม่รอดสักอย่าง ส่วนตัวผมเปลี่ยนงานมาหลายที่ จนในที่สุดก็ได้งานในบริษัทที่ค่อนข้างมั่นคง แต่งานเขียนหนังสือที่เป็นความฝันก็ยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน อาจจะมีบางเรื่องได้ตีพิมพ์ตามนิตยสารอยู่บ้าง แต่ลำพังงานเขียนก็ไม่สามารถประคองเลี้ยงชีพได้ หากปราศจากงานประจำ ผมจึงยังจำนนกับชีวิตในกรอบแห่งความเป็นมนุษย์เงินเดือน
    “นี่นะ ตักใส่อย่างนี้ อย่างละ 2 ช้อนตวงนี่นะ” พี่ช้างยังอธิบายอย่างตั้งใจ “กินไปสัก 7 วันเห็นผล เอ็งตื่นมาจะไม่รู้สึกเพลีย แถมยังกระปรี้กระเปร่าด้วย”
    “เท่าไหร่พี่” ผมบอกตัดบท
    “เฮ้ย ลองชิมดูก่อนก็ได้ พี่ไม่ได้ตั้งใจมาขายของ แต่จะมาบอกว่ามันเป็นของดี”
    “เอาน่า...เท่าไหร่พี่” ผมย้ำคำเดิม
    “ มันมี 2 ราคาสิ” พี่ช้างค่อย ๆ อธิบาย
    “ยังไงพี่”
    พี่ช้างแกก็ตั้งอกตั้งใจอธิบายผมเสียยกใหญ่ ว่าของชิ้นเดียวกันนี้ มี 2 ราคา คือราคาของคนทั่วไป และราคาของสมาชิก ซึ่งแตกต่างกันค่อนข้างมาก  
    “งั้นผมสมัครสมาชิกก็ได้ ค่าสมาชิกเท่าไหร่” ใจผมอยากจะทำอย่างไรก็ได้ ขอเพียงให้มันจบ ๆ ไป
    “สมาชิกก็มี 2 แบบอีกนั่นแหละ”
    ผมรู้สึกปวดจี๊ดขึ้นมาที่ขมับทันที

    สมาชิกมี 2 แบบ แบบแรกสมัครเพื่อซื้อของเท่านั้น แบบนี้จะเสียเงิน 100 บาท อีกแบบเป็นการสมัครเพื่อประกอบธุรกิจ (เหมือนที่พี่ช้างแกทำอยู่) แบบนี้เสีย 900 บาท และจะมีสิทธิได้รับเงินปันผลเมื่อจำนวนเงินซื้อถึงยอด

    ผมมานั่งปรบมือซังกะตายอยู่ในห้องประชุมก็เพราะเลือกสมัครแบบ 900 บาท ทั้งนี้ในใจก็บอกกับตัวเองว่าเพื่อเป็นการขยายฐานทางธุรกิจให้พี่ช้าง
    ผมนั่งมองคนหลายคนเดินขึ้นไปพูดถึงความสำเร็จของตัวเอง
    “ดิฉันทำธุรกิจนี้มา 4 ปี และมีรายได้ ต่อเดือน ห นึ่ ง แ ส น แ ป ด ห มื่ น บาทค่า” หญิงสาวอายุ 17 – 18 ปีพูดอย่างมั่นใจ
    “นี่คือธุรกิจวิเศษที่เปลี่ยนวิถีชีวิตของผมจากคนล้มละลาย ให้กลับมามีชีวิตที่มั่นคงอีกครั้ง” ชายสูงอายุ กล่าวด้วยสีหน้ามีความสุข
    สายตาของผมมองพวกเขาอย่างเหยียดหยาม แต่ภายในใจนั่นร้อนรุ่มสับสน ในความสับสนนั้นกลั่นกรองทุกคำถามออกมาได้เพียงประโยคเดียว
    จริงเหรอวะ?
    “ถ้าไม่ดีจริง พี่จะเอามาแนะนำเอ็งทำไม” เสียงพี่ช้างดังแว่ว มาจากในความทรงจำ

    3 เดือนต่อมา
    กิจการการขายตรงของผมก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เหตุและผลทุกอย่างมันเริ่มมาจากอาหารเสริมชุดที่พี่ช้างเอามาแนะนำผม ด้วยความสัตย์จริง เพียงแค่ผมลองใช้ดู 3 – 4 วันก็เห็นผล ร่างกายผมสดชื่นขึ้นอย่างรู้สึกได้ ผมพยายามถามตัวเองว่าผมรู้สึกไปเอง หรือมันเกิดขึ้นจริง ผมเชื่อว่าผมไม่โกหกตัวเอง ร่างกายผมดีขึ้นจริง ๆ
    ดังนั้น แทนที่ผมจะอายที่จะต้องเอาของไปขายกลับรู้สึกเหมือนกับการบอกบุญก็ไม่ปาน ผมตัดสินใจลาออกจากงานประจำ และตั้งหน้าตั้งตาขายของ ผมขายของได้เรื่อย ๆ ไม่ว่าเจอใครผมก็ขายทั้งนั้น แตกต่างเพียงผมไม่ได้บีบคั้นลูกค้า หากเห็นพวกเขาอึดอัดใจผมจะรีบขอโทษ แล้วทิ้งโบชัวร์แนะนำสินค้าไว้แทน ตอนนี้ผมขยายงานไปแนะนำสินค้าตัวอื่นนอกเหนือจากอาหารเสริม และเริ่มที่จะมีลูกทีมของตัวเอง
    สำหรับงานเขียนนั้น ผมก็ยังเขียนอยู่บ้าง แต่หลังจากส่งต้นฉบับไปทุกอย่างก็เงียบกริบ แม้ว่าผมจะแนบไปษณียบัตรเพื่อให้ทางสำนักพิมพ์ได้ติดต่อกลับมา แต่ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น เพราะไปษณียบัตรอันจ่าที่อยู่ถึงตัวผมนั้นไม่เคยมาถึงสักครั้งเดียว สมัยก่อนตอนที่ผมเริ่มเขียนหนังสือใหม่ ๆ นั้นผมก็ปฏิบัติเช่นนี้ไม่ผิดเพี้ยน ผมคาดว่าในปัจจุบัน การส่งไปษณียบัตรกลับมาอาจจะยาก และน่าหงุดหงิดใจเกินกว่าที่บรรณาธิการจะทำ  

    พอดีว่ามีข่าวการประกวดทำหนังสือทำมือ ผมจึงเริ่มที่จะออกแบบและทำเป็นรูปเล่มออกมา ผมไม่ได้คิดที่จะประกวดในงานดังกล่าว แต่ผมทำหนังสือทำมือรวมเรื่องสั้นของตัวเองเพื่อ ขายคู่กับอาหารเสริม
    ผมนั่งหลังขดหลังแข็งกว่าค่อนคืน ผลิตหนังสือทำมือด้วยตัวเอง ในเล่มรวมงานที่งดงามในความทรงจำของผมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสั้นที่พิมพ์ครั้งแรก เรื่องสั้นที่ได้รับรางวัล และรวมไปถึงเรื่องสั้นที่พิมพ์ตามนิตยสารต่าง ๆ ตลอดจนที่ยังไม่เคยตีพิมพ์ เป็นรวมเรื่องสั้นที่จุเรื่องสั้นไว้มากถึง 16 เรื่อง
    เย็นวันนั้นผมนั่งคุยกับลูกทีม ว่าผมอยากให้ทุกคนช่วยเหลือความฝันของผม โดยการนำรวมเรื่องสั้นของผมไปแนะนำให้กับลูกค้าคู่กับผลิตภัณฑ์ ทุกคนยินดีให้ความช่วยเหลือความฝันของผมอย่างเต็มใจ มีเพียงคำถามประโยคเดียวเท่านั้น
    “แต่เรื่องสั้นของพี่จะดีจริงเหมือนสินค้าของบริษัทหรือเปล่า”
    “ลองอ่านดูซิ พี่มั่นใจว่างานเขียนชุดนี้ดีจริง ๆ” ผมให้กับมั่นใจกับลูกทีมเหมือนกับที่เคยให้ความมั่นใจกับพวกเขาในสินค้าอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องออกกำลังกาย เครื่องกรองน้ำ ไปถึง เครื่องฟอกอากาศ
    แล้วความห่วงใยของพี่ช้าง ก็เดินทางผ่านสายโทรศัพท์มาถึงผม ในเย็นวันเดียวกันนั้นเอง พี่ช้างคนที่ทำอะไรไม่เป็นโล้เป็นพาย บัดนี้ได้มาถึงจุดที่มั่นคงในชีวิตพอเพียงของเขาแล้ว
    “พี่ว่า เอ็งอย่าทำอย่างนี้เลย”
    “ทำไมล่ะพี่”
    “บริษัทเราขายแต่ของมีคุณภาพ” เสียงแกเตือนอย่างเกรงใจ
    “พี่หมายความว่าไง” ผมชักจะเลือดขึ้นหน้า “ถ้าบอกว่างานผมไม่มีคุณภาพ พี่เคยอ่านหรือยัง”
    “พี่ไม่เคยอ่านหรอก แต่อย่างอาหารเสริมเนี่ยมันดีเรารู้สึกได้ แล้วเราก็ห่วงใยสุขภาพใช่ไหม แต่กับงานเขียนเนี่ย พี่ว่ามันต่างกันนะ”

    10 ปีต่อมา
    วันนี้ในห้องอบรมพนักงานหน้าใหม่ มีผู้คนนั่งอยู่เนืองแน่น สมาชิกขององค์กรขยายเพิ่มขึ้นเกินกว่า 100 % องค์กรเติบโตขึ้นมาก ผมเองก็เติบโตตามองค์กรไปด้วย วันนี้ผมสวมสูทสีกรมท่า แต่งตัวภูมิฐาน ผมผ่านการเป็นนักขายมือทองไปแล้ว ทุกวันนี้ผมไม่ต้องวิ่งแบกของไปแนะนำลูกค้าแล้ว สายสัมพันธ์ทางธุรกิจของผมยังทำหน้าที่อย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อจะได้มายืนในจุดเดียวกับผม
    เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผมเกือบจะทำในสิ่งที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ เมื่อผมพยายามดันทุรังจะขายรวมเรื่องสั้นของตัวเอง ไปพร้อมกับผลิตภัณฑ์ของบริษัท เพราะสิ่งที่ตามมาก็คือ ลูกค้ายอมซื้อก็จริงแต่ส่วนใหญ่ซื้อเพราะความเกรงใจ เพราะเมื่อโทรศัพท์ไปสอบถาม ทุกคนจะบอกตรงกันว่ายังไม่ได้อ่าน และไม่นานผู้ใหญ่ทางบริษัทก็เรียกผมเข้าพบ
    “ได้ข่าวว่าคุณ เป็นเจ้าของรวมเรื่องสั้นเล่มนี้” เสียงของท่านเครียดไม่ผิดเพี้ยนกับหน้าตา
    “ครับ” ผมตอบ
    “ไม่สนุก ไม่สนุกเอามาก ๆ” ท่านเน้นเสียงบอกกับผม และทำหน้าดูแคลน
    “แต่ทุกเรื่องเป็นงานที่ดีนะครับ” ผมแย้ง
    “ดียังไง”
    “มันเป็นงานสะท้อนสังคม ถ้าสังคมมีเรื่องสนุก ๆ ให้เขียน ผมก็จะเรื่องสนุก ๆ” ผมยืมคำพูดนักเขียนบางท่าน มาแย้งเผื่อว่าชายเบื้องหน้าผมจะอี้งพูดอะไรไม่ออก
    “ผมจะบอกคุณให้ว่า มันขายไม่ได้หรอก เพราะมันไม่สนุก มันเครียด ไม่เหมือนสินค้าของเราที่มันจำเป็นต้องใช้ ในชีวิตประจำวัน เหมาะกับคนที่ต้องการมีชีวิตที่ดีกว่า ผมถามคุณ ถ้าอ่านหนังสือของคุณ ชีวิตจะดีขึ้นยังไง”
    “ได้เห็นแง่มุมชีวิตมากขึ้น มองโลกได้กว้างขึ้น” ผมแย้ง แต่เพียงแผ่วเบา
    “แล้วถ้าทานอาหารเสริมของเราจะเป็นยังไง”
    “ก็จะสดชื่นขึ้น ทำงานหนักก็จะไม่รู้สึกอ่อนเพลียมาก และยังอุดมไปด้วยโปรตีนที่ร่างกายต้องการอย่างแท้จริง รวมไปถึงคุณค่าของวิตามิน c ซึ่งจะช่วยให้...” ผมตอบเพมือนกับที่เคยพูดเป็นร้อยเป็นพันรอบ
    “พอ ๆ” ท่านพูดห้ามก่อนที่ผมจะบอกสรรพคุณอาหารเสริมมากว่านี้ “แล้วถ้าไม่อ่านหนังสือคุณ ชีวิตจะแย่ลงไหม”
    ผมเงียบ
    “ผมหวังว่าคุณจะเข้าใจนะ หยุดขายรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ให้กับลูกค้าซะ”

    ตอนแรกผมยังไม่ยอมเชื่อฟังแต่โดยดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน ผมก็ได้พบข้อเท็จจริงที่ว่า ลูกค้าที่ซื้อหนังสือผมไปนั้นไม่มีใครถามหาเล่มต่อไปเลย และคนที่อ่านก็มีไม่ถึงครึ่งของคนที่ซื้อ สิ่งที่ลูกค้าถามหาตลอดเวลายังคงเป็นยาสีฟัน แปรงสีฟัน อาหารเสริม ฯลฯ

    เสียงพิธีกรบนเวทีเรียกชื่อของผมแล้ว เสียงเพลงเร้าใจดังขึ้น ผมก้าวเท้าเดินไปสวนกับพี่ช้างที่เพิ่งจะก้าวลงจากเวที เสียงปรบมือเป็นจังหวะดังขึ้น เหมือนกับว่าผมเห็นสายตาดูแคลน และเหยียดหยามของตัวเอง แฝงอยู่ในกลุ่มของพนักงานหน้าใหม่ แสงไฟกระพริบไปมาเพิ่มความเร้าใจขึ้นไปอีก สองเท้าของผมหยุดเดินแล้ว มือของผมจับไมโครโฟน เกิดเสียงไมค์หอนเล็กน้อยแต่ผมไม่สะดุ้ง ผมรู้ว่ามันจะเงียบไปเอง
    “ผมรู้ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี้ มีความฝัน ผมเองก็มีความฝัน” ผมเว้นจังหวะ สบตากับทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องประชุม “และความฝันของผมก็คือ การเกษียณการทำงานให้ตัวเองในปีหน้า ด้วยรายได้ มากกว่า ห นึ่ ง ล้ า น บ า ท ต่ อ เ ดื อ น ต ล อ ด ไ ป”
    สิ้นเสียงคำพูดของผม เสียงปรบมือดังกราวทั่วทั้งห้องประชุม

    จากคุณ : CU. - [ 3 ก.ย. 47 00:09:44 ]