CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    เจ้าชายหิมะ ตอนที่ 6

    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2967958/W2967958.html

    ตอนที่แล้ว  

    ==============  

    Kenaf  Forest


    สองมือกอดร่างนั้นเอาไว้แน่น…ไม่อยากให้จากไป  ก่อนที่ร่างนั้นจะเลือนลางหายวับ! ไปในที่สุด  ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า…ที่ไม่อาจไขว่คว้าจับต้องได้อีกเลย

    “ท่านพ่อ…ท่านแม่…อย่าทิ้งข้าไป  ได้โปรด…”  พยายามจะวิ่งตามไป  แต่งยิ่งวิ่งตาม  ก็เหมือนยิ่งห่างไกลออกไปทุกที…ทุกที..

    ความรู้สึกเลือนลางค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้น   จนรู้สึกตัว…  เจ้าหญิงเฟรนลี่รู้สึกตัวตื่นจากฝันร้ายแห่งความคิดถึงบุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง  

    “ฝันไป…”  ความรู้สึกหนึ่งบอกเจ้าหญิง  มันเป็นเพียงความฝันไม่ใช่ความจริง  แต่มันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นในอดีตที่ฝังลึกความเสียใจที่สุดไว้ในก้นบึ้งของจิตใจดวงน้อย ๆ ที่ไม่อาจจะลืมเลือนได้เลย

    “เช้าแล้วหรือ…”  เจ้าหญิงถามตัวเองอีกครั้ง  ความรู้สึกยังไม่อยากตื่นเลย  รู้สึกกำลังอุ่นสบาย  แปลกใจที่ไม่รู้สึกหนาวเหมือนทุกเช้า  แต่กลับรู้สึกอบอุ่นเป็นพิเศษสำหรับเช้าวันนี้   เธอยังไม่กล้าลืมตาขึ้นทันที   เพราะทุกครั้งที่ฝันถึงท่านพ่อท่านแม่   เมื่อลืมตาขึ้นครั้งใด  จะพบตัวเองกอดคนที่นอนข้าง ๆ  ไว้ทุกครั้ง   รู้สึกละอายใจเหลือเกิน  วันนี้ก็เช่นกัน   เจ้าหญิงเฟรนลี่ทำใจ และภาวนาขอให้อย่าเป็นเหมือนทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาเลย   แล้วตัดสินใจลืมตาขึ้นมาพบกับความจริง  

    หญิงสาวผงะ!!  ด้วยความตกใจ    

    “จึ๋ย!”  เมื่อมองเห็นแขนของตัวเองโอบตัวของชายหนุ่มที่นอนข้าง ๆ อยู่  และยิ่งกว่านั้น
    ยังพบว่าตัวเองอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของบุรุษหนุ่มผมสีเทาอีกต่างหาก   ต่างจากทุกครั้งที่เจ้าชายจะนอนนิ่ง  ราวกับเป็นหมอนข้างอย่างดี    เจ้าหญิงเฟรนลี่ขยับศีรษะขึ้นจากอกกว้างของชายหนุ่ม   ใบหน้าชาร้อนวูบขึ้นมาทันที   ทำหน้าตาเหยเกบิดเบี้ยว  ปากเบ้ไปทางหนึ่ง  ขมวดคิ้วย่นยู่ยี่  กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

    “ตาย!  ตาย! ตาย! ตายแล้ว”  พลางถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก  ก่อนค่อย ๆ ขยับมือของตัวเองที่โอบตัวเจ้าชายอยู่กลับมา

    “โอ๊ย!!!  “  เจ้าหญิงได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจ  

    “บ้าจริง…!!!”  เจ้าหญิงบ่นอุบ  ราวกับไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน  รู้สึกอับอายขายหน้าอย่างบอกไม่ถูก   ผงกศีรษะขึ้นมามองหน้าชายหนุ่มอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ   ใบหน้าเฉยชานั้นยังคงสงบนิ่งเหมือนเคย   ไม่อาจโวยวายด้วยถ้อยคำใด ๆ  เมื่อมองเห็นน้ำตาไหลซึมออกมาจากเปลือกตาปิดสนิทของเจ้าชายช้า ๆ

    “อะไรทำให้เจ้า…ร้องไห้ได้…แรร์เน็ส”   อดนึกแปลกใจไม่ได้   บุคลิคเงียบขรึม  องอาจกล้าหาญ   ล้วนเต็มไปด้วยความเข้มแข็ง  ใบหน้าเรียบเฉย  เยือกเย็นจนเย็นชานั้น  จะร้องไห้ได้หรือ?

    “เจ้าคงฝันร้ายเหมือนกับข้า…ใช่มั้ย?”  น้ำตาอุ่น ๆ พาลรื้นขึ้นมาเช่นกัน   หญิงสาวขยับตัว  ดึงแขนของเจ้าชายที่พาดขวางลำตัวอยู่ออกไปแต่ทว่าสองแขนของบุรุษหนุ่มกลับกอดรัดร่างของหญิงสาวเอาไว้แน่น   แน่นจนไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้เลย

    เจ้าหญิงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะด้วยความตกใจ  

    “อะไรกันเนี่ย?  ข้าไม่ใช่หมอนข้างของเจ้านะ  ปล่อย!!”  พยายามขยับตัวออก  แต่ทำไม่ได้เลย  

    “คอยดูนะ  แรร์เน็ส  ข้าฝากไว้ก่อนเถอะ  ข้าต้องคิดบัญชีกับเจ้าแน่!” จำใจปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามกอดเอาไว้อย่างนั้น

    “…………………”

    เจ้าหญิงเฟรนลี่รู้สึกถึงคลื่นความรู้สึกบางอย่างแผ่ซ่านมาจากร่างของเจ้าชาย

    “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า…แรร์เน็ส”

    อ้อมกอดของเจ้าชายสัมผัสได้ถึงแห่งกระแสธารของความเศร้า  ความสูญเสีย  ความพลัดพราก   ความเสียใจเหลือเกิน…ความอ้างว้าง  ความโดดเดี่ยวในจิตใจ

    “แรร์เน็ส…เจ้าฝันร้ายหรือ?   ตื่นเถอะ   เจ้าหลับมา 7 วันแล้วนะ”   หญิงสาวพยายามปลุกเจ้าชายผมเทาให้รู้สึกตัวตื่นจากฝันร้ายแห่งความสูยเสีย   แต่ทว่า  ไม่ว่าจะปลุกอย่างไร   ชายหนุ่มก็ไม่ตื่น   นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พยายามจะปลุกให้เขาตื่นจากการหลับไหล   แต่ได้พยายามมาหลายครั้งแล้ว  เจ้าหญิงได้แต่คิดว่า  ร่างกายของเจ้าชายคงเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้ามากจนต้องการพักผ่อนนานเป็นพิเศษ

    ครู่หนึ่ง  จึงสามารถขยับแขนของเจ้าชายออกจากตัวได้สำเร็จ   เจ้าหญิงลุกขึ้นนั่ง   พลางถอนหายใจออกอย่างโล่งอกโล่งใจแล้วเลื่อนผ้าห่ม ๆ ให้เจ้าชายอีกครั้ง  มองเจ้าของใบหน้าเรียบเฉยนั้น   ตลอด 7 วันที่เจ้าชายนอนหมดสติ  ไม่ขยับตัวหรือกระดุกกระดิกเลย   วันนี้เป็นวันแรกที่เจ้าชายมีการเคลื่อนไหว   สีเทาที่เปลือกตาและริมฝีปากจางลงไปมาก  เริ่มมีสีเลือดขึ้นมาบ้างแล้ว   เจ้าหญิงเฟรนลี่รู้สึกอุ่นใจเมื่อเห็นอาการของบุรุษผมเทาดูดีขึ้น  

    แสงแดดยามเช้าเคลื่อนตัวสูงขึ้นตามอำนาจของดวงตะวันสีทอง  เปร่งแสงรัศมีแรงกล้าสาดส่องผ่านหน้าต่างกระท่อมเข้ามากระทบดาบเงินที่วางอยู่ข้างตัวเจ้าชาย  เกิดแสงสะท้อนเลื่อมเงาวาววับ   เจ้าหญิงเฟรนลี่หยีตามองดาบนั้น  ก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้  

    มือเรียวแตะดาบเงินเบา ๆ เกิดแสงวาบขึ้น  ราวกับรู้ว่าผู้ที่มาสัมผัสดาบนี้ไม่ใช่เจ้าของ  เจ้าหญิงผงะถอยหลังนิดหนึ่ง  อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้  ที่วันนี้ดาบเงินอาวุธคู่กายของเจ้าชายเปล่งประกายเจิดจ้าเป็นพิเศษ  ราวกับการมีชีวิตอยู่หรือแตกดับ  สุขหรือทุกข์  ผูกพันกับเจ้าของดาบเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  ซึ่งก่อนหน้านี้  ดาบเงินจะดูหม่นหมอง  เหมือนมีเขม่าควันดำจับอยู่ตามคมดาบ

    “ดาบนี้ไม่ใช่ดาบของคนธรรมดาแน่”  เจ้าหญิงพิจารณาลวดลายของดาบเงินตรงหน้า  ด้ามถือมีลวดลายคดเคี้ยวสลักด้วยโลหะทองเส้นบางดูแปลกตา  พลอยสีโกเมนประดับบนดาบเป็นรูปดาวเจ็ดแฉก  แล้วนึกถึงดาบของบีวาร์องครักษ์ประจำตัว ดาบของเขาทำด้วยโลหะเนื้อดี  ด้ามปรากฎลวดลายเป็นตารางคล้ายตาข่าย  มีพลอยสีอำพันประดับอยู่มีรูปร่างคล้ายปีกของแมลงผึ้ง

    “คนที่มีดาบแบบนี้ได้  ต้องเป็นนายทหารชั้นสูง  หรือไม่ก็เป็นเจ้าชาย หรือราชาครองเมืองอะไรซักอย่าง”  เจ้าหญิงมองหน้าเจ้าชายแรร์เน็สอย่างค้นหาคำตอบว่าเขาเป็นใคร?   แล้วคิดถึงตำนานดาบล้ำเลิศที่สุด ของดาบทองสีรุ้ง   เคยได้ยินตำนานเล่าต่อกันมาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก  ใจอยากจะยลโฉมดาบทองสีรุ้งสักครั้ง  ดาบที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจและความวิเศษต่าง ๆ นา ๆ  บ้างว่า  คมกริบกว่าดาบใดในปฐพี  สามารถตัดโลหะได้ทุกชนิด   บ้างว่ามีอำนาจทำลายล้างราวกับระเบิดเมืองได้ทั้งเมือง   บ้างว่าสามารถช่วยชุบชีวิตคนตายให้กลับมามีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งได้   ล้วนแต่เล่าขาลกันต่อ ๆ มานานแล้ว

    เจ้าหญิงนึกสนุก   เอื้อมมือยกดาบสีเงินขึ้นมาด้วยมือขวา   กะยืนเต๊ะท่าเท่ ๆ อย่างนักรบ   แต่ทว่าดาบกลับยกไม่ขึ้น  ขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย  จนต้องใช้มือซ้ายอีกมือช่วยจึงยกขึ้น
    “ดาบอะไรเนี่ย  หนักชะมัดเลย”  มองแขนเล็ก ๆ ของตัวเอง  ทำไมมันไม่มีกำลังเอาซะเลยนะ! คิดอยู่ในใจว่า  หากฝึกเพลงดาบเป็น จะได้ใช้ป้องกันตัวเอง  ดูแลตัวเองได้   โดยไม่ต้องให้ใครมาลำบากคอยปกป้องอีกต่อไป   แล้วพยายามประคองดาบหมุนไปทางซ้ายทีทางขวาที แบบที่เคยเห็นนายทหารคนสนิทฝึกปรืออยู่เสมอ   แต่ทว่าไม่ว่าจะหมุนไปทางไหนก็เซไปตามน้ำหนักของดาบนั้นทุกที
     
    เจ้าหญิงเฟรนลี่วางดาบลงด้วยความเหน็ดเหนื่อย   พลางยกแขนเสื้อซับเหงื่อใส ๆ ที่สะท้อนกับแสงตะวันสีทอง  ด้วยรู้สึกถึงความไม่ได้เรื่องไม่เอาไหนของตัวเอง   แถมท้องเริ่มร้องขออาหารอีกแล้ว  

    กระรอกตัวน้อยวิ่งป๋อมาตามกิ่งไม้  หางฟู ๆ ด้านหลังชูสลอนเห็นชัดมาแต่ไกล  กระรอกหนุ่มน้อยมาหยุดยืนทำจมูกฟุดฟิดกระดุ๊กกระดิ๊กอยู่ข้างหน้าต่างกระท่อมร้าง  จ้องมองเจ้าหญิงแสนสวยด้วยดวงตากลมใสแจ๋ว

    “อ้าว!  มาแล้วหรอ  มาตามข้าหรอเนี่ย…”  เจ้าหญิงยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความดีใจ   รี่เดินไปที่หน้าต่างอย่างเบิกบาน  เอื้อมมือจับเจ้าตัวน้อยขนหนานุ่มมาอุ้มแนบอกอย่างเอ็นดู  พลางลูบหัวกระรอกน้อยเบา ๆ  กระรอกน้อยสีน้ำตาลขยับตัวกระดุ๊กกระดิ๊กดิ้นหลุดจากมือเจ้าหญิง  กระโดดเกาะขอบหน้าต่างอย่างคล่องแคล่ว  รีบไต่กลับไปตามกิ่งไม้อย่างว่องไว  เป็นเชิงให้วิ่งไล่ตาม

    “รอด้วยซี่…”   เจ้าหญิงรีบวิ่งตามเพื่อนใหม่ออกไป  เจ้ากระรอกน้อยแสนซนวิ่งมาชวนเจ้าหญิงไปวิ่งเล่นเก็บผลไม้ทุกวัน  หลังจากที่เจ้าหญิงได้ช่วยมันขึ้นจากแม่น้ำที่บังเอิญพลัดตกลงไปเมื่อ 3-4 วันก่อนด้วยความซุกซนและคึกคะนอง  

    วิ่งไปกินไปเล่นไปเที่ยวเก็บผลไม้จนเต็มตระกร้า  เพลิดเพลินกับการเก็บสมุนไพรรูปร่างแปลกตาไปทำยาตามตำราที่เคยอ่านเรียนมาบ้าง   เจ้าหญิงเฟรนลี่หยุดนั่งพักใต้ร่มไม้ใหญ่  มองแดดกล้าเลยศีรษะไปแล้ว  ก่อนยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อ  กระรอกหนุ่มน้อยวิ่งไต่ขึ้นมาตามตัวเจ้าหญิงอย่างซุกซนและคุ้นเคย  แล้วหยุดอยู่ที่หัวไหล่

    “บ่ายแล้วเหรอเนี่ย…”  แล้วมองซ้ายมองขวา  ป่าทึบต้นไม้สูงรูปร่างแปลกตา  ทำให้รู้ว่าเที่ยวเล่นมาไกลเกินไปแล้ว  ควรจะรีบกลับไปที่กระท่อม

    “ข้าต้องกลับแล้วล่ะนะ”  พลางเอียงคอหาเจ้าตัวน้อยบนหัวไหล่  กระรอกหนุ่มน้อยทำจมูกฟุดฟิดกับแก้มนุ่ม ๆ ของเจ้าหญิงเบา ๆ  คล้ายแอบหอมแก้ม

    “โอ๊ย!  ไม่เอานะ  จั๊กกะจี้”  เจ้าหญิงหัวเราะรื่นเริง  กับความขี้อ้อนของกระรอกน้อย  แล้วใช้สองมือตะครุบตัวมาถือไว้ตรงหน้า

    “นี่…แอบหอมแก้มข้าเหรอ”  หญิงสาวมองเจ้าตัวน้อยด้วยรอยยิ้มสดใส

    เจ้ากระรอกหนุ่มน้อยตอบเสียงแหลมที่ฟังไม่ออกว่าหมายถึงอะไร  ทำหน้าบ้องแบ๊วมองเจ้าหญิงด้วยดวงตากลมใสคู่นั้น

    สายตาคมเข้มที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน  เฝ้ามองร่างเล็กของหญิงสาวที่กำลังยิ้มแย้มแจ่มใส  หยอกล้อกับกระรอกตัวน้อยอยู่   ช่างเป็นภาพน่ามองเหลือเกิน  เขาแอบดูเธออยู่หลายวันแล้ว   แต่ทำได้เพียงมองอยู่ห่าง ๆ  เพราะรู้ตัวเองดีว่าอาจนำอันตรายมาให้เธอได้  ใจหนึ่งรู้สึกเป็นห่วง  ที่วันนี้หญิงสาวแสนสวยมาเที่ยวไกลถึงที่นี่  

    ที่นี่คือป่าเคนาฟ  ป่าดงดิบที่ใหญ่ที่สุด  กั้นเขตแดนของเมืองตอนใต้สุดของอาณาจักรเรียว  กับอาณาจักรเบเนดิค  พื้นที่ของป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยหุบเขาสูงและเทือกเขาเป็นส่วนใหญ่  มีที่ราบบ้างเล็กน้อย  ขณะเดียวกันก็เป็นที่ซ่องซุ่มกำลังของพวกโจรกบฏริกเกอร์ด้วยเช่นกัน

    “ไม่ไปนะ  ข้าไม่ไป  ปล่อย!  พ่อจ๋า  แม่จ๋า  ช่วยด้วย”   เสียงนั้นเป็นเสียงของผู้หญิง  กำลังร้องไห้ดังขึ้นมาจากที่ไหนซักแห่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก

    “ปล่อยนะ  ไม่……..!!!”  เสียงกรีดร้อง  แตกพร่า  แหลมและสูงหายไปในลำคอ  บ่งบอกให้รู้ถึงการขัดขืนอะไรบางอย่างอย่างสุดกำลัง

    เจ้าหญิงเฟรนลี่ก้มตัวลงต่ำหลบตามพุ่มไม้ทันที  มองรอบตัวอย่างระแวดระวังภัย   เสียงร้องนั้นดังบาดลึกเข้าไปในหัวใจเหลือเกิน  สัมผัสได้ถึงการดิ้นรนต่อสู้  และความหวาดกลัวสุดขีด  ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงกรีดร้องนั้น   หัวใจของเธอรู้สึกเจ็บปวดไปด้วยเช่นกัน   เจ้าหญิงพยายามมองหาที่มาของเสียง

    จากคุณ : ริเศรษฐ์ - [ 14 ก.ย. 47 21:57:47 ]