CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    ความเหมือนที่แตกต่าง

    “เข้ามาซิจ๊ะ น้อยหน่า”

    เสียงคุณพลอยร้องเรียกให้ฉันเข้าไปในบ้าน เธอคงจะเห็นว่าฉันยืนชะเง้อจนแทบจะเป็นกระเหรี่ยงคอยาวอยู่ข้างๆพุ่มเฟื่องฟ้าหน้าบ้านของเธอนานแล้ว เพื่อแอบดูเธอและเพื่อนนั่งเล่นหม้อข้าวหม้อแกงกันอยู่ตรงบริเวณสนามหญ้าหน้าบ้านใต้ต้นปีบที่ซึ่งตอนนี้กำลังออกดอกบานสะพรั่งเป็นพุ่มช่อสีขาว มองดูคล้ายดังต้นไม้ที่ถูกปกคลุมไปด้วยเกร็ดหิมะ สายลมอ่อนๆที่พลัดพลิ้วในยามเย็น ได้ทำให้เจ้าดอกปีบสีขาวที่บานเต็มที่แล้วนั้นค่อยๆ ปลิดปลิวจากพุ่มด้านบนทีละดอกสองดอกลงมาสู่พื้นหญ้าสีเขียวขจีด้านล่าง จนทำให้พื้นสีเขียวบริเวณรอบๆ นั้นดารดาษ ไปด้วยสีขาวของดอกปีบ

    ฉันเปิดประตูรั้วเหล็กเล็กหน้าบ้านเข้ามาด้านในตามคำเชื้อเชิญ แล้วเดินตรงเข้ามายังบริเวณที่ฉันแอบมองอยู่เมื่อครู่ ปัดเสื้อและกางเกงขาสั้นที่สวมใส่อยู่ให้พอรู้สึกว่าดูดีขึ้นมาบ้าง แล้วนั่งลงข้างๆ คุณพลอย

    “นี่ยัยพลอยเธอเรียกมันเข้ามาทำไม ดูซิ! ยี้..สรกปรก” คุณแพร..เพื่อนของเธอพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ฟังดูหยามหยันเกินเด็ก ก่อนที่จะสะบัดหน้า ลุกขึ้นยืนแล้วพูดต่อ

    “ยัยพลอยถ้าเธอยอมให้ยัยเด็กสกปรกนี่มาเล่นด้วย ฉันก็จะไม่เล่นกับเธอแล้ว…ใฝ่ต่ำ” ยังคงวางสีหน้าและน้ำเสียงแบบเดิม ก่อนที่จะเชิดหน้าแล้วหันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

    “ขอโทษค่ะคุณพลอยที่น้อยหน่ามา…..” ฉันก้มหน้าหมอง แอบซ่อนแววตาหม่นเอาไว้

    “ไม่เป็นไรจ๊ะน้อยหน่า อย่าคิดมากซิ แพรเขาก็เป็นของเขาอย่างนี้ละ อย่าไปสนใจเลย…เรามาเล่นกันต่อดีกว่านะ” คุณพลอยรีบพูดตัดบทเสียก่อน พร้อมกับชวนฉันเล่นต่อ

    คุณพลอยเธอเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เรียบร้อยน่ารักเหมือนตุ๊กตา แต่น้ำใจของเธอ ไม่ได้เล็กไปตามตัวของเธอเลยแม้แต่น้อย เธอเป็นเด็กที่มีจิตใจดี อัธยาศัยและน้ำใจงดงาม ซึ่งก็เหมาะสมกับใบหน้าที่แลดูงดงามขาวใสบริสุทธิ์ของเธอยิ่งนัก และที่ไม่น่าเชื่อเลยก็คือเด็กผู้หญิงที่มีความเพียบพร้อมไปหมดซะทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ชาติตระกูล อย่างเธอ จะยอมมานั่งเล่นหม้อข้าวหม้อแกงกับฉัน... เด็กสลัม

    ชีวิตของฉันเละเธอช่างต่างกันราวฟ้ากับดิน

    ฉัน ..เด็กผู้หญิงอายุ 9 ขวบ มีบ้านอยู่ในชุมชนที่เรียกว่าสลัมท้ายซอย มีพ่อเป็นกรรมกรก่อสร้าง ไม่รู้ว่าหน้าตาของแม่เป็นเช่นไร พ่อบอกว่าแม่เสียตั้งแต่ตอนที่คลอดน้องชายของฉันออกมา ซึ่งตอนนั้นฉันเพิ่งจะมีอายุแค่เพียงสองขวบ

    เธอ ..คุณพลอยเด็กหญิงอายุ 11 ขวบ มีบ้านสวยหรูหลังใหญ่โตที่ตั้งอยู่กลางซอย มีคุณพ่อคุณแม่เป็นถึงนักธุรกิจทีมีชื่อเสียงและมีหน้ามีตาในวงสังคม มีครอบครัวที่แสนจะอบอุ่น และเพียบพร้อม

    จนในบางครั้งฉันอดที่จะเอ่ยถึงความแตกต่างระหว่างเรา...ฉันกับคุณพลอย... ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจเสียมิได้ ครั้นพอคุณแม่ของคุณพลอยท่านเดินผ่านมาได้ยินเข้า ท่านก็ได้เข้ามานั่งลงข้างๆ ฉันพร้อมบอกกับฉันว่า “สิ่งที่น่าภาคภูมิใจที่สุด ไม่ใช่เพราะเราได้เกิดมาเป็นลูกคนรวยหรอกนะน้อยหน่า แต่เพราะเราได้เกิดมาเป็นลูกคนดีต่างหาก” ...ใช่... และนั่นก็ทำให้ฉันรู้สึกภูมิใจในตัวพ่อเสมอมา

    และฉันยังคงเป็นเพื่อนเล่นกับคุณพลอยมาจนกระทั่งถึงวันนี้…

    “นี่ยัยพลอยเธอดูรถของชั้นซิ ..นั่นนะรุ่นใหม่ล่าสุดเชียวนะ คุณพ่อชั้นเพิ่งซื้อให้เป็นรางวัลที่ชั้นเอ็นฯ ติดในสถาบันและคณะที่ท่านเลือกให้เลยนะ” เสียงคุณแพร นิสิตหมาดๆ เพื่อนข้างบ้านของคุณพลอยดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาถึงซะอีก

    คุณพลอยเธอเคยเล่าให้ฟังว่า คุณแพรเป็นคนเรียนเก่ง ฉลาด และที่สำคัญคือ เธอสวยมากถึงขนาดได้รับเลือกจากอาจารย์ให้เป็นดรัมเมเยอร์ และ เชียร์ลีดเดอร์ประจำโรงเรียนทุกปีเลย แล้วยังเป็นดาวประจำห้องมาตลอด ไหนจะครอบครัวที่เข้าขั้นเศรษฐีของเธออีก นี่กระมังที่ทำให้เธอผู้นี้ ดูเย่อหยิ่งและมีนิสัยที่ชอบดูถูกคนอื่นที่มีฐานะที่ต่ำกว่าตลอดเวลา

    “เธอจะไปลองนั่งรถเล่นกับชั้นดูไหมยัยพลอย...แต่ขอย้ำว่าแค่เธอคนเดียวนะ” น้ำเสียงและแววตาที่เหลือบมองมาทางฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าเจ้าของสายตานั้นต้องการที่จะเหยียบขยี้ฉันให้แหลกเหลวจมดินลงไปเลยทีเดียว

    “คงไม่ละจ๊ะ ขอบใจนะที่แพรอุตส่าห์มาชวน เพราะนี่ก็ใกล้เวลาทานข้าวเย็นแล้ว เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่คงจะกลับมาแล้วละ” คุณพลอยบอกปฏิเสธไปด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล

    “ตามใจเธอ งั้นชั้นไปละ” พูดด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างกับคุณพลอยโดยสิ้นเชิงก่อนที่จะหันหลังเดินกลับไป

    “คุณพลอยก็สอบได้ ทำไมคุณพลอยไม่ขอให้คุณพ่อของคุณพลอยซื้อรถแบบคุณแพรให้บ้างละคะ” ฉันถามหลังจากที่คุณแพรเดินจากไปแล้ว

    “ทำไมนะหรือ ก็เพราะว่าพลอยยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้มันนี่จ๊ะ แล้วอีกอย่างทำไมเราจะต้องมาคอยทำตามแบบอย่างคนอื่นด้วย ทำไมเราจะต้องมาคอยแข่งขัน อยากได้อยากดี อยากเด่น กว่าคนอื่นด้วยละ หรือเพียงเพราะคำว่า โก้ หรู มีหน้ามีตาในสังคม อย่างงั้นหรือจ๊ะ ทั้งๆที่เรายังไม่สามารถที่จะทำงานหาเงินมาได้ด้วยตัวเองเลยด้วยซ้ำ คนเรา.. เป็นแค่คนเก่งอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ น้อยหน่า”

    จริงซินะความสับสนวุ่นวายของคนเราที่เกิดขึ้นในสังคมทุกวันนี้ ก็มาจากอีโก้ของตัวเองทั้งนั้น ความเห็นแก่ตัว ความอยากได้ อยากมี อยากดี อยากเด่นไปกว่าคนอื่น การชิงดีชิงเด่นกัน พูดให้ร้ายป้ายสีคนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูดี ความไม่รู้จักพอ มีแล้วก็อยากมีอีก มีมากก็ยิ่งอยากมีมากขึ้นเรื่อยๆ หรือที่เรียกง่ายๆ ก็คือ ความละโมบโลภมากนั่นเอง ซึ่งเราก็คงจะหาดูตัวอย่างเหล่านี้ได้ไม่ยากนักในสังคมปัจจุบัน ที่มีให้เห็นกันอยู่ดาษดื่นแทบทุกวันในขณะนี้…. เป็นแค่คนเก่งอย่างเดียวไม่พอจริงๆ

    “จบ ม.6 แล้วน้อยหน่าจะเรียนต่อที่ไหนจ๊ะ” คุณพลอยถามในขณะที่เรากำลังช่วยกันเก็บดอกปีบที่ล่วงหล่นอยู่บนพื้นหญ้า

    ฉันเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย แล้วลุกขึ้นเดินนำดอกปีบสีขาวที่เก็บได้มาใส่ในถาดแก้วที่ถูกวางไว้บนผ้าสี่เหลี่ยมสีฟ้าอ่อนลายดอกไม้เล็กๆสีน้ำเงินผืนกว้าง มีหมอนอิงสีน้ำเงินเข้มขลิบขอบด้วยสีโทนเดียวกันแต่อ่อนกว่าอยู่สองใบ ข้างๆ ถาดแก้วนั้นมีขวดโหลรูปทรงกลมใบเล็ก 2 ใบ บรรจุน้ำใสไว้เกือบเต็ม และถัดไปมีแก้วน้ำหวานสีแดงสองแก้ว คุ้กกี้จานเล็กหนึ่งจาน และมีหนังสือเรียนสองสามเล่มวางซ้อนกันอยู่

    “น้อยหน่าคงจะไม่ได้เรียนต่อแล้วละคะคุณพลอย ..น้อยหน่าสงสารพ่อ” ฉันตอบตามความรู้สึก หลังจากที่วางดอกปีบในมือเรียบร้อยแล้ว

    “ทำไมละ ? แต่พลอยคิดว่าพ่อของน้อยหน่าอยากให้น้อยหน่าเรียนสูงๆนะ.. เพราะพ่อของน้อยหน่าคงไม่อยากให้น้อยหน่าต้องมาเป็นเหมือนพ่อหรอก .. คิดให้ดีๆนะจ๊ะ” คุณพลอยเดินเข้ามาสมทบ

    “แต่พ่อคงต้องทำงานหนักกว่าเดิม เพราะค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงสำหรับครอบครัวที่มีฐานะอย่างน้อยหน่า น้อยหน่าไม่อยากให้พ่อเหนื่อยอีกแล้ว น้อยหน่าจะออกมาช่วยพ่อทำงาน”

    “เดี๋ยวนี้ทางมหาวิทยาลัยเขามีทุนของรัฐบาลให้กู้ยืมไม่ใช่หรือจ๊ะ เมื่อเราเรียนจบเราหางานที่ดีๆ ทำได้แล้วทีนี้เราก็ค่อยมาใช้ทุนเขา.. น้อยหน่าอย่าเอาอารมณ์ชั่ววูบมาตัดสินอนาคตของตัวเองนะจ๊ะ คนเราถึงแม้ว่าจะเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราก็สามารถที่จะเลือกทางเดินที่ดีสำหรับชีวิตของเราได้ไม่ใช่หรือ.. และถ้ามีอะไรเกิดขึ้น น้อยหน่าก็ยังมีพลอย มีคุณพ่อคุณแม่ของพลอย ที่คอยให้ความช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้เสมอ คุณพ่อคุณแม่ของพลอยก็รักน้อยหน่าเหมือนลูกคนหนึ่งเลยน๊า”

    ฉันยอมรับว่าท่านทั้งสองรักและเอ็นดูฉันมาก ไม่ได้มีความรังเกียจในความเป็นชนชั้นที่ต่ำกว่าอย่างฉันเลย หรืออาจจะไม่มีคำว่าชนชั้นสำหรับครอบครัวนี้ก็ได้ ฉันไม่แปลกใจในความเป็นคนที่มีจิตใจงดงามอย่างคุณพลอยเลย เพราะเธอคงจะได้รับการถ่ายทอดและปลูกฝังสิ่งเหล่านี้มาจากคุณพ่อคุณแม่ของเธอนี่เอง

    และแล้วก็ถึงวันนี้ ..วันที่ฉันและครอบครัวรอคอย ..วันแห่งความปลื้มปีติของผู้เป็นพ่อ วันแห่งความภาคภูมิใจของฉัน วันแห่งความชื่นชมยินดีของน้อง และ…

    “ยินดีด้วยนะจ๊ะ บัณฑิตใหม่” ฉันรีบหันไปหาเจ้าของเสียงหวานๆ นั้นทันที

    “คุณพลอย!..คุณพลอยจริงๆ ด้วย..น้อยหน่าดีใจค่ะที่คุณพลอยมางานรับปริญญาของน้อยหน่า” ฉันกล่าวด้วยความรู้สึกตื่นเต้นยินดี

    “ก็ต้องมาซิจ๊ะ วันสำคัญของน้องสาวพลอย จะพลาดได้อย่างไร” คำพูดที่ผสมผสานกับรอยยิ้มและดวงตาสวยคู่นั้นช่างดูอ่อนโยนยิ่งนัก

    “ที่น้อยหน่ามีวันนี้ได้ก็เพราะคุณพลอยค่ะ…ขอบคุณนะคะ...ต้นแบบที่ดีของน้อยหน่า” ฉันกล่าวแสดงความรู้สึกขอบคุณออกมาจากหัวใจ จริงๆแล้วฉันอยากจะกล่าวอะไรมากกว่านี้ ฉันอยากจะบอกว่าเพราะความเมตตา ความมีน้ำใจ ความช่วยเหลือ ความเอื้ออาทร อีกทั้งคำแนะนำสั่งสอนที่คอยสร้างพลังและกำลังใจให้ฉันได้ต่อสู้มาจนถึงทุกวันนี้ วันแห่งชัยชนะ..ไม่ใช่ซิ…ต้องเป็นวันแห่งการเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ของฉัน

    “น้อยหน่าจ๊ะ การที่เราจะเป็นคนดีและประสพความสำเร็จในชีวิตได้นั้นไม่ใช่เพียงเพราะแบบอย่างที่ดีอย่างเดียวหรอกจ๊ะ แต่มันขึ้นอยู่กับคนๆนั้นด้วยว่า เขา หรือ เธอคนนั้น จะต้องเป็นคนที่มีความคิด และจิตสำนึกที่ดีด้วย จึงจะประสพความสำเร็จ เหมือนอย่างที่น้อยหน่าเป็นอยู่ในวันนี้ไงจ๊ะ .. เด็กบางคนนะน้อยหน่าแค่เอ็นฯไม่ติด หรือ ทำเกรดได้ไม่ดีอย่างที่หวังไว้ ทั้งๆทีเรียกได้ว่าอยู่ในระดับที่ดีกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ ก็ไม่สามารถทำใจให้ยอมรับสภาพได้ ไม่สามารถมองหน้าเพื่อนๆหรือใครๆได้ เพียงเพราะความอาย หรืออะไรก็แล้วแต่ เขาทำเหมือนกับว่าโลกนี้กำลังจะถล่มทลาย ทำเหมือนกับว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับชีวิตของพวกเขา เมื่อไม่สามารถไขว่คว้าสิ่งสำคัญนั้นไว้ได้ ผลสุดท้ายก็ต้องมาจบลงที่ความตาย.. ลืมคิดไปว่าแท้ที่จริงแล้วสิ่งสำคัญที่สุดนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาคิด แต่เป็นพ่อแม่และบุคคลที่รักเขาต่างหาก… แต่ก็นั่นละวุฒิภาวะทางความคิดของคนเราไม่เท่ากัน”

    “ค่ะ…คุณพลอย” ฉันพูดได้แค่นั้นจริงๆ ด้วยความเต็มตื้น ก่อนที่ดวงตาจะรื้นไปด้วยหยาดน้ำใส ฉันโผเข้ากอดคุณพลอยด้วยความรักและรู้สึกขอบคุณอย่างท้วมท้น

    แล้วภาพแห่งความทรงจำที่ดี ระหว่างฉันกับคุณพลอยก็ได้ถูกบันทึกโดยฝีมือเพื่อนร่วมทางสายแห่งบัณฑิตของฉันเอง

    มันเป็นภาพของหญิงสาวในชุดคุรยอันทรงเกียรติ ถือช่อดอกไม้ที่ถูกดัดโค้งเป็นรูปหัวใจ พร้อมตุ๊กตาบัณฑิตน้อยอยู่ตรงกลาง ห่อด้วยกระดาษสาบางสีชมพูอ่อน หุ้มรองรับด้วยพลาสติกใสที่ถูกแต่งแต้มไปด้วยหัวใจดวงเล็กๆ แล้วผูกช่อด้วยริบบิ้นสีชมพูเข้ม .. กับเธอ.. คุณพลอยเจ้าของช่อดอกไม้สวยช่อนี้ .. หญิงสาวผู้ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยความงดงาม ทั้งใบหน้าและจิตใจ และสิ่งที่เหมือนกันของทั้งสองในตอนนี้ก็คือ... รอยยิ้มแห่งความปลื้มปีติที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าสวยใสคู่นั้น

    จากคุณ : สีชมพู - [ 23 ก.ย. 47 23:48:18 A:202.5.83.228 X: ]