CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    บันทึก...แด่...(พ่อของ)...ลูก

    บทนำ
    บันทึกเล่มนี้ เพียงแค่อยากจะบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา เพื่อให้หนูได้เข้าใจปัญหาและเหตุผล ที่แม่ได้ทำขึ้น ตอนที่หนูยังเล็กๆ เผื่อว่า เวลาผ่านไป ตอนหนูโตขึ้น จะได้เข้าใจในรายละเอียดทั้งหมด (และเผื่อว่าแม่อาจลืมบางรายละเอียดไป)
    ความรัก เป็นสิ่งที่สวยงาม และ เป็นสิ่งที่ดี ที่ทุกคนควรจะมี บันทึกเล่มนี้ แม่ไม่ได้หวังจะให้หนูกลัวความรัก แต่เพียงแค่ อยากให้หนูเข้าใจ และรู้วิธีที่จะรับมือกับความรักต่างหาก
    บางเรื่องราวอาจจะเศร้า บางเรื่องราวอาจดูไร้เหตุผล แต่หนูคงเข้าใจ แม่ก็เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น ที่พยายามดำเนินชีวิตให้ผ่านไปอย่างราบรื่นเท่าที่จะทำได้

    รักลูกจ้ะ
    แม่

    บทที่ 1
    วันแรก
    วันนี้ เป็นวันที่แสนจะตื่นเต้นมาก สำหรับแม่มือใหม่ หลังจากมองหน้าลูกผ่านจออุลตาซาวน์มาเกือบ 9 เดือน แม่นัดคุณหมอไว้ตอนเย็น ตามฤกษ์ยามที่ดูไว้ (คือว่า..แม่ดูเองจ้ะ) จริงๆ ก็คือเวลา 18.29 น. ด้วยว่า ฤกษ์ที่ดีคือหลัง 18.00 น. ไปแล้ว และแม่ก็คิดว่า เลข 9 นี่แหล่ะ ดีแล้วล่ะ ก็เลยระบุเป็น 29 นาที เพื่อความเป็นสิริมงคล
    พอมาถึงโรงพยาบาลตั้งแต่บ่าย มาเตรียมตัวและเตรียมความพร้อม พอสัก 5 โมงเย็น ก็ได้เวลาย้ายตัวเองจากห้องพัก ไปสู่ห้องผ่าตัด (แม่เลือกที่จะผ่าเอาลูกออก ไม่ใช้วิธีคลอดธรรมชาติ อย่างที่เขากำลังนิยม เพราะกลัวเจ็บ และ คลอดหนูไม่ออก) ตอนแรก แม่คุยกับพ่อของหนู ขอให้เข้าไปเป็นเพื่อนแม่ในห้องคลอด และพ่อหนูก็รับปากอย่างดิบดี แต่พอถึงเวลาจริงๆ พ่อหนูก็จะเปลี่ยนใจ คงกลัวมากกว่าแม่ แต่แม่ก็ยังดึงดัน ว่า ไม่ได้ ยังไงก็ต้องไปเป็นเพื่อนกันในห้องคลอด พ่อของหนูก็เลยต้องจำยอม
    คุณหมอที่ทำคลอดก็มาตรงเวลา คือ เข้ามาตอน 18.00 น. มาถึงก็ชวนแม่คุย ซักถามกันไปตามปกติ แม่ก็ไม่รู้อะไรหรอกว่า คุณหมอทำอะไรบ้าง เพราะหลังจากบล็อคหลังแล้ว ก็ไม่รู้สึกอะไร แถมมีผ้ากั้นตั้งแต่หน้าอกลงไป เลยมองอะไรไม่เห็น พอซัก 18.10 น. กว่าๆ คุณหมอก็ถามว่า จะรอฤกษ์ไหม ตามที่บอกคุณหมอไปว่าเป็นเวลา 18.29 น. แม่ก็เกรงใจคุณหมอ เลยบอกว่า ไม่ต้องก็ได้ค่ะ พอแค่นั้น ทุกอย่างก็เกิดเร็วมาก คุณหมอก็ดึงหนูออกมาเลย พร้อมเสียงร้องดังอุแว้ ดังลั่น!!! พอพยาบาลล้างตัวหนูเสร็จ ก็จัดการมาถ่ายภาพหมู่ ซึ่งแม่ก็ยังเบลอและงง จากนั้น ทั้งลูกและพ่อก็หายไปจากห้องผ่าตัด ทิ้งแม่ไว้กับหมอเพื่อเย็บแผล แม่รู้แต่ว่า หลังจากเย็บแผลเสร็จ มาอยู่ที่ห้องพักฟื้น แม่สั่นไปทั้งตัว เหมือนหนาวมาก สั่นจนควบคุมตัวเองไม่ได้ ซึ่งอาจเกิดจากผลของการผ่าตัด จนกลับมาถึงห้องพักถึงค่อยดีขึ้น (สั่นเป็นชั่วโมงน่ะจ้ะ)
    จนคืนนั้น สักตี 2 หรือ ตี 3 จำไม่ได้มาก พยาบาลก็อุ้มหนูมาให้แม่ เพื่อพาดูดกระตุ้นน้ำนม แม่อุ้มหนูครั้งแรกนะ เก้ๆ กังๆ ตามประสาคนไม่เคยอุ้มเด็กมาก่อนในชีวิต (แค่มองเด็ก แม่ยังไม่ค่อยมองเลย) แต่ก็ปลื้มใจมาก ที่ได้อุ้มลูกของแม่เอง
    ตอนที่พักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล แม่ก็พยามยามเรียนรู้ตามที่พยาบาลสอนการเลี้ยงดูลูก แต่ร่างกายแม่ก็ไม่ค่อยแข็งแรง พอคลอดหนูไม่นาน แม่ก็ท้องไม่ดี ทานอะไรไม่ได้มาก น้ำนมก็น้อย
    จนกลับมาอยู่ที่บ้าน น้ำนมที่จะเลี้ยงหนูแทบไม่มี แล้วหนูก็อยากกินนมมาก แม่เลยตัดใจให้หนูทานนมกระป๋อง เพื่อหนูจะได้อิ่มมากขึ้น หนูเลยทานนมแม่อยู่แค่ไม่นาน ประมาณแค่อาทิตย์เดียวเอง (เฮ้อ...)
    การมีหนูเพิ่มมาเป็นสมาชิกของแม่ มีผลให้วิถีชีวิตของแม่ เปลี่ยนแปลงจนเกิดความโกลาหลในช่วงแรก ไม่ใช่ว่ามีหนูแล้วไม่ดีนะ แต่กว่าแม่จะปรับตัวว่ามีอีกคนที่เราต้องเลี้ยงดูและรับผิดชอบชีวิตเขาอย่างมากนี่ ก็แทบแย่เหมือนกัน
    บทที่ 2
    เดือนแรก
    หลังจากคลอดหนูแล้ว แม่ก็ไม่ได้ทำงานประจำ ดังนั้น งานประจำของแม่ก็คือ เลี้ยงดูหนูตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ถ้านับเป็นงานประจำแล้ว ก็จัดว่าเป็นงานใหม่ ที่แม่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน แล้วเป็นงานที่หนัก เพราะรับผิดชอบคนเดียว มีเพียงที่ปรึกษา คือ คุณยาย
    หลายคนบอกว่า คุณแม่หลังคลอดควรระวังภาวะซึมเศร้า หรือ เครียด เพราะกิจวัตรประจำวันที่เปลี่ยนแปลง ตอนแรก แม่ก็คิดว่าแม่คงไม่เป็นหรอก เพราะชีวิตแม่ไม่ค่อยเครียดกับอะไรมาก ชีวิตครอบครัวเราก็ไม่มีปัญหาอะไร สามีเรา (พ่อของลูกน่ะแหล่ะ) ก็ดูแล รักใคร่เราอย่างดี
    แต่การเปลี่ยนแปลงมันก็เกิดขึ้นได้ แม่ยอมรับว่า วันแรกๆ ที่กลับจากโรงพยาบาลมา แม่ยังปรับตัวไม่ค่อยได้ แค่เวลาเข้าห้องน้ำ ยังลังเล ไม่อยากจะทิ้งลูกไว้ หรือ ปวดท้องอยู่ แต่ลูกยังไม่อิ่มนม ก็ต้องอดทนไว้ก่อน จะหิว จะง่วง หรือ จะทำอะไร ก็จะต้องดูก่อนว่าลูกเรียบร้อยแล้ว แม่ถึงจะมาจัดการกับตัวเองต่อไป แม้ว่าแม่จะหลับอยู่ แต่มีเสียงจากลูกแอะเดียว แม่ก็จะรีบกระเด้งตัวขึ้นมาดูว่า ลูกต้องการอะไรหรือเปล่า (ปกติแม่ก็เป็นคนหูไวซะด้วย) จนบางที ญาติๆ แม่ก็บอกว่า แม่อาจกังวลมากไป
    พอ 2 – 3 เดือนผ่านไป แม่ค่อยคุ้นเคยกับวิถีชีวิตใหม่นี้ พอจัดการกับชีวิตประจำวันได้อย่างราบรื่นพอควร แต่...ความเครียดบางอย่างเริ่มกล้ำกลาย
    พ่อของหนูเริ่มตีกอล์ฟบ่อยมาก ตีเกือบทุกอาทิตย์ ยกเว้นอาทิตย์ที่ไปต่างจังหวัด เวลาไปตีกอล์ฟ ก็จะออกแต่เช้า กลับบ้านก็ดึกดื่น ซึ่งพ่อของหนูก็บอกว่า วันธรรมดาเขาก็กลับบ้านเร็วทุกวันแล้ว วันเสาร์/อาทิตย์ที่ไปตีกอล์ฟ ก็ขอให้เป็นเวลาส่วนตัวของเขาบ้าง ที่สำคัญก็คือ เวลาไปตีกอล์ฟ พ่อของหนูไม่เคยเปิดโทรศัพท์มือถือเลยและไม่สามารถติดต่อได้
    ตอนแรก แม่ก็พยายามอดทน แต่การเลี้ยงหนูมาตลอด 5 วัน หรือ 6 วัน แม่ก็เหนื่อยเป็นเหมือนกัน ต้องการพักผ่อนบ้าง เช่น อาจจะมีซักวันที่แม่จะได้ตื่นสาย หรือ นอนหลับให้มากขึ้นบ้าง หนูต้องรู้ไว้อย่างว่า ตอนหนูเล็กๆ นั้น หนูจะนอนแค่ครั้งละไม่เกิน 4 ชั่วโมง และจะตื่นขึ้นมาทานนมเสมอ เพราะฉะนั้น แม่ก็จะไม่สามารถนอนต่อเนื่องได้ทั้งคืน และยิ่งวันไหน หนูงอแง แม่ก็จะต้องอุ้มกล่อมหนูจนกว่าหนูจะหลับ
    ความรู้สึกของแม่ก็คือ แม่โดนทิ้ง โดนทิ้งให้เลี้ยงดูหนูอยู่คนเดียว พ่อของหนูไปสนุกอยู่คนเดียว ทั้งกอล์ฟ ทั้งเพื่อน ต่างสำคัญกว่าแม่และหนู แม่รู้สึกว่า ทำไมพ่อของหนูถึงได้เห็นแก่ตัวอย่างนี้ บางทีแม่ไม่สบาย อยากนอนพักผ่อน แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะต้องคอยดูหนู อุ้มหนู ป้อนนมหนู
    ไว้หนูโตขึ้น หนูลองถามพ่อของหนูดูนะว่า พ่อของหนูเคยล้างขวดนมหนูบ้างไหม หรือ เคยช่วยเตรียมอาหารให้หนูบ้างหรือเปล่า งานเหล่านี้ กลายเป็นหน้าที่ของคุณตาคุณยายของหนูไป ถ้าไม่ได้ท่านทั้ง 2 แม่ก็คงเหนื่อยกว่านี้อีกมาก หนูจำไว้เลยนะว่า การเลี้ยงดูเด็กอ่อน เป็นงานที่ละเอียดอ่อน และ ต้องใช้เวลาอย่างมาก เวลาที่หนูจะมีลูกของตัวเอง หนูจะได้เตรียมตัว เตรียมใจ และ เตรียมความพร้อมไว้ได้ไงจ้ะ

    จากคุณ : น้ำไม่เน่า - [ 24 ก.ย. 47 16:14:22 A:unknown X:203.146.217.186 ]