ความคิดเห็นที่ 105
สามบรรทัดแรกเป็นกลุ่มประโยคเหตุที่กวียกมาอ้างเพื่อให้ "นุช" เห็นว่ามีน้ำหนัก, กวีเล่นกับเต้าตึงโดยสร้างความ "ไม่ธรรมดา" ขึ้นมาด้วย "คู่น้อย" "มณีหวาน" "เพชรยอดสุเมรุ". ในกรณีของ "สุเมรุ" กวีนำมาใช้แทน "เต้าตึง", ซึ่งจะทำให้ไม่ พูดถึง "สิ่งนั้น" โดยตรง, เป็นการลดความอนาจารออกไปด้วยการใช้โวหารทาง วรรณศิลป์เข้าช่วย. เป็นขนบที่ติดมาจากครูโบราณ.
ทำไมกวีไม่ใช้ "มะพร้าว - แตงโม - ไข่ดาว" แทนเต้าตึง ?
แม้ "มะพร้าว-แตงโม-ไข่ดาว - ซาลาเปา ฯลฯ" จะให้ภาพที่สมจริงดีกว่า. แต่งานนี้กวีเดินตามงานวรรณคดีคลาสิก อย่างนิราศนรินทร์และไม่ได้ต้องการนำ เสนอ "ภาพจริง" ซึ่งเป็นภาพนึกธรรมดา, หากแต่ต้องการนำเสนอภาพนึก อย่างกวีที่ต้องการ "ความแปลก". ความแปลกเป็นหัวใจของการสร้างสรรค์งาน ศิลปะทุกแขนง. อีกด้านหนึ่งแสดงให้เห็นความนิยมของกวีเองที่มีต่องานโบราณ.
บรรทัดสุดท้ายเป็นผลที่กวีต้องการ. "ดื่มช้อยชูชัน", กวีใช้ "ดื่ม" แทน "บาง อาการ" (ลีลา) ของ"กามกรณียกิจ". การขอเพื่อกระทำเช่นนี้ถือว่าลามกโดยแท้, แต่ด้วยชั้นเชิงทางภาษา, กวี "ซ่อน" ความลามกไว้แนบเนียน, ผู้อ่านที่มี ประสบการณ์เท่านั้นจึงจะเข้าใจ. ทำให้นึกถึงบทอัศจรรย์แบบต่างๆ ในวรรณคดี ที่เด็กอ่านแล้วจะไม่เข้าใจในทันที, ต้องอาศัยคำอธิบายจึงร้องอ๋อ. กว่าจะร้องอ๋อ กันได้อายุก็ปาเข้าไปยี่สิบปีแล้ว -ฮา, นับว่าเป็นกลอุบายที่แนบเนียนจริงๆ . มีสาวๆ ที่ อาศรมฯ หลายราย หลังจากร้องอ๋อกันแล้วก็ชอบบทอัศจรรย์กันเป็นแถว, เนื่องจากเป็นส่วนของวรรณคดีที่ ใช้จินตนาการสูง.
ส่วนอาร์พีแก่แดดแก่ลมมาตั้งแต่อายุสิบสอง "อ๋อ" ได้ก่อนที่จะอ่านวรรณคดีเสีย อีก, เนื่องจากอยู่ในภูมิประเทศที่เหมาะแก่การเจริญเติบโตทาง "กามทัศน์" (หนังตะลุง). และคนแถวบ้านก็พูด "เถ" (หยาบโลน) กันเป็นปกติจนไม่รู้สึกว่าหยาบคาย, เป็นวิถีชาว บ้านที่คนบางกอกไม่เข้าใจ. วรรณกรรม "คำผวน" ของปักษ์ใต้คงยืนยันเรื่องนี้ได้ ดี. (โดยเฉพาะนครศรีฯ ของใครบางคน)
จากคุณ :
Ar@p
- [
4 ต.ค. 47 09:01:39
]
|
|
|