CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    ไข่ของอู๋

    “เฮ้ย อู๋ เขียนอะไรลงไปวะ ขอดูหน่อยสิ” ผมขอดูอาชีพสามอับดับแรกที่อาจารย์ให้กรอกลงใบแบบทดสอบเชาว์ปัญญาและความสามารถ ของเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่ง ซึ่งนั่งอยู่โต๊ะเยื้องไปข้างหน้า

    “อยากรู้ก็มาดูเองสิวะ”
    “โห อันดับแรก นายกฯ เลยรึวะเนี่ย ฝันเฟื่องฉิบ” ไอ้กรเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ ไอ้อู๋พูดขึ้น
    “อะอืม ถ้ากุได้รับเลือกรับรองไม่ลืมพวกเมิงแน่ ๆ เวลากุลงอย่าลืมเลือกกุนะโว้ย แล้วจะแจกไข่...”
    “เวรยังไม่ลงสมัครมันก็จะซื้อเสียงซะแล้ว”
    “อย่างน้อยไข่กุก็ขายไม่แพงนะโว้ย แถมใบใหญ่ด้วย เมิงลองเทียบกับในโทรทัศน์ได้เลย ที่นักข่าวชอบไปสำรวจราคาไข่มาออกอากาศบ่อย ๆ น่ะ”

    บ้านของอู๋เป็นฟาร์มไก่ไข่ที่ใหญ่พอสมควร และเรียกว่ามันผูกขาดการค้าไข่ภายในโรงเรียนก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ใหญ่จนถึงภารโรงล้วนเป็นลูกค้าของมัน ภาพที่มันถีบจักรยานมีถาดไข่เป็นตั้ง ๆ วางซ้อนท้าย เป็นภาพคุ้นเคยของพวกเราทุกคนดี

    เวลาโรงเรียนจัดงานอะไรขึ้น พวกผมก็มักจะไปขอสปอนเซอร์กับเตี่ยมันนี่ล่ะ แล้วก็ได้ไข่ไก่แทนเงินสนับสนุนมาทุกที พวกผมเลยมีไข่มาขายกันบ่อย ๆ บางครั้งขายไม่ออกต้องเอากลับไปขายแม่ก็มี เห็นมันบอกว่าเตี่ยมันเปรยว่าจะได้ฝึกค้าขายกันไว้

    ช่วงเวลาที่ไข่ขายดีที่สุดในโรงเรียนคงไม่พ้นช่วงงานสัปดาห์วิทย์ศาสตร์ที่มีการจัดแข่งขันการโยนไข่จากชั้นสามของตัวอาคาร ซึ่งผู้เข้าแข่งขันจะต้องหาวิธีการที่ป้องกันไม่ให้ไข่แตกเมื่อลงถึงพื้น อีกทั้งเป้าหมายต้องใกล้เคียงกับจุดที่กำหนดไว้ให้มากที่สุดอีกด้วย

    และนั่นเป็นอีกวันที่ผมไม่เคยลืม แม้ว่าคนที่ชนะจะใช้วิธีที่เป็นวิทยาศาสตร์และเหมาะสมทุกประการที่จะได้รับรางวัล แต่คนที่เป็นที่น่าจดจำมากที่สุดกลับเป็นเจ้าอู๋นั่นเอง วันนั้นมันปรากฏตัวพร้อมกับความลึกลับ ไม่พูดคุยอะไรกับใครแม้แต่น้อย แต่สร้างเสียงฮือฮาได้มากที่สุดเมื่อถึงเวลาที่แม่ไก่ถูกปล่อยออกจากมือของมันจากชั้นสาม ลงมาสู่พื้นโดยสวัสดิภาพ ท่ามกลางกลิ่นคาวไข่ทั้งของผมและผู้เข้าแข่งขันคนอื่นที่ตกแตกกันเกลื่อนกลาด

    ระหว่างที่ทุกคนกำลังงงงันกับการกระทำของมัน อู๋ซึ่งวิ่งตามลงมาก็เข้าไปจับตัวไก่ด้วยความชำนาญและหอบเดินไปบนพรมน้ำมันที่จัดไว้เป็นที่รองรับไข่เพื่อกันความสกปรก จนเข้าไปถึงวงกลมสัญลักษณ์สีแดง ที่กำหนดให้เป็นเป้าหมาย มันกดตัวไก่ลงแทบชิดติดพื้นพร้อมกับออกแรงบีบทางปลายลำตัว ไข่สีครีมก็ไหลหลุดออกมาอย่างแผ่วเบาลงบนพื้น เสียงโห่ฮาดังลั่นไปทั่วบริเวณ อู๋หันกลับมายิ้มพร้อมกับผายมือให้บรรดาเพื่อนนักเรียนและเหล่าอาจารย์ที่แม้จะปั้นหน้าบึ้งแต่ก็ไม่สามารถกลบร่องรอยของความขบขันที่ปรากฏขึ้นในสายตาไปได้

    ผมและเพื่อน ๆ รวมไปถึงอาจารย์ยังงงไปอีกหลายวันว่ามันคำนวณเวลาออกไข่ของแม่ไก่ได้อย่างไร ก่อนที่มันจะมาเฉลยเองในตอนหลังว่าไก่ที่เอามาเป็นไก่พิการออกไข่เองไม่ได้ ปกติเจ้าอู๋หรือไม่ก้อคนในฟาร์มจะต้องช่วยบีบให้ไข่ออกมาทุกครั้ง และนั่นก็ทำให้มันเกิดไอเดียบรรเจิดนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ดีรางวัลพิเศษที่อาจารย์เพิ่มเข้าไปในการแข่งขันซึ่งมันได้รับไปในครั้งนี้ก็คือไข่ไก่สามถาด ที่ผมไปขอสปอนเซอร์มาจากเตี่ยของมันนั่นเอง 

    อู๋ สอบเข้ามหาลัยรัฐไม่ติดเหมือนกับผม เราเข้าเรียนมหาลัยเอกชนที่เดียวกัน แต่อยู่ต่างคณะ แรก ๆ เราพบกันบ่อยเพราะลงเรียนวิชาเดียวกัน จากนั้นก็แยกย้ายกันไปเรียนตามวิชาของสาขาคณะที่เลือกไว้ ต่างคนต่างพบเพื่อนใหม่ สุดท้ายก็กลายเป็นความห่างเหิน หลาย ๆ เดือนพบกันที จนถึงขั้นไม่ได้ติดต่อกันเมื่อเรียนจบและแยกย้ายกันไปทำงาน ตามวาระแห่งชีวิต ครั้งสุดท้ายที่ผมได้ข่าวมันก็ตอนที่เพื่อน ๆ คุยกันว่ามันกลับไปทำฟาร์มไก่สืบทอดต่อจากเตี่ย

    อย่างไรก็ดีวงจรชีวิตได้นำเรากลับมาพบกันอีกครั้ง ในงานครบรอบวันเกิดของโรงเรียน ที่ผมไม่ได้มาร่วมงานเกือบสิบปี วันนั้นผมพบว่าอู๋กำลังแจกไข่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ด้านข้างของเขาเป็นหญิงสาวหน้าตาคมขำรูปร่างสมส่วน ในอ้อมกอดของเธอยังมีเด็กผู้หญิงอายุประมาณสามสี่ขวบหน้าตาน่ารักน่าชังส่งยิ้มพิมพ์ใจออกมาให้กับทุกคน

    “ขายไม่ได้เก็บไว้ก็เท่านั้นว่ะ เน่าเสียของเปล่า ๆ ถวายวัดไปก็หลายกุรุส นี่ยังเหลืออีกตั้งเยอะ” นั่นเป็นคำบ่นที่ออกมาจากปากของมัน แต่สีหน้ายังคงยิ้มแย้มเหมือนที่เคยเป็น หลังจากที่ผมถามถึงเรื่องไข่ที่นำมาแจกฟรี
    “จะว่าไปกุก็กลัวเหมือนกันว่ะ ดูมันร้ายแรงนะ ข่าวออกกันทุกวัน” ผมตอบแบบไม่เต็มปากเพราะกลัวจะไปกระทบใจมัน
    “กุว่าพวกสื่อมันเล่นข่าวกันมากไป คนที่ซวยก็พวกกุนี่หล่ะ เคยขายได้เป็นร้อย ๆ ถาดเดี๋ยวนี้เหลือไม่ถึงสามสิบ สงสัยกรรมจะตามสนองว่ะ จำได้ไหมที่กุเคยว่า กุสามารถทำให้ไข่ขายถูกได้อ่ะ มารัฐบาลนี้แม้งเด็ดกว่า ให้ฟรีคนยังแทบไม่กล้าจะเอาเลย”
    “เออ พูดเรื่องนี้เลยนึกขึ้นมาได้อีกอย่างเมิงจำที่กุเคยเขียนในแบบสอบถามอ่ะ เรื่องอยากเป็นนายกฯ ตอนนี้กุได้เป็นแล้วนะโว้ย เป็นมาสองสามปีแล้วด้วย” มันยังด้นตลกร้ายต่อไป พร้อมกับโชว์เข็มนายกสมาคมผู้ปกครองที่ติดอยู่บนหน้าอกให้ดู
    “อือ เมิงเก่ง แล้วจะทำไงต่อไปวะ”
    “ทำไงได้ ก็ต้องยอมรับสภาพกันไป คิดว่าคงไม่นานนักหรอก คนไทยเก่งเรื่องปรับตัวอยู่แล้ว เดี๋ยวเห็นว่าโรคนี้มันไม่ได้รุนแรงเท่าที่ข่าวออก ก็คงเลิกกลัวไปกันเอง พอสื่อไม่เล่นข่าวก็คงกลับมาเหมือนเดิม กุอ่ะยังทนไหวแต่ อีกหลาย ๆ ฟาร์มสิน่าสงสาร แต่ก็อย่างว่ามันไม่มีอะไรแน่นอน” เสียงของมันเริ่มขื่นลงในตอนท้ายและหยุดลงแค่นั้นทิ้งให้ผมคิดต่อยอดไปอีกไกล

    การสนทนาของเราดำเนินต่อไปด้วยเรื่องสัพเพเหระที่จำกัดอยู่ในขอบเขตเรื่องความเป็นไปของเพื่อน ๆ และความหลังเก่า ๆ ก่อนที่มันจะชวนผมไปปลดทุกข์เบาที่ท้องนาซึ่งอยู่ติดกับหลังโรงเรียน เนื่องจากห้องน้ำของโรงเรียนชายล้วนนับแต่อดีตจวบปัจจุบันนั้นไม่เป็นที่น่าพิสมัยอยู่แล้ว

    เบื้องหน้าเป็นทุ่งนากว้างขวางมีคันดินแบ่งขอบเขตอย่างชัดเจน นาแปลงหนึ่งที่รกร้างไปด้วยวัชพืช ยังมีหุ่นไล่กายืนอยู่อย่างเดียวดายบนดินแตกระแหง เราตรงไปที่คันนาทำธุระอย่างเงียบเชียบ แต่ตอนที่จะเดินกลับกันนั้นเองที่ อู๋ ทำลายความสงบขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสดใส

    “เฮ้ย เมิงรอตรงนี้ก่อนนะโว้ย กุคิดอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้”

    ผมยืนรออยู่ชั่วครู่อู๋ก็กลับมาพร้อมไข่สองถาดใหญ่ ความกระตือรือร้นของมันนั่นทำให้ผมสนใจมากกว่าสิ่งที่มันถือมาเป็นไหน ๆ

    “ดู” มันร้องบอกผมพร้อมกับหยิบไข่ออกมาจากถาด แล้วเขวี้ยงออกไปทางหุ่นไล่กา เสียงไข่ไก่กระทบกับพื้นดังขึ้นมาแทบจะทันใด
    “แม้ง เอ้ย นิดเดียวเอง เอาใหม่ ๆ มาลองด้วยกันสิวะ”
    ผมเดินเข้าไปหยิบไข่ขึ้นมากำไว้ในมือหลังจากที่อู๋ปาออกไปเกือบโหล เริ่มวางท่า สุดท้ายจึงปาออกไป เสียงไข่ปะทะเข้ากับส่วนชายโครงหุ่นไล่กาดังทึ้บ ผมรู้สึกสะใจขึ้นมาเล็ก ๆ
    “เก่งนี่หว่า ไม่ได้ ๆ กุไม่ยอมแพ้โว้ย” มันร้องบอกแทบจะในทันที จากนั้นคว้าไข่ขึ้นมาเล็งและเขวี้ยงออกไปอย่างสุดแรง

    เราปาไข่ออกไปอย่างบ้าคลั่งโดยมีหุ่นไล่กาซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่เป็นที่ระบายอารมณ์ ในตอนท้าย ๆ อู๋บอกให้เขียนชื่อคนที่ไม่ชอบขี้หน้า หรือเรื่องที่ไม่สบายใจลงบนไข่ด้วยปากกาเมจิกที่ผมติดกระเป๋ามา ก่อนที่จะปาออกไปอีกด้วย

    ในที่สุดเราก็หมดแรง ผมจำได้ว่าใช้ไข่ใบสุดท้ายเขียนชื่อหญิงสาวที่กำลังปั่นหัวผมลงไป พร้อมกับออกแรงเหวี่ยง มันหลุดออกจากมือผมอย่างระโหยโรยแรงลอยไปไม่ถึงครึ่งทางที่จะถึงจุดหมายเสียด้วยซ้ำ แม้กระทั่งผมเองยังไม่รู้ว่าตัวเองหมดแรงหรือไม่กล้าปาออกไปให้สุดแรงกันแน่

    อย่างไรก็ดีภาพที่ติดตามากที่สุดกลับเป็นภาพแสงสว่างสีส้มวาบขึ้นจากปลายของมวนบุหรี่ซึ่งอยู่ที่ริมฝีปากของอู๋ ณ นาทีนั้นผมมั่นใจว่าได้เห็นประกายตาที่มุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ปรากฏขึ้นมาวูบหนึ่ง

    หลังจากวันนั้นผมก็เริ่มกลับเข้าสู่วัฏจักรเดิม ๆ ชีวิตถูกสนตะพายชักจูงไปข้างหน้าด้วยคำว่างานและความรับผิดชอบ ไม่ได้ติดต่อพบปะเพื่อนฝูง ผมกลายเป็นเหมือนบุคคลล่องหนอย่างสมบูรณ์แบบอีกครั้งทั้งในความรู้สึกของตัวเองและความคิดของเพื่อน ๆ นั่นจนกระทั่งผมพบกับข่าวของร้านแฟรนไชน์ที่กำลังมาแรงร้านหนึ่งในหน้าหนังสือพิมพ์ มันดึงดูดให้ต้องออกไปซื้อสิ้นค้านั้นมาดู

    ผมกลับมาถึงบ้านพร้อมกับกล่องที่ทำด้วยวัสดุรีไซเคิลซึ่งถูกออกแบบให้ดูสวยงามสะดุดตาและทันสมัย ข้างในกล่องมีพลาสติกจำลองรูปคนซึ่งถ้าขยายออกมาคงจะมีขนาดเท่าจริง ตรงบริเวณใบหน้ามีที่ให้สอดรูปถ่ายเข้าไป มีที่แขวนติดผนัง ปากกาเมจิก เอกสารคู่มือการใช้งานและไข่ไก่หกฟองหกสีสันที่บรรจุมาอย่างดีในถาดโฟมกันแตก แต่สิ่งที่ทำให้ผมนั่งอมยิ้มอยู่คนเดียวกลับอยู่บนฝากล่องด้านนอก มันเป็นภาพของอู๋ที่ฉีกยิ้มกว้างในมือประคองถาดไข่แบบครึ่งโหล ด้านล่างเขียนคำโปรยเป็นตัวเอนสวยงามว่า “คลายเครียด ระบายอารมณ์” ตามมาด้วยที่อยู่ของเว็บไซต์ ก่อนที่จะมาจบด้วยชื่อของแฟรนไชน์ตัวโต “ไข่ของอู๋”

    เรื่องของเรื่องคือ ไม่นานนักหลังจากที่เราร่วมกันปาไข่อู๋กลับไปวางแผนการเปิดร้านปาไข่ระบายอารมณ์ขึ้น เพื่อระบายไข่ที่คั่งค้างเนื่องจากเกิดโรคระบาดทั้งของตัวเองและชาวฟาร์มไก่ไข่ใกล้ ๆ ไม่น่าเชื่อว่ามันเกิดเป็นที่นิยมขึ้นมา หลังจากขยายสาขาที่สอง อู๋รีบไปจดลิขสิทธิ์ความคิดและเริ่มวางแผนในการทำแฟรนไชน์ พัฒนารูปแบบของผลิตภัณฑ์ จนในที่สุดก็ประสบความสำเร็จในระดับเป็นที่น่าพอใจ

    จากเรื่องราวนี้ทำให้ผมเชื่อแล้วว่าคนที่สามารถปรับตัวได้เท่านั้นที่จะเป็นผู้ชนะ อู๋ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่สามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสจนเดินไปสู่หลักชัยได้ ในขณะที่อีกหลายคนเมื่อพบกับความผิดหวังล้มเหลวก็โทษฟ้าโทษดินโทษหรือแม้กระทั่งตัวเองไปเรื่อย ไม่ได้พยายามทำอะไรให้ดีขึ้นมาแม้แต่น้อย

    ***********

    จากคุณ : biblio - [ 29 ก.ย. 47 13:08:36 ]