CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    เจ้านายที่รัก (ตอน ฮีโร่)

    เช้านี้บรรยากาศช่างดูหม่นหมองยิ่งนัก เนื่องจากความหมองหม่นในหัวใจของผม ผมนอนหมอบราบอยู่กับพื้นที่โคนต้นโมกใกล้เฉลียงหลังบ้าน พยายามข่มตาให้หลับ เพื่อที่จะได้ผ่านพ้นวันอันสุดแสนจะทรมานนี้ไปเร็วๆ

    เฮ้ออ… ทำไมมันช่างเงียบเหงาอย่างนี้นะ เวลาที่เจ้านายไม่อยู่ ..

    ครับ..เจ้านายผมเขาออกไปทำงานต่างจังหวัด ปล่อยผมไว้กับพี่บื้อสองต่อสองอีกแล้วครับ คุณลองคิดดูก็แล้วกันว่ามันน่าหดหู่ห่อเหี่ยวไร้ซึ่งความกระชุ่มกระชวยในหัวใจสักแค่ไหนกับการที่สุภาพบุรุษทั้งสอง(โดยเฉพาะแมนเต็มตัวอย่างผม) ต้องมาอยู่ด้วยกันตามลำพัง

    โลกทั้งโลกของผมในตอนนี้เหมือนดังถูกทาไปด้วยสีเทา ไม่ว่าจะลืมตาหรือหลับตา ไม่ว่าจะมองไปทางไหน จะหันไปทางซ้าย หรือหันไปทางขวา หรือแม้กระทั้งดวงอาทิตย์ก็ยังเป็นสีเทา -_-‘

    พี่บื้อคงจะกำลังรีบเร่งทำงานชิ้นสำคัญอยู่ด้านในเพราะผมเห็นนั่งทำตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเช้าแล้วยังไม่ไปไหนเลย จึงไม่ค่อยสนใจผมเท่าไร และผมก็ไม่ค่อยจะสนใจพี่บื้อเท่าไรเช่นกัน ออกไปแสวงหาสิ่งเร้าใจกับโลกภายนอกดีกว่า

    ไวเท่าความคิดผมชันกายลุกขึ้นด้วยขาหน้าทั้งสองข้าง อ้าปากสามหาว แล้วยกขาหลังเกาที่กกหูสามสี่ครั้ง ก่อนที่จะลุกขึ้นสะบัดตัวไปมาสองสามที จากนั้นผมจึงวิ่งไปบริเวณด้านหน้ารั้วบ้าน....

    (สูงจังแฮะ…) ผมมองไปที่ถังขยะที่ติดกับกำแพงรั้ว ตัดสินใจกระโดนขึ้นไปบนนั้นหนึ่งสเตปแล้วกระโดดขึ้นไปอีกเป็นสเตปที่สองเกาะขอบรั้วไว้ได้อย่างหวุดหวิด ก่อนที่จะพยายามตะเกียดตะกายด้วยขาหลังอย่างทุลักทุเลขึ้นไปอยู่บนขอบรั้วได้อย่างมั่นคง…อ่า..แล้วจะลงอย่างไงละเนี่ยสูงชิฟ… แต่ก็ต้องลง .. ตัดสินใจกระโดดสเตปเดียวถึงพื้น

    “พลั๊กกก!!” หน้าคม่ำ ขาทั้งสี่ไถลไปกับพื้น

    “อิ๋งๆๆๆ” ครางเล็กน้อย ก่อนที่จะพยายามลุกขึ้นมาตั้งหลัก

    เแล้วดินกระเพกๆไปตามถนนซอย ออกไปสู่ถนนใหญ่ ร้านค้ามากมาย ผู้คนคับคลั่งต่างเดินสวนกันไปสวนกันมาอย่างรีบเร่งเพื่อไปที่ไหนกันซักแห่ง บ้างที่ไม่รีบเร่งก็เดินทอดน่องไปแบบสบายๆ รถเมล์สีแดงวิ่งเฟี๊ยววววววมาแล้วเบรคเอี๊ยดดดดดดดสองล้อหน้าติดพื้นสองล้อหลังลอยขึ้นเล็กน้อยมาจอดที่ป้ายพอดีอย่างกะจับวางแสดงให้เห็นว่าโชว์เฟอร์ที่ขับเป็นผู้ที่มีความชำนาญอย่างสูง คนบนรถต่างพร้อมใจกันไปกองอยู่ด้านหน้าโดยไม่ได้นัดหมาย ผู้ที่อยู่ด้านล่างต่างรีบแย่งพากันกรูขึ้นไป เหมือนดั่งเป็นรถเมล์เที่ยวสุดท้ายของสาวโสดอย่างนั้นละ แล้วคนขับก็ใส่เกียร์แรกพร้อมเหยียบคันเร่งพรื๊ดดดดดดดดด ออกไป ทั้งคนเก่าและคนใหม่ที่เพิ่งขี้นเมื่อตะกี๊ต่างพร้อมใจกันไปกองอยู่ด้านหลังโดยไม่ได้นัดหมายอีกครั้ง…ท่าจะสนุกแฮะ

    “ไง จัมโบ้วันนี้ฉายเดี่ยวเลยนะ มาๆๆ แปะให้ปาโก๋หนึ่งชิ้น” เสียงแปะขายปาโก๋ร้องทักผมอย่างคนคุ้นเคย พร้อมกับหยิบปาโก๋ส่งให้ผม ผมก็เป็นประเภทที่ไม่ชอบขัดใจใครอยู่แล้ว กลัวคนให้จะเสียน้ำใจ รีบวิ่งเข้าไปรับทันที

    พูดแล้วจะหาว่าโม้ ผมนะเป็นที่รู้จักและคุ้นเคยสำหรับคนแถวนี้เป็นอย่างดี ทุกคนรักและเอ็นดูผมมาก ด้วยความที่เป็นหมารูปร่างหน้าตาดี(ดีที่ตา) น่ารัก และมีอัธยาศัยไมตรีต่อทุกคน จนบางครั้งสาวๆแถวนี้เห็นผมแล้วยังอดใจไม่ไหว ส่งเสียง กรี๊ดดๆๆ แล้ววิ่งเข้ามาหอมแก้มผมซะเฉยๆงั้นละ ทำเอาหมาหนุ่มผู้ใสซื่อบริสุทธิอย่างผมอายม้วนหน้าแดง น้ำลายหยดติ๋งๆๆ ครางหงิ๋งๆๆ ไปเลยนะซิ …นี่ผมไม่ได้โม้นา เรื่องจริง ผมก็ไม่ค่อยชอบนักหรอกพวกตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จนะ

    “จัมโบ้จ๋า…ไหนๆๆ มานี่ซิๆ ขอกอดหน่อย ขอกอดหน่อยน๊า” น่าน ..เห็นไหมละบอกแล้ว ..ไม่ได้โม้

    กว่าผมจะหลุดมาจากอ้อมกอดของสาวน้อยคนนั้นได้ก็เล่นเอาผมละบมไปทั้งตัวละครับ ผมเดินมาเรื่อยๆ มาหยุดอยู่ที่หน้าร้านอาโก…คุณคงรู้ซินะว่าร้านอาโก ขายอะไร
    เรื่องไหนเรื่องนั้น อาโก จะต้องขายกาแฟ แล้วเรื่องไหนก็เรื่องนั้นอีกนั่นละถ้ามีร้านกาแฟ คนขายก็ต้องเป็นอาโก ให้คนอื่นมาขายไม่ได้หรอก เดี๋ยวไม่ขลัง

    ผมเหลือบไปเห็นชายแก่ๆสองคนอายุประมาณแปดสิบกว่าๆได้แล้วกระมังครับ ท่าทางก็บ่งชัดว่าต้องตะบันน้ำกินเป็นอาหารหลักอยู่แล้ว นั่งดื่มกาแฟอยู่ที่หน้าร้านอาโก แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองจะไม่ได้ตั้งใจมาดื่มกาแฟสักเท่าไรหรอก คงตั้งใจมานั่งคุยกันมากกว่า การสนทนาของทั้งคู่คงเป็นไปอย่างออกรสออกชาติเลยทีเดียวละ เพราะว่าผมสังเกตุได้จากท่าทางที่ดูหน้าดำคร่ำเครียดของทั้งคู่ผสมกับการทุบโต๊ะในบางครั้งแบบที่จิ๊กโก๋คุยกันเวลาไม่สบอารมณ์ …อ่า..ผมอยากรู้ซะแล้วซิละว่าเขาคุยอะไรกัน ผมจึงเดินเข้าไปใกล้ๆในรัศมีที่หมาอย่างผมพอจะได้ยิน

    “น้องนุ่นนะเขาชอบข้านะเฟ้ย วันก่อนเขายังยิ้มให้ข้าเลย..(งั่กๆๆ)” เสียงคนแรกคุยเขื่อง

    “ใครบอกว่าเขาชอบเอ็ง เขาชอบข้าต่างหากโว้ย เมื่อเช้าเขายังแกล้งทำผ้าเช็ดน้ำหมากตกให้ข้าเก็บเลย..แถมยังขอบคุณข้าเสียงหว๊านหวานอีก..(งั่กๆๆๆ)” เสียงอีกฝ่ายเกทับ

    “นั่นมันเรื่องบังเอิญโว้ย ข้านี่ซิของจริง …(งั่กๆๆๆ) “ เสียงเริ่มดังขึ้นแบบ..งั่กๆๆๆ.. พร้อมกับการทุบโต๊ะประกอบ อยู่ไม่ได้แล้วเราไปดีกว่า

    ผมเดินไปเรื่อยๆ ตามทาง ผ่านทั้งสาวน้อยบ้าง ไม่น้อยบ้างหรือแม้กระทั้งเหลือน้อยบ้าง ก็ยังมี ต่างพากันกรี๊ดกร๊าดน่าดูเวลาผมเดินผ่านเหมือนอย่างกับว่าเห็นติ๊กเจษฎาภรณ์ ยังไงยังงั้นเลยละ ผมก็เลยต้องพลอยหันไปส่งยิ้มหวานเป็นระยะระยะ แล้วผมก็ต้องสะดุดกึก ด้วยว่าข้างหน้าผมในขณะนี้ได้มีชายหญิงสองคนกำลังทะเลาะกันอยู่ดูท่าท่างก็พอจะรู้ละครับว่าทั้งสองเป็นอะไรกัน แต่ที่ไม่รู้ก็คือเขาทะเลาะกันเรื่องอะไร ก็อีกนั่นละครับถ้าหมาอย่างผมจะเดินผ่านไปโดยไม่ยอมสนใจก็กระไรอยู่

    “โธ่..ที่รัก ผมผิดไปแล้ว ผมจะไม่ทำอีกแล้ว เชื่อซิ นะ นะ” น้ำเสียงที่ออดอ้อนอย่างคนแกล้งสำนึกผิด พร้อมกับหลบหลีกฝ่ามืออรหัน ดรรชนีพิฆาต พัลวัน เอ…ผมพูดตรงไหนผิดไปหรือเปล่านะ

    “ฉันไม่เชื่อแกอีกแล้ว หนอย มาขออนุญาต บอกจะไปนอนดูดาวกับเพื่อน ที่แท้ก็ไปนอนดูน้องดาวแถมไม่ได้ดูเฉยๆอีกตะหาก อ้ายคนกะล่อน อ้ายๆ คนโกหก ..อ้ายสานระเลว เลว เลวยิ่งกว่าหมา” อ้าวว แล้วนี่หมาอย่างผมไปเกี่ยวอะไรด้วยละนี่ อยู่ดีๆ ก็โดนเขาว่าเลว แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะก็ยังมีคนที่เลวยิ่งกว่า ผมเดินไปต่อไม่สนใจว่าเรื่องจะจบลงอย่างไร

    “จัมโบๆ มานี่ มาเอาไก่ทอดไปหนึ่งชิ้นเร๊ว .. สุดหล่อ” อ่า..เห็นไหมละเป็นไง เชื่อหรือยังคราวนี้ ว่าผมไม่ได้โม้ ..หุหุ

    โฮ่งๆ (ขอบคุณครับ) ผมเดินกระดิกหางพร้อมกับส่ายตัวไปมาดิกๆๆ เข้าไปหาเจ๊ขายไก่ทอดหาดใหญ่เจ้าประจำที่เจ้านายผมเคยซื้อ กล่าวขอบคุณพร้อมกับใช้ปากรับไก่ทอดชิ้นโตเข้ามาไว้ในปากอย่างบรรจง หันซ้ายหันขวาหาที่จัดการกับกับเจ้าไก่ทอดชิ้นนี้ซะก่อนที่มันจะบินหนีไปกลิ่นของมันช่างยั่วยวนน้ำลายผมซะจริงๆ ผมแสดงความขอบคุณกับเจ๊แกอีกครั้งหลังจากที่จัดการให้เจ้าไก่ทอดไปนอนแอ้งแม้งที่ท้องของผมเรียบร้อยแล้ว โดยการยกขาหลังข้างหนึ่งขึ้นพร้อมกับปล่อย่น้ำในตัวออกมาตรงล้อด้านหน้าของรถเข็น แล้วก็นึกในใจว่า ขอให้ขายดิบขายดีนะเจ๊ แต่ไม่รู้ว่าเจ๊แกจะเห็นความหวังดีของผมหรือเปล่า เพราะแกมัวทอดไก่อยู่อีกฟากหนึ่งของรถเข็น

    เมื่อหนังท้องเริ่มตึงแล้ว ผมจึงเดินผิวปากฮัมเพลงไปอย่างอารมณ์ดี มาจนเกือบสุดแนวฟุตบาทริมถนนที่จะบรรจบกับอีกซอยหนึ่ง พลันสายตาผมก็ได้เหลือบไปเห็น..
    ในมุมอับ ติดรั้วที่มีสังกะสีล้อมรอบเป็นแนว จิ๊กโก๋ประจำซอย ผมนับได้…อ่า…หนึ่ง สอง สาม สี่…กำลังรุมล้อมสุภาพสตรีนางหนึ่ง รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นน่าดู แต่ดูท่าทางเธอจะตื่นตระหนกและกำลังเสียขวัญ เนื้อตัวสั่นเทา สายตาวิงวอนที่มองไปยังจิ๊กโก๋พวกนั้น แต่ดูเหมือน ยิ่งสาวน้อยแสดงอาการตกใจกลัวมากเท่าไร กลับยิ่งสร้างความหฤหรรษ์ให้แก่พวกนั่นมากยิ่งขึ้น ไม่มีความปราณีในหมู่อันธพาลนี่คือสัจธรรม

    โฮ่งๆๆ (หยุดนะ เจ้าพวกหมาหมู่!!) ผมรีบกระโดนเข้าไปในวงล้อมทันที ใช้สายตาอันเฉียบคมองกราดปราดเดียวไปที่ร่างทั้งสี่ ก็พวกมันเป็นหมานี่ครับ แล้วก็หลายตัวซะด้วย ผมคิดว่าผมเรียกถูกแล้วละ

    ผมแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ ด้วยการวางมาดแบบพระเอกหนังไทย ตอนเข้าไปช่วยนางเอกฝ่าออกจากวงล้อมของผู้ร้าย แต่สายตาของเจ้าสี่ตัวสิบหกขาที่มันมองทางผมพร้อมๆกัน อย่างท้าทาย มันทำให้ผมรู้สึกเสียบวาบๆที่สันหลังเหมือนกันละครับขาของผมเริ่มสั่นเล็กน้อยถึงปานกลางแต่… เป็นไงเป็นกันซิ

    แฮ่……….(แน่จริงก็เข้ามาซีเว้ยย) ผมยืนจังก้า พร้อมกับแยกเขี้ยวยิงฟันอันแหลมคมส่งเสียงขู่ออกไป

    แฮ่….โฮ่งๆๆ…(แกแน่ใจหรือว่ะ ว่าจะสู้พวกข้าได้) เสียงเจ้าหมาหน้าย่นยับยู่ยี่เหมือนยังกะเพิ่งผ่านการตกตึกมาสักยี่สิบชั้น ของเจ้าบลูด๊อกเตี้ยล่ำ คำรามออกมาอย่างท้าทาย

    โฮ่งๆๆ (ลูกเพ่คับดูนั่นเซ่…ขามานสั่นพลั่บๆๆ เลย เหอๆๆ) เสียงเจ้าหยองกร๋อยสีดำขนเกรียนลูกสมุนขาขวาหน้าของเจ้าย่นดังขึ้นมา

    โฮ่งๆๆ (เอ๊ะ..หรือว่ามานจะสั่นสู้อ่ะลูกเพ่.. ฮ่าๆๆ เอิ๊กกๆๆ) คราวนี้เป็นเสียงของเจ้าหยองกรอดสีน้ำตาลแดงตัวเหมือนโครงกระดูกเดินได้ลูกสมุนขาซ้ายหน้าของเจ้าย่นดังขึ้นมาบ้าง

    บ๊อกๆๆ (ลูกเพ่ฮะ ปื๊ดว่าลุยเลยดีก่าฮะ )นั่นมันเสียงอ้ายปื้ดลูกหมายังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนี่นา….มาอยู่แก๊งค์เดียวกับเจ้าพวกนี้ด้วยหรือนี่ โอ้วว ..นี่หรืออนาคตของชาติ…หมา

    โฮ่งๆๆ (เราไม่กลัวพวกนายหรอก เข้ามาเลย) เสียงพระเอกอย่างผมดังขึ้นมาบ้าง

    โฮ่งๆๆ (พวกเรา บุก!!)

    และแล้วการต่อสู้ของฝ่ายทำมะกับฝ่ายอะทำก็ได้เริ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมองแทบไม่ออกเลยว่าใครเป็นฝ่ายได้เปรียบเสียเปรียบอย่างไร ตอนนี้ได้เกิดฝุ่นที่ฟุ้งตลบขึ้นเป็นวงกลมหนาโอบล้อมกลุ่มที่ตะลุมบอนกันอยู่เอาไว้…

    โฮ่งๆๆๆๆ @#!*;@&#!!@*+;&#;แง้งงงๆๆๆ!!+@#??!! &#@#; เอ๋งงงๆๆๆ@!!#!*;@&#&;&#@;&#+@;

    ในนาทีต่อมา เจ้าหยองกร๋อยก็ได้กระเด็นออกมานอกฝุ่นหนานั้นเป็นตัวแรก …เอ๋งงๆๆๆๆ

    ในอีกอึดใจต่อมาเจ้าหยองกรอด ก็ได้กระเด็นตามเจ้าหยองกร๋อยออกมาเป็นตัวที่สอง…หงิ๋งงๆๆๆ

    และอ้ายปื๊ดลูกหมายังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมก็ตามมาติดๆ .. อิ๋งงๆๆๆ

    ตอนนี้สิ่งมีชีวิตที่เหลืออยู่ในฝุ่นต่างหยุดอยู่ในความสงบ…ฝุ่นค่อยๆเบาบางและจางลง จางลงเรื่อยๆ ทำให้มองเห็นทั้งสองฝ่าย ยืนจังก้า สายตาของทั้งคู่ต่างจับจ้องกันเขม็ง ดั่งคมเฉือนคม ขาจัมโบ้สุภาพบุรุษที่สุดในโลกของเราตอนนี้สั่นพลั่บๆแทบจะผยุงตัวเอาไว้ไม่อยู่ ดวงตาเริ่มมองเห็นดาวระยิบระยับ และแล้วทันใดนั้นเอง….

    เจ้าย่นจิ๊กโก๋ประจำซอยก็ได้ล้มลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่กับพื้น ไม่มีแม้แต่เสียงครวญครางให้ได้ยิน….อ่า

    เอ๊ะ..ว่าแต่เมื่อตะกี๊ตอนที่ผมกำลังตะลุมบอนกันอยู่ ใครเป็นคนเล่าเรื่องแทนผมนะ ????

    โฮ่งๆๆ(เป็นอย่างไรบ้างครับ น้องสาว เจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่าครับ) ผมหันมาถาม(ทำเสียงหล่อ)สุภาพสตรีที่ตอนนี้ยังหลงเหลืออาการตื่นตระหนกอยู่บ้างเล็กน้อย

    บ๊อกๆๆๆ(ตกใจนิดหน่อยฮ้า แต่ตอนนี้หายแล้วฮ้า ขอบคุณมั๊กๆเลยนะฮ๊าา ที่มาช่วยเดี๊ยนไว้) น้ำเสียงห้าวใหญ๋ที่ถูกบีบให้เล็กแหลมแต่ก็ยังคงความห้าวให้เห็นอยู่ดี พร้อมกับดวงตาหวานซึ้งกระพริบถี่ๆ ที่มองมายังผมอย่างเชื้อเชิญและขอบคุณ พร้อมกับท่าเดินเยื้องยางเข้ามา มันทำให้ผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก..นี่ตกลงว่าระบาดมาถึงแม้กระทั้งหมาเลยหรือ….อ่า

    ผมใส่TEENหมาวิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต…อ่า….อย่างนี้นี่เองที่คนเขาเรียกว่า “ใส่TEENหมาวิ่ง”…กลับบ้านเราพี่บื้อรออยู่


    (จบแล้วค่ะ)

    จากคุณ : สีชมพู - [ 2 ต.ค. 47 00:46:32 A:202.5.82.72 X: ]