ถึง คุณพ่อ
ลายมือตัวโตๆที่บรรจงเขียนด้วยปากกาลูกลื่นสีน้ำเงินที่หน้าซองทำให้ผมรู้ได้ในทันทีว่าใครคือเจ้าของจดหมายลึกลับฉบับนี้....
ผมค่อยๆเปิดซองสีขาวนั้น ก่อนที่จะค่อยๆคลี่กระดาษสีขาวที่เต็มไปด้วยลายเส้นแบบเดียวกับกระดาษในสมุดเรียน จะต่างกันก็ตรงที่ว่ากระดาษใบนี้ไม่ใช่กระดาษเปล่า แต่มีลายมือเจ้าของจดหมายที่ดูเหมือนจะตั้งอกตั้งใจเขียน ด้วยปรากฏรอยกดลึกจนก่อให้เกิดรอยในอีกด้านหนึ่งของกระดาษระบายอยู่เต็มไปหมด...
ผมอ่านจดหมายฉบับนั้นด้วยความตั้งใจที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน....
พ่อคะ
เกือบจะอาทิตย์เต็มๆแล้วนะคะ ที่เราไม่ได้พูดกันเลย ...
คราวนี้ดูเหมือนเราสองคนจะทะเลาะกันนานกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาเลยนะคะ พ่อรู้ไหมปรางไม่ชอบเลยทุกครั้งที่พ่อ หรือบรรดาพวกผู้ใหญ่ หาว่าวัยรุ่นแบบปรางเป็นพวกทำตัวไร้สาระไปวันๆ และนั่นก็ดูเหมือนจะเป็นสาเหตุสำคัญด้วยสิ ที่ทำให้พ่อกับปรางดูจะไม่ลงรอยกันเหมือนแต่ก่อนครั้งเมื่อปรางยังเด็กกว่านี้ และถึงจะมีแม่เป็นคนช่วยเราสองคนปรับความเข้าใจ แต่มันก็เหมือนว่า ความเป็นเด็กยุคใหม่ของปรางกับความคิดของคนอายุเท่าพ่อ จะเหมือนกับน้ำกับน้ำมันที่ต่อให้ทำอย่างไรเราก็ไม่มีวันเข้ากันได้
เมื่อเช้า ตอนพ่อไปส่งปรางที่โรงเรียน ปรางเห็นพ่อแอบมองปรางหลายครั้ง และยิ่งฝนตกด้วยแล้ว พ่อคงอยากจะพูดเตือนปรางให้ระวังจะตากฝน ระวังไม่สบายเหมือนกับทุกครั้ง ส่วนปรางเองวันนี้ก็ดันลืมหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากบ้าน ใจหนึ่งปรางก็อยากจะขอเงินพ่อนะ แต่ไม่ดีกว่า ยืมฝ้ายหรือเพื่อนคนอื่นที่โรงเรียนก็ได้ อย่างน้อยในเกมส์ระหว่างพ่อกับปรางเกมส์นี้...ปรางก็จะได้ไม่แพ้ เพราะปรางไม่ใช่คนที่เริ่มพูดกับพ่อก่อน
อาทิตย์ที่แล้ว มันเริ่มตั้งแต่วันศุกร์แล้วที่พ่อบ่นปรางเรื่องเรียนพิเศษ พ่อหาว่าปรางโดดเรียนเพราะขี้เกียจ หาว่าปรางติดเพื่อนบ้าง เห็นเพื่อนไม่เรียนกันปรางเลยไม่เรียนบ้าง...สารพัดที่พ่อบ่นปรางน่ะ!
แต่พ่อเคยฟังปรางบ้างไหมคะ ถ้าปรางจะบอกให้พ่อฟังว่าวันนั้นถ้าปรางไปเรียนปรางก็เรียนไม่รู้เรื่องอยู่ดีเพราะไอ้ที่ปรางต้องสอบที่โรงเรียนทั้งวันมันก็มากพออยู่แล้ว แถมวันนั้นปรางเบื่อปรางก็เลยหยุดไปดูหนัง...มันก็เท่านั้นเอง ปรางไม่ได้หยุดไปมั่วสุมเสพยากับเพื่อน ปรางไม่ได้หยุดเรียนไปอยู่กับผู้ชายที่ไหนแค่ปรางขอทำตัวขี้เกียจ หลุดออกมาจากตารางเรียนพิเศษที่แน่นเปรี๊ยะทุกเย็นแค่วันนึง..แค่วันเดียวเท่านั้น....แต่พ่อก็หาว่าปรางเป็นอย่างนู้นอย่างนี้แบบที่พ่อคิด ....ปรางไม่เคยทำแบบนั้น ปรางเสียใจที่พ่อดุ ..แต่พ่อก็รู้ว่าปรางไม่เคยโกหกพ่อ
พอเข้าวันเสาร์พ่อก็บ่นปรางแต่เช้าเลย ว่าปรางไม่ยอมไปเรียนกอล์ฟ เบี้ยวนัดกับโปรกอล์ฟ แย่มากๆที่เอาแต่นอน ไม่ทำตัวให้กระฉับกระเฉงสมวัย ไม่ออกกำลังกาย ไม่ทำตามที่พ่อวางไว้ ....พ่อว่าปรางเป็นอย่างนู้นอย่างนี้อีกแล้ว...อีกแล้ว!
บ่ายเข้า พ่อก็ว่าปรางอีกคราวนี้เรื่องปรางเปิดทีวีเสียงดัง ดูรายการวัยรุ่นไร้สาระมีแต่ผู้หญิงแต่งตัวโป๊ๆ ท่าทางกระโดกกระเดก ผู้ชายผมเผ้ารุงรัง ทำหน้ายียวนกวนประสาท แต่งตัวเหมือนคนบ้า พูดจาประสาแปร่งๆ อยู่เกลื่อนจอ พอปรางปิดทีวีขึ้นไปฟังเพลงในห้อง พ่อก็ยังบ่นปรางไม่เลิกว่าปรางฟังแต่เพลงที่โฮกฮาก เสียงดังตึงตัง แบบนี้นี่เองที่มีส่วนทำให้ปรางเป็นเด็กไม่เรียบร้อย...เฮ้อ เห็นไหมคะ..พ่อคิดของพ่อเองอีกแล้ว
นั่นแค่เบาะๆ แค่สองวันแรก...
แต่แล้ว พายุที่มีชื่อเรียกว่า พ่อ ลูกสุดท้าย...ก็เข้ามาจู่โจม ประเทศปราง ตอนวันอาทิตย์...ปรางมีนัดกับเพื่อนที่โรงเรียน ปรางขอแม่แล้วตั้งแต่เมื่อคืน เราจะไปดูคอนเสิร์ตของพี่โป้ โยคีเพลย์บอย กับพี่ๆนักร้องแนวอินดี้ ที่กำลังเป็นที่ชื่นชอบและคลั่งไคล้ อย่างสุดๆของปรางและเพื่อนรุ่นเดียวกันตอนนี้
พอปรางกำลังจะก้าวออกจากบ้าน...พายุลูกที่ว่า ก็พัดครืน มาที่ปรางอย่างเต็มแรง....
แต่งตัวอะไรของแกน่ะยัยปราง แม่ดูสิ มันเหมือนกับคนสติสะตังเสียไปแล้ว นี่ๆ รองเท้ากางเกง เสื้อ หมวก...โอ้ยสารพัด ทำไมมันถึงดูไม่ได้แบบนี้ แถมยังไม่เรียบร้อยอีก แกจะใส่ไปโชว์ใครที่ไหน อายเขาบ้างสิ วัยรุ่นสมัยนี้มันเป็นอะไรกันนักหนา ชอบทำตัวเด่นไม่เข้าท่า แล้วนี่จะไปไหนอีก
แล้วพอปรางตอบว่า ปรางจะไปดูคอนเสิร์ต อินดี้
พ่อก็ว่าปรางต่อ....
อ่อ เพราะไอ้พวกแปลกๆนั่นเอง ที่แกคลั่งไคล้ ฉันเห็นรูปในห้องแก เห็นในทีวี ตามหนังสือ ฉันไม่เห็นว่ามันจะน่าไปดูตรงไหนเลยจริงๆ...ว่าแต่แกเองก็คงจะได้รับอิทธิพลความประหลาดๆมาจากพวกนี้ด้วยน่ะสิ แกถึงได้บ้าบอ ขึ้นทุกวัน....เฮ้อ ไม่ไหวเลยวัยรุ่นสมัยนี้ ขยันทำตัวไร้สาระ กันจริงๆ!
แล้ววันนั้น แทนที่จะได้ไปดูดนตรี ไปสนุกกับเพื่อนๆ
ปรางกลับต้องมานอนกอดตุ๊กตาหมี ที่ภูมิให้มาเมื่อวันเกิด ปรางร้องไห้อยู่ในห้องคนเดียว....
ปรางโทรหาภูมิ... ภูมิคือเพื่อนชายที่ปรางสนิทที่สุด ซึ่งปรางก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไป ที่ก็มีเรื่องกุ๊กกิ๊กมาเกี่ยวข้องบ้าง และนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่พ่อไม่ชอบพ่อไม่อยากให้ปรางมีความรัก แต่ความรักของเด็กอย่างปราง ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นสีขุ่นๆเหมือนกันหมดแบบที่พ่อคิด นี่นา....
แม่น้ำแต่ละสาย ก็ย่อมจะมีสีที่แตกต่างกันออกไป
บางสายที่ผ่านย่านอุตสาหกรรม ผ่านเมืองใหญ่ ไหลผ่านสิ่งแวดล้อมแย่ๆ ก็อาจจะมีสีที่ขุ่นมัวได้มากกว่าแม่น้ำที่ผ่านแต่สิ่งแวดล้อมที่ดีๆ ...และนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับคน ที่จะดีหรือชั่วต่างกันไป ไม่ได้เหมือนกันทุกคนหรอก ...
ปรางคุยโทรศัพท์กับภูมิอยู่ พ่อก็ยกสายขึ้นดุปรางและบอกว่าให้วางได้แล้วจะคุยอะไรมากมาย พอวางสายพ่อก็ขึ้นมาบ่นปรางเรื่องโทรศัพท์ ลามไปถึงเรื่องอินเตอร์เน็ต พ่อหาว่าปรางเอาแต่คุยโทรศัพท์เอาแต่แชท ไม่มีสาระ ปรางประมาทมากไปในการดำรงชีวิต พ่อบอกอีกว่า สักวันปรางจะรู้สึก
พ่อรู้ไหม ปรางอยากรู้สึก...
มันไม่ใช่เพราะปรางอวดดีหรอกนะคะ แต่บางทีการที่พ่อจะปล่อยให้ปรางได้วิ่งเล่นรอบๆขอบวงกลมที่พ่อสร้างมันขึ้น และนั่นมันจะทำให้ปรางล้มบ้าง เจ็บปวดบ้าง แต่ปรางก็ยังได้วิ่งเล่น ยังได้มีอิสระและเรียนรู้กับโลกภายนอก ปรางไม่วิ่งไปไหนจากกรอบนั้นไกลหรอกค่ะพ่อ..และปรางก็จะกลับเข้ามาเอง เมื่อปรางรู้สึกว่าเพียงพอแล้ว
แต่ถ้าพ่อให้ปรางมองออกไปเห็นแสงสีบาดตา ให้เห็นโลกข้างนอกจากมุมภายในกรอบแบบนี้ พ่อล่ามปรางด้วยโซ่ ถ้าวันนึงที่ความอยากรู้มันคุมใจปรางแทนที่สติ วันนั้นปรางอาจจะขัดขืด สะบัดโซ่นั้น หลุดเตลิดออกไปยังข้างนอก...และความเตลิดก็อาจจะพาให้ปรางหลงทางอยู่ในโลกภายนอกนั้น โดยที่ไม่มีวันได้กลับมาหาพ่ออีกเลยก็ได้... พ่ออยากให้ปรางเป็นแบบไหนค่ะ...และทำไมพ่อไม่ไว้ใจในตัวลูกสาวของพ่อบ้างเลย..
ในคำพูดของพ่อทุกคำที่พ่อว่าปราง...
ปรางอยากถามพ่อ ...ว่าตอนพ่ออายุเท่าปราง พ่อไม่ได้เป็นอย่างที่ปรางเป็นอยู่ตอนนี้หรือคะ?
พ่อไม่เคยหนีคุณย่าไปดูหนังหรือเดินเล่น หรือทำอะไรที่อยากทำบ้างหรือคะ??
พ่อไม่เคยคลั่งไคล้ เดอะ บีทเทิ้ล หรือ บีจี หรือ ดิ อิมพอสสิเบิ้ลบ้างเลย?
พ่อไม่เคยส่งจดหมายรึว่าแต่งกลอน จีบสาว?
พ่อไม่เคยมีความรักกุ๊กกิ๊กแบบปรางเลยจริงๆๆน่ะ?
(ถ้าพ่อตอบปรางว่าไม่....ปรางจะสรุปว่า...พ่อโกหกนะคะ เพราะปรางถามแม่มาแล้ว! อิอิ)
พ่อกำลังเอาความเป็นผู้ใหญ่ของพ่อตอนนี้ มาตัดสินปราง...ตัดสินปรางที่กำลังอายุเท่านี้...
พ่อไม่ได้มองปรางอย่างที่พ่อเคยเป็น แต่พ่อกำลังมองปรางอย่างที่พ่อกำลังเป็น ทั้งที่ความจริง บรรทัดฐานของพ่อตอนนี้ พ่อคือผู้ใหญ่ ส่วนปรางคือเด็ก พ่อทำไม่ถูกนะคะ ที่พ่อเอาบรรทัดฐานของพ่อ ณ ตอนนี้มาวัด เข้ากับตัวของปราง ในตอนนี้
ปรางรู้ค่ะพ่อ ว่าพ่อรักปราง และห่วงปรางมากแค่ไหน
ปรางรู้มากกว่านั้นด้วย.. ว่าพ่อไม่อยากให้ปรางเสียใจกับชีวิตที่อาจจะก้าวผิดได้ถ้ามันเป็นการเลือกของปรางเอง พ่อถึงได้พยายามเลือกทุกอย่าให้ปราง และให้ปรางทำตามนั้น...แต่พ่อจ๋า...ปรางอยากจะบอกพ่ออีกด้วยว่า ปรางอายุแค่ ๑๗ ปรางยังเยาว์และยังเขลานักในความรู้สึกของพ่อก็จริง และก็ดูว่าจะเขลามากนักถ้าเทียบกับ ความสามารถของพ่อ ที่เป็นถึงผู้บริหารระดับสูงของบริษัทชั้นนำ แต่ถึงพ่อจะรู้วิธีการบริหารต่างๆมากมายดีแค่ไหน...ปรางก็ยังอยากจะคิดและขอบริหารชีวิตของตัวเองบ้าง ...ถ้าปรางไม่เคยได้ล้ม ปรางก็คงไม่มีวันรู้สึกถึงความเจ็บปวดนั้นได้ดี ไม่ใช่หรือคะ
ปรางอยากให้พ่อคอยมองปรางใกล้ๆ คอยพยุงและฉุดปรางขึ้นมาเวลาที่ปรางล้ม มากกว่าที่จะให้พ่ออุ้มปรางไว้ตลอดเวลาแบบตอนนี้ ..พ่อในวันนี้ ก็ยังเคยเป็นพ่อในวันก่อน ..ปรางในวันนี้ ก็จะต้องเติบโตไปเป็นปรางในวันข้างหน้า
ปรางกำลังจะก้าวไปข้างหน้าตามทางของชีวิตของปรางเอง...พ่อปล่อยให้ปรางได้ยืนและเดินไปด้วยเท้าเล็กๆที่พ่อเคยเห็นในวันที่ปรางคลอด สองข้างนั้นเถอะนะคะ...เหมือนกับที่คุณย่าเล่าให้ปรางฟังว่า ตอนพ่อหนุ่มๆพ่อก็เคยขอคุณย่าแบบนี้เหมือนกัน (อย่าเพิ่งงอนนะคะ ถ้ารู้ว่าปรางแอบไปสืบราชการลับเรื่องของพ่อมาจากคุณย่าก่อนแล้วด้วย อิอิ)
คุณย่าบอกว่า ...วันนั้นที่พ่อเข้ามาพูดกับย่า ก็คงไม่ต่างอะไรกับวันนี้ที่ปรางกำลังพูดกับพ่อเหมือนกัน เพียงแค่ต่างวาระกันเท่านั้นเอง...วันนั้นพ่อก็ไม่เข้าใจคุณย่า เหมือนๆกับที่ปรางไม่เข้าใจพ่อในวันนี้เหมือนกัน
.... เอาไว้ปรางได้โตเต็มวัย ได้เป็นแม่ของคน ปรางก็คงเข้าใจคุณพ่อในวันนี้มากขึ้นเองนั่นล่ะ
ว่าแต่วันนั้น พ่อจะเป็นคุณปู่ขี้งอน ขี้บ่น แบบนี้อยู่รึเปล่าเอ่ย?
ปรางรักพ่อที่สุดเลยรู้ไหมคะ....ที่สุดของที่สุดของที่สุด ที่สุดเลยด้วย!
ดีกันนะคะพ่อ... ปรางอยากกอดพ่อเต็มแก่แล้วละ(ไม่ได้กอดมาหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ คิดถึงนะ!)
จาก มะปราง(ที่หล่นอยู่ใต้ต้นของพ่อ )
..........................
ผมพับจดหมายฉบับนั้น ที่บัดนี้ได้ทำหน้าที่สื่อกลางส่งสารแห่งความรักของมันเป็นที่เรียบร้อยแล้วกลับเข้าสู่ซองตามเดิม...
มองดูนาฬิกาข้อมือ.. วันนี้เป็นวันแรกของการทำงานที่ผมสายไปแล้วเกือบสิบนาที
ผมเร่งฝีเท้าออกมาจากรถ ....เดินไปยังออฟฟิศ...
แปลกที่ตอนนี้ถึงแม้ว่าฝนยังจะยังคงตกหนักเท่าเดิม...แต่ผมกลับมองไม่เห็นกระจกฝ้านั่นอีกแล้ว ท้องฟ้ากรุงเทพฯ ในเวลานี้ของผมมันกลับดูสดใสกว่าทุกวันเสียด้วยซ้ำ....ผมไม่ต้องบอก คุณก็คงจะรู้ว่าเป็นเพราะอะไร
ระหว่างที่อยู่ในลิฟท์...ผมหยิบโทรศัพท์มือถือ ขึ้นมา กดเข้าสู่เมนูเพื่อเลือกการใช้งานในฟังค์ชั่นที่ผมไม่เคยคิดจะใช้มาก่อนเลย...ผมกำลังจะส่งข้อความครับ.. sms ที่แสนจะฮิตกันของวัยรุ่นสมัยนี้นั่นล่ะ
นี่เป็นครั้งแรกของผมเลยก็ว่าได้ที่ได้สัมผัสเจ้าวิวัฒนาการ ที่อาจจะไม่ใหม่นัก ก็คราวนี้เอง
Dad loves Maprang
ตัวอักษรแค่ไม่กี่ตัว ที่พิมพ์ลงไประหว่างทางเดินไปออฟฟิศ ผมไม่รู้หรอกว่า คนที่ได้รับจะรู้สึกอย่างไร และแน่นอนว่ามันคงเทียบไม่ได้กับความรู้สึกแท้ๆมากมายในจดหมายฉบับนั้น
แต่ผมก็หวังว่า....เพียงสามคำนี้...
ก็จะสามารถส่งผ่านความรู้สึกจากผมไปสู่เธอได้...อย่างไม่ต่างกัน
.........................................
แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 47 19:17:20
แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 47 02:16:49
แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 47 02:12:56
แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 47 01:26:22
แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 47 01:17:37