เรื่องสั้น ไม่ค่อยถนัด แต่เนื่องในวาระพิเศษ ขอลองดูหน่อยค่ะ
=================
ในสายลม
แม้จะเป็นเวลาใกล้รุ่ง ท้องฟ้าเริ่มมีแสงสีขาวรำไร แต่ถนนในตัวเมืองปัตตานีก็เปิดไฟรายทางทุกดวงจนสว่างเต็มพื้นที่ นอกจากนี้ริมถนนสายต่างๆ ยังมีสิ่งก่อสร้างไม่คุ้นตาชาวบ้านตั้งอยู่หลายจุด มันเป็นป้อมชั่วคราวที่สร้างขึ้นอย่างลวกๆ หลังคามุงด้วยกระเบื้องหนาสีน้ำตาลขนาดยี่สิบนิ้วเรียงเกยกันสี่สิบแผ่น เสาสี่มุมเป็นแท่งปูนหนาประมาณสามนิ้ว สูงสองเมตรกว่า กำแพงสูงแค่เอวทั้งสี่ด้านใช้ถุงทรายซ้อนทับกัน ป้อมแบบนี้ใช้เป็นจุดตรวจของทหารและตำรวจที่มีอาวุธหนักครบมือได้คราวละ 3-4 นาย
ตอนนี้สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ นราธิวาส ยะลา และปัตตานี กำลังมีปัญหาการก่อความไม่สงบของโจรแบ่งแยกดินแดน
ท้องฟ้ายามย่ำรุ่งของฤดูร้อนที่เคยสดใส เต็มไปด้วยชีวิตชีวากลับเปลี่ยนไปเป็นหนักอึ้ง อึดอัด คล้ายอากาศลดน้อยลง นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่เคยเดินหัวเราะหายหน้าหายตาไปกันหมด ชาวบ้านที่เคยเดินทางออกจากบ้านตั้งแต่เช้าเพื่อเข้าสวนไปกรีดยางอันตรธานไป ไม่มีเสียงแห่งความร่าเริงใดใด ที่พอจะช่วยคลายบรรยากาศที่หนัก ทับลงบนอกของผู้คนที่นี่ได้เลย
วิชัยยุทธ นายทหารหนุ่มยศร้อยโท แต่งกายชุดพราง ถือปืนกลหนัก กระโดดลงจากรถบรรทุกกำลังพลของกองทัพบก เป็นเวลาเดียวกันกับไฟสีส้มดวงกลมที่ห้อยจากชายคาหน้าป้อมริมถนนดับวูบลง พลทหารนายหนึ่งเดินออกจากป้อมเพื่อเปลี่ยนเวร ชิดเท้ายืนตรงเคารพเขา ก่อนปีนขึ้นรถบรรทุกกลับค่ายไป
วิชัยยุทธตรงไปที่ป้อม เมื่อพบว่าข้างในมีนายตำรวจยศร้อยตรีคนหนึ่งนั่งกอดปืนกลหนักอยู่บนเก้าอี้ก่อนหน้าให้รู้สึกแปลกใจ เพราะตำรวจที่จะมาประจำจุดตรวจพร้อมเขาต้องมาไล่หลังเขาประมาณสิบนาที
"หมวดเพชร ทำไมมาเร็วล่ะครับ?"
นายตำรวจที่ถูกถามขยับตัวเล็กน้อยแล้วตอบว่า "
ผมอยู่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับพี่ยุทธ
จ่ามะดีแกขอแลกเวร ผมเลยมาตั้งแต่เมื่อคืน
เช้านี้มอเตอร์ไซด์จะมาเข้าเวรแล้วโดนไล่ยิง
ครับพี่ยุทธ"
วิชัยยุทธฟังเพื่อนรุ่นน้องว่าก็อึ้งไป จ่ามะดีสนิทกับเขาเนื่องจากเข้าเวรพร้อมกันอยู่หลายครั้ง มาได้ข่าวว่าถูกยิงจึงตกใจ
"เป็นอะไรมากหรือเปล่า?"
"สบายครับ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล สีข้างนัด กับต้นขานัด โชคดีขี่มอเตอร์ไซด์หนีทัน แกบอกว่ายิงสวนพวกมันไป มันเลยไม่กล้ายิงต่อ"
"อ้อ
"
นายทหารหนุ่มรับคำสั้นเนื่องเพราะพวกเขาต่างรู้กันว่าคนร้ายแบบกองโจรนั้นถ้าสู้มัน พวกมันจะถอย หากเจ้าหน้าที่เผลอ มันจะลอบทำร้าย
แม้จะเหมือนไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่กัน แต่เมื่อฝ่ายหนึ่งอยู่ที่แจ้งในขณะที่อีกฝ่ายอยู่ที่ลับ ฝ่ายแรกจึงมักสูญเสีย ตั้งแต่ต้นปีมาแล้วเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และพลเรือนผู้บริสุทธิ์ต้องล้มตายกันเป็นใบไม้ร่วงด้วยฝีมือผู้ก่อการร้าย
เขา จ่ามะดี ทหารและตำรวจคนอื่นๆ รวมถึงนายตำรวจหนุ่มที่เพิ่งจบมาหมาดๆ อย่างร้อยตำรวจโทเพชรรบคนข้างๆ เขานี้จึงต้องนอนกอดปืนคอยระวังภัยให้ประชาชนตลอดเวลา
วิชัยยุทธตรวจปืนบนกำแพงป้อมก่อนจะตรงเข้าไปนั่งบนเก้าอี้หันหลังชนกับเพชรรบ แล้วเอ่ยกับนายตำรวจรุ่นน้องว่า
"
นอนหน่อยก็ได้หมวดเพชร ผมจะวอเรียกคนมาแทน ในค่ายน่าจะยังเหลืออีกหลายคนที่วันนี้หยุด"
"ไม่ต้องหรอกครับพี่" เพชรรบปฏิเสธทันที "ให้เขาหยุดเถอะครับ เหนื่อยเหมือนๆ กัน อีกอย่างผมกลับสถานีตอนนี้นอนไม่หลับหรอก"
"อ้าว ทำไมล่ะ?"
คนถูกถามเงียบไปจนวิชัยยุทธสงสัยต้องหันมาถามย้ำ ครั้นแล้วนายตำรวจหนุ่มรุ่นน้องจึงตอบกลับพร้อมน้ำเสียงซึ่งแสดงความหนักใจ "
พี่รู้เรื่องลางสังหรณ์หรือเปล่า"
วินาทีที่ได้ยินคำถามเหมือนเสียงนกกระจอกตอนเช้าที่มีเหลือน้อยนิดหยุดไปในทันใด
ลมเย็นซึ่งพัดเข้ามาบรรเทาความร้อนนิ่งหาย คิ้วหนาได้รูปรับกับดวงตาคมใต้เงาหมวกลายพรางของวิชัยยุทธขมวดทันทีโดยไม่ตั้งใจ เขาอ้าปากขึ้นหมายจะพูดแต่รีบเม้มเบียดกันในท้ายที่สุด
ทำไมเขาจะไม่รู้จักมัน ในหมู่ผู้อยู่ในสนามรบ ลางสังหรณ์ไม่ใช่สิ่งต้องห้าม มันเป็นสมบัติของคนกล้า สิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นกับคนขลาดเนื่องจากคนขลาดปฏิเสธไม่ยอมรับมัน เมื่อไรที่ทหารหรือตำรวจเอ่ยถึงลางสังหรณ์ย่อมหมายถึงชีวิตของตัวเองหรือเพื่อนร่วมงาน
เพียงเขาไม่เคยคิดว่าจะได้ยินสิ่งนั้นในตอนเช้าแสนเงียบสงบกลางฤดูร้อนเลย
เพชรรบ
เป็นนายตำรวจจบใหม่ ตัวเล็กแบบเด็กที่ยังมีโอกาสเติบโตอีก หน้าตาดี บุคลิกนุ่มนวล แต่เรื่องความห้าวหาญสมชายชาตรี เด็กหนุ่มอายุยี่สิบเอ็ดปีคนนี้มีอยู่เต็มหัวใจ
วิชัยยุทธรู้จักอีกฝ่ายเมื่อเรียนโรงเรียนเตรียมทหารด้วยกัน เขาชอบเพื่อนรุ่นน้องคนนี้มากเพราะเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ หากในความกล้านั้นก็มีความเป็นสุภาพบุรุษและซื่อสัตย์ เหมือนความดีทุกอย่างรวมอยู่ในตัวเด็กคนนี้หมด ดังนั้นในเสี้ยววินาทีที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงลางสังหรณ์ เขาจึงสัมผัสถึงอนาคตแห่งการสูญเสียอันใหญ่หลวง เหมือนบรรยากาศแห่งความระแวดระวังตอนกลางคืนที่เพิ่งคลายตัว พุ่งกลับเข้ามาครอบคลุมอีกหน ท้องฟ้าที่สว่างแล้วพลันมืดลง อากาศที่มีอยู่ในโลกหมดไป
เขาอยากจะกล่าวอะไรสักอย่างเพื่อทำลายความอึดอัดรอบกาย แต่เพชรรบที่ดูเหมือนจะรับรู้ความรู้สึกของเขาได้ เอ่ยขึ้นมา
"
ผมขอโทษพี่ ผมอาจจะคิดมากไปก็ได้"
เสียงติดอยู่ที่คอของวิชัยยุทธ เขาต้องเค้นมันอีกหน่อย จนหลุดออกมาได้ในที่สุด
"
ใช่ หมวดคิดมากไป คนอื่น
"
ดูเหมือนไม่ว่าเรื่องอะไรที่จะใช้ชวนคุยยังหนีไม่พ้นความเป็นความตาย นายทหารหนุ่มลอบถอนหายใจแล้วพยายามหาหัวข้อสนทนาใหม่ที่น่าจะทำให้อารมณ์สดใสได้กว่าหัวข้อเดิม
"เอ้อนี่ อีกสามวันหมวดได้เปลี่ยนผลัด กลับกรุงเทพฯ แล้วนี่"
"ครับ"
"กลับไปคราวนี้จะทำอะไรล่ะ"
คราวนี้เพชรรบหมุนตัวมาอย่างกระตือรือร้นยิ้มอยู่ในหน้า เหมือนลืมเรื่องที่พูดกันเมื่อครู่ไปหมด
"ผมจะบวช พี่ พ่อกับแม่เตรียมงานไว้แล้วด้วย"
"เอ้ย! จริงเหรอ?!" วิชัยยุทธหันขวับมาคุยด้วยอย่างตื่นเต้นดีใจทันควัน การบวชเพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่นับเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตของลูกผู้ชายอย่างพวกเขา ตัวเขาเองอยากบวชจะตายแต่ติดตรงที่ยังหาโอกาสเหมาะๆ ไม่เจอ
"เมื่อไรล่ะนี่! พี่อยากให้นาคขี่คอชะมัด!"
"คงหลังจากนี้สักเดือนแหละครับ บวชฤดูฝนต้องอยู่พรรษาเลย พี่ลาไปงานผมนะ งานนี้ผมจะเชิญมาทั้งรุ่นเลย แล้ว
หลังจากนั้นพอพ้นฤดูฝนก็
แต่งงานกับษา"
วิชัยยุทธพูดไม่ออก ความดีใจมันจุกอก!
ทั้งพ่อแม่ของเพชรรบ ทั้งอุษาวดี สาวน้อยผมยาวช่างพูดช่างคุยซึ่งคบกับเพื่อนรุ่นน้องเขามาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
โรงเรียนเตรียมทหารหัวเกรียนดำมะเมี่ยมเขารู้จักดี เพราะอย่างนี้เขาถึงยินดีเหมือนเรื่องตัวเอง ชีวิตสุขสมบูรณ์
ไม่มีอะไรน่าภูมิใจมากกว่านี้แล้ว!
"พี่ดีใจจริงๆ หมวดเพชร!" เขาตบบ่าอีกฝ่ายแรงๆ ตามอารมณ์
"ผมรู้ พี่ ขอบคุณนะครับ" เพชรรบฉีกยิ้มอวดฟันขาวสวยแล้วค่อยๆ หมุนตัวกลับไปนั่งกอดปืนทำหน้าที่ของตนใหม่
วิชัยยุทธแอบเห็นอีกฝ่ายยกนิ้วนางข้างซ้ายที่สวมแหวนทองเกลี้ยงวงหนึ่งขึ้นดูแล้วอมยิ้ม
หากคิดถึงเจ้าของแหวนซึ่งเป็นสาวน้อยหน้าตาน่าเอ็นดู ผมยาวดวงตาดำขลับกลมโตนั้นแล้ววิชัยยุทธเห็นว่าเพชรรบสมควรมีความสุข
ตอนจะขึ้นรถไฟที่สถานีหัวลำโพงมาปัตตานี เขายังได้พบทั้งพ่อแม่ของเพชรรบและอุษาวดีมาส่ง
ในขณะที่แม่กอดลูกชายแล้วร้องไห้ เธอกลับยิ้มให้คนรักทั้งที่ดวงตาดำขลับกลมโตแดงก่ำคล้ายกลั้นบางอย่างไว้เต็มความสามารถ
เธอเข้มแข็ง อดทนมาก สมกับหนุ่มน้อยซึ่งมีหัวใจของนักรบเลือกไว้เป็นคู่ชีวิตในอนาคต ซึ่งสิ่งที่เพชรรบจะได้ทั้งหมด
ต้องรอคอยอีกเพียงสามวัน
(มีต่อ)
จากคุณ :
ฯคีตกาล
- [
13 ต.ค. 47 18:01:03
]