Chapter 2
รถรางสู่อะคาเดมี
สวยชะมัด.. มิเกลอดรำพึงขึ้นมาไม่ได้ เมื่อรถรางอันมีรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายหัวรถจักรไอนํ้าขับเคลื่อนโบกี้สีดำสนิทแบบโบราณ กำลังเคลื่อนออกจากชานชาลาไปสู่จุดหมายบนยอดเขายิปไซด์ ทิวทัศน์เบื้องล่างย้อมความงดงามของบ้านเรือนแบบยุโรปแปะกระเบื้องหลังคาสีแดงอิฐ ที่กระจัดกระจายอยู่ในรั้วนคร ทั้งหอสมุด โบสถ์ วิหาร อันสร้างขึ้นอิงสถาปัตยกรรมโกธิกคล้ายปราสาทเบื้องบน ผสมผสานกับผืนป่าเขียวขจีและท้องทุ่งกว้าง..ประดับประดามวลพฤกษชาติหลายเฉดสี ณ จุดศูนย์กลางคือสุสานหิน สถานที่หลับไหลนิรันดร์ของเหล่าทหารกล้าผู้เสียสละในมหาสงครามศักดิ์สิทธิ์ ..แหล่งพำนับสุดท้ายที่อริศึกเทพ และมารจักได้เคียงคู่อยู่ร่วมกันตราบชั่วกาล..
คล๊อดมองใบหน้าตื่นเต้นของเด็กหนุ่มรุ่นน้องแล้วคลี่ยิ้ม ..บุตรชายเฮนิค วาเลอเรียน เทพสงครามผู้ควบคุมสมดุลยภาพการทหารในโลกมนุษย์ กับมิเรียม วาเลอเรียน จ้าวแวมไพร์งั้นรึ ที่สำคัญหมอนี่ยังเลือกใบไผ่เงินต้องห้าม เสียอีก ..น่าสนใจซะแล้ว
มันน่าตื่นเต้นตรงไหนวะกะอีแค่วิวธรรมดาๆ
นั่นสิ ภาพแบบนี้หาได้ทั่วไปนั่นแหละ ถ้าเป็นโลกมนุษย์ก็ว่าไปอย่าง
สองอริที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าความคิดเห็นตรงกัน หันหน้ามองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่ชอบใจ แล้วสะบัดพรืดไปอีกทาง สาวน้อยหน้าแดง กัดฟันกรอดๆ .. แต่ไอ้หนุ่มจอมโวยนิ่วหน้างุด
ธรรมดาสำหรับพวกนาย แต่พิเศษสำหรับฉันนี่ เกิดมาไม่เคยก้าวออกจากเขตปราสาทวาเลอเรียนเลย ทั้งๆที่พ่อก็ออกไปประจำการโลกมนุษย์แทบทั้งปี แต่ไม่เคยเอาฉันไปด้วยเลยซักครั้ง แม่ก็กลัวแสงแดดซะอีก ชาตินี้ถ้าไม่ได้รับเชิญจากอะคามี่สงสัยไม่ต้องเหยียบออกมาโลกภายนอกกับเขาหรอก
วินาทีนั้นมิเกลรู้สึกเหมือนดวงตาสีมรกตกลมโต ของสาวน้อยที่นั่งฝั่งตรงข้ามเป็นประกายวาบขึ้นแวบหนึ่ง เธอนั่งท้าวคางมองเขาหัวจรดเท้าราวพินิจอะไรบางอย่าง แล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ แล้วนายรู้ไหม ว่าไอ้ใบไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่นายเลือกมา
มันเป็นของต้องห้าม
เงียบ ความเงียบแผ่ปกคลุมไปทั่วห้องโดยสารขนาดสี่คนนั่งในทันที ..คนอื่นๆรู้สึกจุกอึ้งไปกับคำถามเจาะประเด็นตรงๆ คิดถึงใบหน้าปุเลี่ยนๆของเจ้าของร้าน ที่พยายามอธิบายคอเป็นเอ็น กับเจ้าเด็กหนุ่มผุ้ไม่ยอมฟังเอาท่าเดียว แล้วทุกคนก็คอตก
แต่ผู้ถูกถามกลับยิ้มกว้าง ตอบแบบไม่คิด นั่นสิ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่รู้สึกว่าในมือคุณตาคนนั้นคงมีอะไรน่าสนใจ แล้วก็ถูกเผง เห็นปุ๊บก็ถูกชะตาปั๊บเลย ถ้ามันมีอาถรรพ์จริงๆอย่างที่ว่าก็ดีสิ ชีวิตจะได้มีรสชาดขึ้นบ้าง
คล๊อดเลิกคิ้ว ..เนฟทิสแสยะยิ้มแฝงเลศนัย จะมีก็แต่ไซออนคนเดียวที่โวยวายเสียงดัง หนอย.. ไอ้บ้านี่ ไอ้เรานึกว่าจะมีเซนส์อะไรแยกแยะว่ามันเป็นของดี ที่ไหนได้ไม่มีหัวคิดเอาซะเล้ย!!
มิเกลหัวเราะแหะๆ สอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง กุมถุงผ้าบรรจุใบไม้คู่ชีวิตแน่น ..ไม่ใช่ไม่คิด แต่เขารู้สึกได้ว่า เจ้าใบไม้น้อยกำลังร้องเรียกหาเขาอยู่..
เด็กหนุ่มทอดสายตามองผ่านหน้าต่างกระจกใสออกไปยังทัศนียภาพเบื้องนอกอีกครั้ง ..ขณะที่รถรางแล่นผ่านแนวป่าดิบชื้น.. ขึ้นสู่จุดหมายปลายทางเบื้องบน
ระฆังสัญญาณของนายท่าหยุดลง ..กว่ารถรางจะจอดสนิทเทียบชานชลา เวลาก็ยํ่าเข้าสนทยาเต็มทีแล้ว ดวงอาทิตย์ขนาดใหญ่ลอยคํ้าเส้นขอบฟ้า สาดแสงแสดแดงปกคลุมท้องนภาที่เริ่มมืดหม่น
เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังระงมไปทั่วชานชาลาขนาดใหญ่ และหรูหราเกินกว่ามิเกลจะจินตนาการ มันปูพื้นเบื้องล่างด้วยหินภูเขาไฟ สานต่อด้านบนด้วยโครงเหล็กดัดทรงโค้ง ที่ปิดทับด้วยแผ่นกระจกสีชา.. เขาชะโงกหน้าผ่านประตูห้องโดยสาร เพื่อที่จะเห็นผู้โดยสารคนอื่นๆทะยอยเบียดเสียดลงจากรถไป ..สัมภาระแต่ละคนยิ่งทำให้การเคลื่อนตัวเป็นไปอย่างทุลักทุเล
ไม่ต้องรีบ รอให้คนอื่นๆเขาลงไปก่อน ลงก่อนลงหลังมันก็มีค่าเท่ากัน คล๊อดกล่าวเรียบๆ ..รอยยิ้มรู้ทันกระตุกข้างมุมปาก เพราะคำพูดของเขาไม่ได้เจาะจงไปที่นักเรียนรุ่นน้อง แต่มันไปหยุดการเคลื่อนไหวของคนที่คว้าเป้ตรียมกระโดดออกจากห้องผู้โดยสารต่างหาก ไซออนชะงักเมือนถูกแช่แข็ง ทรุดร่างสูงเก้งก้างลงนั่งข้างเด็กหนุ่มผมทองอีกครั้ง พร้อมตีสีหนาไม่รู้ไม่ชี้
ไอ้เลวฟรังซัวรส์ทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นไอ้โง่ปัญญาอ่อนอีกแล้ว
มิเกลฉงน
.เปลือกตาของคล๊อดยังคงปิดอยู่เช่นเดิม เหมือนตั้งแต่เริ่มสัปหงกเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ ว่า..ตกลงหมอนี่ได้หลับจริงๆหรือเปล่า
ps.รูปประกอบ มิเกล วาเลอเรียน กับเนฟทิส ฟรังซัวรส์ ตัวเอกสองคนค่ะ >.<~
แก้ไขเมื่อ 14 ต.ค. 47 08:39:47