CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    ความคิดป๋มต่อการศึกษาไทย

    ความคิดคนเรามีหลายรูปแบบ หากไม่เห็นด้วย ก็ขอให้บอกเหตุผล อย่าด่าแบบหน้าด้านๆ

    นิยามของคำว่าสอบ

    การสอบนั้นคือการทดสอบตนเองว่าที่เราเรียนมานั้นเราได้รับความรู้และจดจำได้เท่าไร ดังนั้นหากเราอ่านหนังสือก่อนสอบไปก็เหมือนกับการเขียนอะไรสักอย่างลงบนกระดานดำ ไม่นานก็จะถูกลบทิ้ง คล้ายๆกับ RAM ถึงเราจะได้คะแนนดีก็เหอะ ในอนาคตความรู้อันนั้นก็หายไป การเรียนนั้นนิยามที่แท้จริงก็คือ เรียนเพื่อรู้ เรียนเพื่อพัฒนา การเรียนคือการ"จำ"เท่านั้นหรือ ผมว่าไม่ใช่ การเรียนคือการศึกษาเรื่องต่างๆ เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาตนเองและสังคมในภายภาคหน้า ผมไม่เห็นด้วยกลับการศึกษาในสมัยนี้
    "สอบ" มีไว้เพื่อการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน
    "สอบ" มีไว้เพื่อให้ครูแกล้งนักเรียนที่ตนเองไม่ชอบ
    การเรียนรู้นั้นไม่จำเป็นว่าต้องทดสอบจากในกระดาษที่มีคนคิดขึ้นมาให้เท่านั้น เราก็ทำได้จากชีวิตประจำวันของเราเอง หากเรายึดติดกับกระดาษไม่กี่แผ่น ก็ไม่เรียกว่า “มนุษย์”แล้ว ก็เหมือนกับหุ่นยนต์หรือสัตว์ ที่เกิดมาเพื่อ กิน เรียน สืบพันธุ์ แต่ไม่มีการพัฒนาตนเอง การเรียนนั้นมีสองรูปแบบก็คือ เรียนเพื่อสร้าง กับเรียนเพื่อทำลาย เหตุที่ผมบอกเช่นนี้ก็เพราะว่าโลกเรานั้นสมดุล เมื่อมีสร้างก็ต้องมีการทำลาย
    คะแนนสอบนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวที่บอกว่าที่เราเรียนมานั้น เราเข้าใจหรือเรียนรู้มามากเท่าไร คะแนนสอบนั้นบอกเรื่องต่างๆของตัวเราได้โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย เช่น

    1. การเข้าใจ
    2. ความจำ
    3. มนุษยสัมพันธ์
    4. ความรับผิดชอบ
    5. นิสัย
    6. หน้าตา
    ฯลฯ

    ทุกๆท่านคงไม่เข้าใจว่า บางข้อในนี้นั้นมันเกี่ยวข้องกันยังไง ผมจะอธิบายให้ฟังว่า คะแนนสอบนั้นบ่งบอกถึงระดับมนุษยสัมพันธ์ของเราได้ว่ามีมากขนาดไหน เพราะว่า การที่ครูประจำวิชานั้นๆเห็นว่าเรามีคติที่ดีกับเค้าหรือว่าการพูดการจาเรานั้นดี เค้าก็จะให้คะแนนเพิ่มขึ้น ซึ่งข้อนี้ก็รวมไปกับนิสัยด้วย ส่วนหน้าตานั้น เห็นได้ง่ายๆว่า หากเป็นผู้หญิงหน้าตาดี ครูชายบางคนจะสอนทั้งวันเลย แถมคะแนนดีด้วย ความรับผิดชอบนั้นก็ดูได้จากการส่งงาน การทำงาน ต่างๆ

    มาถึงตรงนี้แล้วทุกท่านคงจะเห็นถึงความสัมพันธ์ต่างๆแล้ว ขอให้ทุกท่านเข้าใจว่า ถ้าอยากได้คะแนนดีไม่ใช่ต้องจำเนื้อหาที่เรียนให้ได้ แต่ต้องมีการเอาอกเอาใจ พูดคุยกันดีๆ เพื่อให้เจ้าของวิชานั้นๆ เกิดความพึงพอใจต่อเราและก็ต้องใช้ความเข้าใจส่วนตัวในเนื้อหานั้นๆเคียงคู่ไปกับความพึงพอใจถึงในวิชาเนื้อหาที่เรียนและครูผู้สอน


    เอาหละหมดไปอีกหนึ่งเรื่อง ต่อไปนี้ จะเป็นเรื่องที่มีความเห็นส่วนตัวเป็นหลักการเขียน เกี่ยวกับเรื่องระบบการศึกษาเมืองไทย
    ผมคิดว่า การศึกษาเมืองไทยนั้นยังไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรเพราะมีเหตุมาจากวัฒนธรรมอันดีงามเกินไปของเมืองไทย เช่น ระบบเจ้าขุนมูลนาย ที่ห้ามน.ร.ตั้งอคติหรือเถียงอะไรกับครู เมืองไทยนั้นจะคิดว่าครูคือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในร.ร. เวลาเจอต้องไหว้ ถึงแม้มือจะเต็มไปด้วยของและสถานที่ไม่เหมาะแก่การวางก็เถอะ เช่น ขณะขึ้นบันได เป็นต้น ครู ในความคิดของผมนั้น คือผู้ที่ชี้แนะ บ่งบอกถึงเส้นสายปลายทางที่เราจะเดิน ต่อไปในวันข้างหน้า การเรียนรู้อะไรนั้นไม่ใช่ตัวครู แต่เป็นตัวเราต่างหาก หากครูดีขนาดไหน หากเราไม่เรียนก็ไม่มีผล ดังนั้นผมจึงบอกว่า ครูไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้น ครูก็คือคนกลุ่มหนึ่ง ที่มีความรู้ในเรื่องต่างๆมากกว่าเราในบางเรื่องและน้อยกว่าเราในบางเรื่อง แต่ยังไงๆ ก็คนเหมือนกันทั้งครูทั้งน.ร. ดังนั้นก็ควรที่จะเคารพกันถึงคู่ แต่ด้วยเหตุผลของเมืองไทยที่ว่า ผู้น้อยต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ พวกเราทุกคนจึงต้องทนทุกข์ทรมาณกับความสนุกที่ขอให้ได้ว่าให้ได้ดุด่าน.ร.เหอะ ครูก็พอใจแล้ว
    ที่ต่างประเทศนั้นเขาไม่ได้สนใจหรอกนะว่า คุณจะทำผมทรงอะไรมาร.ร. จะใส่รองเท้าเหยียบส้นหรือไม่ เสื้อออกนอกกางเกงหรือป่าว เค้าไม่สนใจเรื่องจุกจิก เล็กน้อยอย่างนั้น เค้าขอแค่ให้เราเรียนกับเขาได้ สอบได้ โตขึ้นเป็นคนที่มีคุณภาพก็พอ ที่เมืองนอกนั้นเด็กเค้ามีคุณภาพมากกว่าเราเพราะอะไร เพราะว่า เค้านั้นไม่มีความรู้สึกที่จะต้องเด่นกว่าใคร ไม่ต้องแข่งขันเรื่องแฟชั่นกับใคร ไม่ต้องพยายามแหกกฎ เพราะไม่มีใครมาด่า มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้วที่ว่า หากกฎยิ่งหนายิ่งโหดเท่าไร เราก็ยิ่งอยากจะแหกมันมากเท่านั้น ดูที่เมืองไทยสิ ห้ามไว้ผมยาว ห้ามทำสีผม ห้ามซอยผม ฯลฯ มันก็ทำให้น.ร.ไม่เป็นอันเรียน เอาแต่คิดหาหนทางที่จะทำมัน โดยที่ไม่ให้ครูรู้ เพราะมันตื่นเต้นดีนิ ท้าทายดี สนุกดี ซึ่งมันก็ใช่ว่ามันยังไม่ถึงวัยที่ควรทำ แต่หากเราลองเปลี่ยนกฎดูสิ ตอนแรกๆอาจจะยังไม่เห็นผลหรอก แต่ต่อไปเรื่อยๆ น.ร.จะไม่ค่อยทำกันแล้วเพราะมันน่าเบื่อ
    ทางรัฐบาลก็อยากจะให้เด็กมีคุณภาพก็จัดตั้งกฎหมายบ้าๆมาเพียบเลย ทั้งวิชาภาษาไทย ที่ให้เรียนเป็น ปรมาจารย์ ด้านภาษาไทย คิดดูเอาเองน๊ะครับว่า ภาษาไทยนั้น ใช้ได้กี่ประเทศ......... ผมก็เข้าใจครับว่า ถ้าหากเราไม่อนุรักษ์ภาษาไทยเอาไว้ มันก็จะสูญสลายไป แต่เราต้องคิดถึงความเป็นจริงน๊ะครับว่าโลกเราสมัยนี้มันเป็นอย่างไรกัน
    ที่ร.ร.ของผม มีครูคนหนึ่งเมื่อสู้น.ร.ด้วยเหตุผลไม่ได้ก็จะเอาอำนาจมาขู่ ผมได้คุยกับครูอีกท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นบุคคลในฝันของผม เขาเป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง เขาได้บอกก็ผมว่า ครูคนนั้นก็เป็นแบบนั้นแหละ อย่าคิดมาก เพราะช่วงนั้นผมพยายามวิ่งเต้นให้มีสภานักเรียนแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ผล ไม่เป็นที่ยอมรับของครูใหญ่
    ที่ร.ร.ของผม ผมเรียนสายวิทย์-คณิต แต่เรากับต้องมานั่งเรียนกับไอ้สิ่งที่ไม่เกี่ยวกับอนาคตของเรา ที่เราเลือกเรียนสายนี้ ชื่อสายมันก็บอกอยู่แล้วว่าวิทย์คณิต แต่ใยเรากับต้องมานั่งเรียนงานบ้าน ศิลปะการดีไซน์ แล้วยังโดนบังคับให้เข้าชมรมต่างๆ ทั้งคาบบ่าย อาทิ ทำอาหาร รักการอ่าน แนะแนว ภาษาจีน ซึ่งปกติแล้วคาบชมรมนั้นจะเปิดอิสระให้น.ร.เข้าไปหาสิ่งที่ตนนั้นชื่นชอบและถนัด แต่นี่กลับบังคับกันเฉยเลย ผมกับครูฟิสิกส์และเพื่อนบางคนจึงใช้เวลาหลังเลิกเรียนและวันหยุดทำกิจกรรมร่วมกันในเรื่องวิศกรรมเครื่องยนต์ ดูสิครับ ร.ร.ควรที่จะเป็นที่ๆให้ความรู้ แต่น.ร.และครูกับต้องใช้เวลาว่างเพื่อมาเรียนกันอย่างจริงๆจัง
    เข้าเรียน 7.45 เลิกเรียน 16.20 มันยิ่งทำให้เด็กน.ร.เครียด สิ่งที่เขาอยากทำก็ทำไม่ได้ เช่น ออกกำลังกาย เล่นดนตรี วาดรูป ฯลฯ ซึ่งเรื่องพวกนี้นั้นมันอาจจะเป็นรายได้ในอนาคตของน.ร.เอง ดูที่เมืองนอกสิ เข้าเรียน 9 โมง เลิกเรียน 3โมง ที่เหลือให้เล่นกีฬา เค้าเน้นเรื่องกีฬามากๆ ทำให้คนของประเทศเขามีคุณภาพไม่ค่อยได้เจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนเรา การเรียนน่ะคือการ "เรียนเพื่อรู้ เพื่อเข้าใจ ไว้พัฒนา" ไม่ใช่ เพื่อการคิดเกรด หลายคนๆก็คิดแต่ว่า ลูกชั้นได้เกรดสี่ทุกวิชา โหเก่งจังเลย แต่ไม่ใช่ครับ บางคนได้เกรดสี่ก็จริง แต่พวกเรื่องที่อยู่นอกหนังสือแล้วไม่รู้เรื่องเลย ผมมีญาติคนนึง อายุน้อยกว่าผมปีนึง (ขอสงวนชื่อ) เค้าเรียนเก่งมาก ได้เกรดสี่ทุกครั้ง เพราะว่าเขา โดนแม่บังคับให้ขังตัวเองอยู่ในห้อง ห้ามเล่นเกม ห้ามอ่านการ์ตูนเป็นเวลาหลายวันก่อนการสอบ ผลออกมาคือ เกรดสี่ทุกวิชา แต่ E.Q. นั้นตรงกันข้ามกับ I.Q. เลยครับ อยากมากๆ อยากเล่นเกม อยากอ่านการ์ตูน เพราะปกติก็ไม่ได้อ่านอยู่แล้ว พอเค้ามาเที่ยวบ้านผม ก็เอาแต่อ่านการ์ตูน จนทุกๆคนก็ว่าๆๆๆ ว่า เอาแต่อ่านการ์ตูน ผมรู้ว่าทำไมเค้าถึงกระตือรือร้นที่จะอ่าน เพราะเค้าไม่ได้อ่านเลยเวลาเค้าอยู่ที่บ้านเค้าเอง จริงอยู่ที่สอบได้เกรดสี่นั้นดี แต่ว่า เราก็ควรที่จะเข้าใจมัน ไม่ใช่แค่ท่องจำ เรื่องความรู้รอบตัวก็จำเป็น เหมือนกัน ญาติผมคนนี้ยังไม่รู้เรื่องเลยว่า ไอ้นั่นไอ้นี่ คืออะไร ข่าววันนี้มีอะไรบ้าง ผมว่ามันสมเพช มากกว่าที่จะชื่นชมนะครับ
    สุดท้ายนี้ก็ขอฝากว่า การเรียนนั้นก็ควรที่จะตั้งใจเรียน เรื่องรอบๆตัวเราก้เช่นกัน เราเรียน เราต้องเข้าใจ ไม่ใช่ท่องจำ คุยกับครูก็คุยดีๆ อย่าไปกวนเค้า ถึงไง เค้าก็เป็นผู้ชี้แนะเเนวทางแห่งอนาคตให้แก่เรา เพียงแต่เรา เป็นคนที่เลือกที่จะเดินเท่านั้น ทางของเรา เรากำหนดเอง อย่าให้ใครมากำหนดให้ รู้จักพูดรู้จักฟัง คิดก่อนพูด ฟังแล้วคิด แล้วหนทางแห่งความสำเร็จจะอยู่ข้างหน้าเรา

    จากคุณ : TJ - [ 17 ต.ค. 47 22:21:57 A:203.113.32.11 X:203.150.217.119 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป