-ฝันร้ายในโลกลวง-
-1-
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย มันเป็นฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนผมมาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา มันเป็นเรื่องราวที่ผมอยากลืม ลืมมันให้หายไปจากความทรงจำ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร มันไม่เคยจะหายไป ยังคงแวะเวียนมาหาผมทุกค่ำคืน
ผมพยุงตัวลุกขึ้นจากเตียงอย่างทุลักทุเล เดินไปที่หน้าต่าง เปิดรับอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า พระอาทิตย์กำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้า สายลมเย็นบางเบาพัดโชยมา เสียงนกเจื้อยแจ้วสลับกับเสียงของกระดิ่งรูประฆังที่แขวนไว้บนต้นไม้ ซึ่งพัดไหวไปตามแรงลม ผมชอบอากาศยามเช้า มันช่วยทำให้ผมลืมฝันร้ายในค่ำคืนที่ผ่านมา ผมตื่นแต่เช้าทุกวันจนเคยชินโดยไม่ต้องอาศัยนาฬิกาปลุก กิจวัตรประจำวันของผมต่อจากการตื่นนอน คือลงไปเดินเล่นในสวนหลังบ้าง กวาดสวนบ้าง ตัดแต่งกิ่งไม้บ้าง เท่าที่ร่างกายของผมจะเอื้ออำนวย แต่วันนี้ผมไม่อยากทำอะไร ผมอยากอยู่กับตัวเองเงียบๆ บนห้อง ทบทวนสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา
ที่หัวเตียงของผมมีกรอบรูปอันใหญ่วางอยู่ เบื้องหลังกระจกของกรอบรูป เป็นรูปของชายหญิงคู่หนึ่งกำลังยืนอยู่บนพื้นทรายสีเหลืองอร่าม ด้านหลังเป็นทะเลสีครามตัดกับขอบฟ้า ภาพความทรงจำในวันนั้นยังคงชัดเจน ผู้ชายในภาพคือผม ส่วนผู้หญิงในภาพคือภรรยาของผม---ซึ่งบัดนี้เธอมีตัวตนอยู่เพียงในความทรงจำของผมเท่านั้น
ผมเดินไปหยิบกรอบรูป เดินกลับมาที่หน้าต่าง ดูสิที่รัก เศษเสี้ยวความสวยงามของโลกใบนี้---ที่บ้านของเรา ฉันอยากให้เธอได้เห็นเหลือเกิน ดูสินั่นไง ต้นมะลิที่เธอปลูกไว้ วันนี้มันผลิดอกบานเต็มต้น ส่งกลิ่นหอมฟุ้งลอยมาถึงข้างบนเลยเชียว แล้วก็นั่นเจ้าด่าง มันกำลังขุดดินเล่นที่ฝังเอาไว้ ดูท่ามันจะมีความสุขดี
หยดน้ำใสกลมร่วงหล่นลงบนกรอบรูป
ฉันอยากให้เธอได้มาอยู่ดูเป็นเพื่อนกับฉัน
เป็นครั้งสุดท้าย
ผมมองไปยังท้องฟ้า ก้อนเมฆน้อยใหญ่ค่อยๆ เคลื่อนตัวมารวมกัน ทันใดนั้น ปรากฏให้เห็นเป็นภาพใบหน้าของเธอ เขื่อนน้ำตาของผมแตกทะลัก มันล่วงไหลลงมาไม่ขาดสาย ดวงตาของผมมองลึกเข้าไปยังดวงตาคู่นั้นของเธอ
อีกไม่นานฉันจะไปอยู่กับเธอ
-2-
ผมเป็นข้าราชการตำรวจยศร้อยเอก อนาคตไกล กำลังจะเลื่อนยศเป็นพันตำรวจตรีอยู่ในไม่ช้า ส่วนเธอเป็นพนักงานบริษัทเอกชน ตำแหน่งระดับสูงในองค์กร เงินเดือนหลายหมื่น เราใช้ชีวิตคู่ด้วยกันมา 3 ปี ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
เราสองคนซื้อทาวเฮาส์หลังเล็กๆ ย่านชานเมืองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานของผมและเธอนัก ทุกวันผมจะขับรถไปส่งเธอที่ทำงานย่านสุขสวัสดิ์ ก่อนที่จะไปสถานีตำรวจ ตอนเย็นผมก็ขับรถมารับเธอกลับบ้าน บางวันเธอก็ทำอาหารเย็นให้ผมทานที่บ้าน บางวันเราสองคนก็กินมื้อเย็นจากนอกบ้าน ชีวิตของเราสองคนดูเรียบง่ายและมีความสุข ผมวางแผนไว้ว่าอีกไม่เกินสองปีจะมีลูกน้อยๆ สักหนึ่งคน และให้เธอออกจากงานเพื่อเลี้ยงดูลูกอยู่ที่บ้าน เพราะลำพังผมคนเดียวก็คงพอจะเลี้ยงดูเธอและลูกได้
เธอบอกผมว่าในอนาคตเธออยากมีบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ เธอจะปลูกดอกมะลิไว้รอบบ้าน เธอชอบกลิ่นหอมของมะลิ และหาสุนัขตัวโตขนปุยมาเลี้ยงไว้เฝ้าบ้านและเล่นกับลูกๆ สักตัว ผมเห็นด้วยและบอกเธอว่าคงอีกไม่นานเกินรอ เราสองคนจะมีความสุขอยู่ในบ้านหลังใหญ่ พร้อมกับลูกน้อย ต้นมะลิของเธอ และสุนัขตัวโตขนปุย
แต่แล้วความฝันของผมก็ต้องพังทลายลงไป ความสุขที่วาดฝันไว้หายไปเหมือนโดนพายุลูกใหญ่พัด โชคชะตาเล่นตลกกับผมอย่างนั้นหรือ จึงบันดาลให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายเช่นนี้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ผมยังจำได้ดี มันยังชัดเจนอยู่ในใจยิ่งกว่าความทรงจำใดๆ เหตุการณ์ที่เป็นจุดหักเหในชีวิตของผม
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น เหมือนมีก้อนเมฆสีดำเข้าปกคลุมชีวิตของผมอยู่ตลอดเวลา มันมัวหม่น หดหู่ และเศร้าหมอง ก้อนเมฆก้อนนั้นไม่เคยหายไป
จนกระทั่งวันนี้
-3-
ภาพเรื่องราวในอดีตหวนคืนกลับเข้ามาในห้วงแห่งความทรงจำของผมอีกครั้ง
เย็นวันนั้นผมขับรถกลับบ้านเป็นปกติเหมือนกับทุกวัน โดยมีเธอนั่งอยู่ข้างๆ เมื่อมาถึงปากซอย เธอบอกให้ผมจอดรถ เธอต้องการซื้อของใช้ที่มินิมาร์ทฝั่งตรงข้าม
รออยู่บนรถก็ได้ ซื้อนิดเดียงเอง เธอบอกหลังจากที่ผมทำท่าจะลงไปกับเธอด้วย
เร็วๆ นะจ๊ะ หิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว ผมพูดพลางล้อเล่นกับเธอ
เธอเดินลงจากรถอ้อมไปข้างหลังเพื่อรอข้ามถนน ผมมองดูเธอจากกระจกข้าง ท้องฟ้าเย็นนี้มืดครึ้มผิดปกติ สายลมพัดแรงพาเอาเศษใบไม้ปลิวว่อน ฝนใกล้จะตกแล้ว
รถบนท้องถนนยังคงแล่นมาไม่ขาดสาย บรรยากาศเช่นนี้ชวนให้รถแต่ละคันเร่งรีบกลับจุดหมายให้ทันก่อนที่สายฝนจะโปรยปรายลงมา
ผมยังคงมองดูเธอจากกระจกหลังอย่างไม่คลาดสายตา ทันใดนั้น เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
เธอกำลังเดินอยู่กลางถนนอย่างเร่งรีบ รถกระบะสีดำกำลังขับมาด้วยความเร็วสูงในเลนขวาสุด เธอน่าจะข้ามพ้นไปได้ไม่ยาก หากกระเป๋าสตางค์ในมือของเธอไม่ล่วงหล่นลงพื้น
เธอชะงักเหลียวหลังกลับมามองกระเป๋าสตางค์ ผมไม่รอช้ารีบเปิดประตูรถ พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว พอดีกับสายฝนที่โปรยปรายลงมา
ตะโกนเรียกเธอ ดา!!!
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันการณ์
ความสูญเสียเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเร็วเกินกว่าจะตั้งตัว
-4-
ผมวางกรอบรูปลงบนโต๊ะทำงาน เปิดลิ้นชักออก ภายในมีวัตถุสีดำมะเมื่อมเป็นมันวาว อาวุธคู่กายของผมที่เคยใช้ปฏิบัติหน้าที่เป็นประจำ
วันนี้ผมคงไม่ได้ใช้มันกับใครที่ไหน
ผมนั่งลงที่เก้าอี้ พับขากางเกงทั้งสองข้างขึ้นมาถึงเข่า มองเห็นขาทั้งสองของตนเอง ซึ่งบัดนี้มันไม่มีเลือดเนื้อ กลายเป็นวัตถุที่เรียกว่าโลหะ ขาทั้งสองของผมขาดตั้งแต่อุบัติเหตุครั้งนั้น ทำให้ผมต้องใส่ขาเทียมและออกจากราชการ อนาคตที่กำลังก้าวหน้าสิ้นสุดลงไปพร้อมกับขาข้างนั้น สิ่งเดียวที่ผมได้ตอบแทนจากการสูญเสียขาข้างนี้ไปคือเงินจากกองทุนช่วยเหลือข้าราชการตำรวจที่พิการ เดือนละไม่กี่พันบาท ชีวิตประจำวันของผมจากที่คอยไล่จับผู้ร้าย กลายมาเป็นนั่งๆ นอนๆ ดูโทรทัศน์อยู่กับบ้าน ผมเคยคิดจะตายให้มันรู้แล้วรู้รอดหลายครั้ง เพราะคิดว่าชีวิตของตนมันไม่เหลือคุณค่าอะไรอีกแล้ว แต่ผมก็มีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้ ชีวิตที่เต็มไปด้วยความอดสู ต้องเผชิญกับสิ่งที่เลวร้ายกว่าความตาย
ทำไมผมไม่ตายไปเสียตั้งแต่วันนั้น จะได้ไม่ต้องมาเจอเหตุการณ์เลวร้ายที่ตามมา
แต่ในวันนี้ คงถึงเวลาแล้ว
ผมค่อยๆ ลุกขึ้น เอาวัตถุสังหารในมือเหน็บไว้ที่เอว เดินออกจากห้อง ลงบันไดไปที่ชั้นล่าง บรรยากาศมืดสลัว เอื้อมมือไปกดสวิสต์ไฟ แสงของหลอดไฟบนเพดานทำให้เกิดความสว่างขึ้น ผมค่อยๆ เดินตรงไปที่ห้องน้ำที่อยู่ด้านหลังของบ้าน
กลิ่นคาวคละคลุ้งลอยออกมาจากห้องน้ำ เบื้องหน้าของผมคือ ร่างของชายหญิงคู่หนึ่งอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าซ้อนทับกันอยู่ ผู้หญิงนั่งอยู่บนตักของผู้ชาย บนผิวหนังมีรูที่เกิดจากการกระทบของกระสุนจำนวนมาก ของเหลวสีแดงสดที่เรียกว่าเลือดเปื้อนอยู่ที่ร่างของทั้งสอง พื้นห้องน้ำสีขาวกลายเป็นสีแดง บนพนังมีรอยกระเซ็นของเลือดประปรายเป็นดวง
ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำ ค่อยพลิกร่างที่อยู่ด้านบนขึ้นมา ดวงตาของเธอยังคงเหลือกค้าง ผมค่อยๆ ปิดเปลือกตาของเธอลง
เดี๋ยวฉันจะตามเธอไป
.ดา
ผมใช้มือขวาหยิบปืนขึ้นมาจ่อที่ศีรษะ ไม่ว่าเธอจะทำให้ฉันเจ็บช้ำน้ำใจเพียงใด ฉันก็ยังรักเธอ
ปัง!!!
-จบ-
จากคุณ :
nanaosan
- [
17 ต.ค. 47 23:56:51
]