CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    เรื่องสั้น..."ความหมายในตะกร้า"... โดย ทิวสน ชลนรา

    ความหมายในตะกร้า

    โดย ทิวสน ชลนรา
    tewson7@hotmail.com


    แดดบ่ายปลายร้อนเคลื่อนคล้อยมาแล้ว ระยับแดดโลดเต้นเหนือท้องทะเลอันดามัน ที่ระบายด้วยสีเขียว ใส… โค้งฟ้าสีครามตัดกับผิวน้ำไกลออกไปลิบตาแลดูงดงามสบายตา แฝงความอลังการซ่อนไว้… ลมทะเลโชยพัดหอบไอเค็มบางมาพร้อมกับเกลียวคลื่นขนาดย่อย ที่ม้วนตัวทยอยซัดสู่ฝั่งทักทายทรายขาวอยู่เป็นระลอก…

    ชาตรี ยืนชมความงามธรรมชาติอยู่ริมหาด เนื้อตัวพราวด้วยน้ำที่เพิ่งขึ้นจากการว่ายเล่นเมื่อครู่ เขายืนทอดสายตาผ่านเลนส์สีเขียวเข้มออกไปสุดปลายฟ้า แล้วหันไปสำรวจรอบกายคล้ายกำลังดื่มด่ำผลงานของจินตกวีผู้ยิ่งใหญ่ ที่บรรจงรังสรรค์ทิวทัศน์เพื่อกำนัลแด่ทุกลมหายใจ…

    เขาสูดลมหายใจลึก และอยากจะกักเก็บมันไว้เช่นนั้น เพราะนานนักแล้วที่เขาไม่ได้รับอากาศบริสุทธิ์เยี่ยงนี้ ความจริงจะว่าไปแล้วที่ผ่านมาเขาเหมือนอะไรสักอย่างที่ถูกพันธนาการไว้ในกล่องใบใหญ่มีละอองควันสีหม่นห่มคลุมตลอดเวลา ทั่วทุกอณูที่ก้าวย่าง ซึ่งใครต่อใครต่างเรียกขานกล่องใบนี้ว่า "เมืองหลวง"

    มันไม่ง่ายนัก ที่เขาจะสามารถปลีกตัวจากภาระหน้าที่มายืนตากอากาศเช่นนี้เพราะตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทแถวหน้าด้านโทรมนาคม ทำให้แทบทุกเวลาทุกนาทีต้องทุ่มเทให้กับงานจนแทบจะลืมไปว่าที่บ้านยังมีภรรยาและลูกรออยู่ ความที่ยังหนุ่มแน่น มีไฟ เวลาจึงหมดไปกับการประชุมวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของคู่แข่ง เพื่อปรับกลยุทธ์ทางการตลาดในทุกขณะ การมองเกมอย่างเฉียบคมและชาญฉลาดของเขาทำให้ประธานบริษัทไว้วางใจเขามาก แต่ผลที่ตามมากลับวิ่งสวนทางกันระหว่างความสำเร็จในหน้าที่การงานกับความผูกพันในชีวิตครอบครัว ที่จวนเจียนที่จะพังครืนลงได้ทุกขณะ หากเขาไม่คิดทำอะไรเพื่อประสานความสัมพันธ์ผูกพันไว้ เขาได้แต่หวังว่าสักวันคงจะสบายขึ้นเมื่อสามารถจัดสรรการงานให้คนภายใต้มาช่วยแบ่งเบาภาระเมื่อนั้นคงมีเวลา ไม่ต้องห่วงกังวลอะไร เมื่อนั้นคงมีเวลาพาครอบครัวมาพักผ่อนตากอากาศบ้าง นั่นคือ ความตั้งใจ

    กระทั่งผ่านพ้นมาเกือบ 3 ปี จึงมีโอกาสได้มายืนอยู่ตรงนี้ ย้อนไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา เขาพาครอบครัวเหินฟ้าจากเมืองหลวงลงมาพักผ่อนที่ทะเลทางภาคใต้ แม้จะใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเศษในการเดินทาง แต่มันทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าหลุดออกมาอีกโลกหนึ่งทีเดียว…

    ชายหนุ่มหันกลับ เดินไปยังเปลผ้าใบซึ่งมีร่มขนาดใหญ่วางตั้งระหว่างเปลสองตัว หย่อนกายลงนั่ง พลางหันมองภรรยาซึ่งนอนอยู่เปลข้างๆ หมายจะชวนคุย ทว่าคงเพราะความเหนื่อยอ่อนจากการเล่นน้ำเมื่อครู่จึงทำให้เธอหลับไปเสียแล้ว…

    เสียงสนทนาเจื้อยแจ้วประสาเด็กดังแว่วอยู่ไม่ไกล เขาหันมองเด็กน้อยวัยไล่เลี่ยสองคนกำลังหารือและช่วยกันก่อกองทรายอย่างเพลิดเพลิน เขาระบายยิ้มชื่นชมกับความช่างคิดของลูกทั้งสอง ช่างเหมือนเขาในวัยเด็ก เขารู้สึกเป็นสุขที่เห็นลูกสนุกและรื่นเริงเช่นนี้

    ถัดจากลูกทั้งสอง เด็กผมทองสองคนกำลังยืนมองหญิงชราคนหนึ่งอย่างสนใจ จากการแต่งกายคงเป็นชาวบ้านละแวกนี้ เขาเริ่มเกิดความรู้สึกแปลกใจ ดูเผินๆ นางก็ชรามาก สังเกตจากการเดินเชื่องช้ากับหลังที่คุ้มงอ เวลาที่ก้มลงเก็บบางสิ่งบนผืนทรายใส่ตะกร้าหวายเล็กๆ ก็ดูจะแสนลำยาก เด็กผมทองเดินตามดูพฤติกรรมของนางอย่างสนใจ ขณะหนึ่งนางหันมองเด็กๆ แล้วเดินเข้าไปใกล้ ทว่าเด็กกลับหันหน้าวิ่งหนี ประหนึ่งว่าหน้าตานางน่าเกลียดน่ากลัวกระนั้น

    นางมองตามเด็กครู่หนึ่งจึงบ่ายหน้าเดินตรวจตราผืนทรายแล้วก้มลงเก็บบางสิ่งต่อไป บางสิ่งที่ว่าถูกนางก้มหยิบ หย่อนลงในตะกร้าชิ้นแล้วชิ้นเล่า ขณะที่เขาสนใจว่าสิ่งนั้นคืออะไรเมื่อนางก้มลงเก็บ เขาก็เห็นว่าวัสดุนั้นต้องแสงแดดเป็นประกาย วาบ เขายิ่งทวีความสงสัยมากขึ้น ว่ามันคืออะไร…มันอาจจะเป็นโลหะ…หรือของมีคม?…

    นึกขึ้นได้ดังนั้นเขาใจหายวูบ เมื่อเห็นว่านางกำลังเดินเข้าไปใกล้ลูกๆ ซึ่งเล่นก่อกองทรายห่างนางไปเพียงไม่กี่ก้าว หญิงชราเดินเข้าไปใกล้ลูกของเขา ใกล้เข้าไป…

    ในมือของนางถือวัสดุบางอย่าง มันยังส่งประกายให้น่าหวั่นวิตกเขาใจเต้นถี่ ยันกายลุกขึ้นยืนจับตามองพฤติกรรมของนาง

    เด็กๆ ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง นอกจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่อาจจะคาดเดาได้ว่า นางประสงค์ดีหรือร้าย และเหตุใดนางจึงให้ความสนใจมองจ้องลูกๆ ของเขานานเป็นพิเศษ นางขยับเดินเข้าไปใกล้ในระยะพอจะเอื้อมมือเข้าไปหาลูกคนเล็ก เขาจึงตัดสินใจตะโกนเรียก…

    "ปิ๊ก…ป๊อก… มาหาพ่อเร็วลูก!!!"
    เด็กทั้ง 2 ชะงัก หันมองซ้ายขวา เมื่อเห็นหญิงชราก็ร้อง กรี๊ด!! แล้ววิ่งเข้ามากอดขาเขาไว้แน่น

    ชายหนุ่มถอดแว่น แล้วมองจ้องหญิงชราเขม็ง นางมองจ้องกลับด้วยแววตาแตกต่างคล้ายมีคำอธิบายบางอย่าง แต่แล้วก็หันหลังทำภารกิจของนางต่อไป

    ฝ่ายภรรยาสะดุ้งตื่นด้วย เพราะเสียงตะโกนของสามี มองดูสามีและลูกที่กอดขาพ่อเนื้อตัวสั่น
    "เกิดอะไรขึ้นที่รัก" เธอถาม แต่เขาไม่ตอบ กลับสั่งเธอเสียงสะบัด
    "ไม่ต้องถาม เก็บของกลับโรงแรม"

    ว่าแล้วเขาก็อุ้มลูกคนเล็กก้าวฉับๆ นำหน้าไป ปล่อยให้ลูกคนโตวิ่งตาม ส่วนภรรยารีบเก็บของเดินตามไปอย่าง งุน-งง…

    * * * * *

    "ตกลงมันเรื่องอะไรกันคะที่รัก ถึงได้ฉุนเฉียวแบบนี้" ภรรยาซักทันทีเมื่อเข้ามาถึงห้องพัก วางเสื้อคลุมพาดที่เก้าอี้ นั่งรอฟังคำอธิบาย สามีถอนหายใจ ก่อนหันมาพูด

    "ขอโทษทีที่อารมณ์เสียใส่คุณ ผมโมโหพวกแก๊งลักเด็ก… คุณคงไม่เห็น… มียายแก่ที่ชายหาด กำลังจะเดินเข้ามาจับลูกเราไป"
    "หา…! จริงเหรอคะที่รัก แล้วอะไรที่ทำให้คุณมั่นใจว่าคุณยายคนนั้นเป็นพวกลักเด็กล่ะคะ"
    ภรรยาตกใจ แต่ก็ช่วยสะกิดให้คิด ชาตรีนิ่ง ทบทวนถึงลักษณะพฤติกรรมและสิ่งที่มีลักษณะมันวาวสะท้อนกับแสงแดดนั้น
    "อือม์…ไม่รู้สิ ก็ผมเห็นยายคนนั้นเหมือนถือมีดหรืออะไรที่มีคม แล้วเดินเข้ามาจะจับลูกของเรา" เขาอธิบายตามความเข้าใจตอนนั้น
    "พวกนี้ถ้าทำ ก็ทำกันเป็นแก๊ง คงไม่ใช้คนแก่ที่ไม่มีเรี่ยวแรงมาทำหรอกค่ะ แต่นี่คือความเห็นนะคะ เพราะหากไม่ใช่อย่างที่คิดก็น่าสงสารแกนะคะที่รัก ที่เราไปปรักปรำแก ช่วงนี้ดูคุณเครียดๆ นะคะ สัปดาห์ก่อนก็เกือบจะไล่พนักงานในฝ่ายออก ก็เพราะคุณรีบด่วนสรุปไม่ใช่เหรอคะ… อยากให้คุณใจเย็นๆ ค่อยๆ คิดน่ะค่ะ"

    ภรรยาเตือนสติด้วยความห่วงใย ชายหนุ่มนั่งนิ่งเม้มปากแน่น คิดใคร่ครวญ หากท่าทีที่เขาแสดงต่อคุณยาย
    มาจากการที่เขารีบด่วนสรุป คุณยายคนนั้นก็คงเจ็บปวดไม่น้อย

    * * * * * *

    ผืนฟ้ากว้างถูกคลี่คลุมด้วยกำมะหยี่สีดำไปพักใหญ่แล้ว ลมกรรโชกแรงจนต้นมะพร้าวสูงเสียดยอดโอนเอนตาม บางต้นลูกแก่ๆ ก็ปลิดขั้วหล่นสู่พื้นทราย ขณะที่เมฆทมึนเริ่มคล้อยต่ำอยู่เหนือหมู่บ้านอันเป็นชุมชนเล็กๆ ริมหาดแห่งนี้ ซึ่งปลูกสร้างแบบง่ายๆ ราวๆ 20 กว่าหลังคาเรือน ส่วนใหญ่ทำอาชีพประมงน้ำตื้นออกเรือหาปลาใกล้ชายฝั่ง เว้นแต่กระต๊อบหลังกะทัดรัดหลังนั้น
    ที่ชาวบ้านแถวนี้คุ้นเคยกับเธอมานาน และรู้เพียงว่าเธอเป็นหญิงชราตัวคนเดียวที่มาจากกรุงเทพฯ เคยมีคนแต่งตัวแปลกตา ท่าทางเป็นผู้ดีมีสกุลมาพบเธอ เหมือนจะนำเธอกลับไปด้วย ทว่าชาวบ้านก็ยังคงพบเธออยู่ที่นี่ไม่ไปไหน

    เธอมีความเป็นอยู่อย่างสมถะ เด็กๆ แถวนี้มักจะไปที่บ้านของเธอ เพราะเธอมักทำขนมไว้แจกเด็กๆ เสมอ และนี่คือความสุขที่เธอได้ทำ นอกเหนือจากกิจวัตรประจำวันในการเดินเลาะริมหาดทรายพร้อมตะกร้าหวายเพื่อเก็บบางสิ่งใส่ตะกร้า

    ความสว่างบนปลายไส้ตะเกียงวูบไหวตามแรงลมหลายหน เพียงครู่ฝนก็เทจากฟ้าอย่างหนัก ดุจใครคว่ำชามอ่างยักษ์เทน้ำลงสู่พื้นดิน

    ความสว่างจากฟ้าแลบสะท้อนกับน้ำใสๆ ที่ไหลผ่านแก้มเหี่ยวๆ ของหญิงชราผู้โดดเดี่ยว… ไม่บ่อยนักที่จะต้องเสียน้ำตา เพราเธอเด็ดเดี่ยวเสมอ ยอมแม้ละทิ้งทุกอย่างจากเมืองหลวง ทิ้งสังคมชั้นสูง มาใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างเรียบง่ายสงบสุขที่ชุมชนแห่งนี้ อยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมที่ไม่เคยมีอะไรเคลือบแฝงในแววตา สีหน้าและคำพูดของผู้คนแถวนี้ แต่ครั้นนึกถึงพฤติกรรมและแววตาอันดุดัน ดูหมิ่นของชายหนุ่มเมื่อตอนบ่ายแล้ว มันช่างกรีดใจเธอให้เจ็บปวดอย่างสากรรจ์

    * * * * * *

    เวลาสองยามเศษ หลายหลังคาเรือนในหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ต่างหลับใหลกันหมดแล้ว แต่ชาตรีเพิ่งกลับถึงบ้าน นับแต่วันที่กลับมาจากพักร้อน เขาก็เข้าสู่ภาวะปกติที่ต้องทำงานหนัก ตื่นเช้า เข้านอนหลังสองยามเสมอ

    หลังจากอาบน้ำสบายตัวแล้ว รู้สึกสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย จึงชงชาร้อนดื่มและออกมานั่งเล่นที่ระเบียง พร้อมหนังสือพิมพ์ธุรกิจฉบับรายสัปดาห์ เขาเอนตัวกึ่งนอนกึ่งนั่งบนเก้าอี้โยก ค่อยๆ เปิดดูเนื้อหาคร่าวๆ ในหนังสือพิมพ์ กระทั่งไปสะดุดตากับเรื่องสาระเบาๆ กับสไตล์การใช้ชีวิตของนักธุรกิจในมุมที่คนทั่วไปไม่ทราบ หัวเรื่องฉบับนี้น่าสนใจสำหรับเขาเพราะอะไรไม่ทราบได้

    "ชีวิตสมถะของคุณหญิงพิมลพร จากไฮโซฯ คืนสู่สามัญ ทางที่เธอเลือกเอง"

    เขาค่อยๆ อ่านอย่างสนใจกับชีวิตของนักธุรกิจหญิงด้านอสังหาริมทรัพย์ มีมูลค่าทรัพย์สินนับหมื่นล้าน ส่งบุตรธิดาศึกษาจบในระดับสูงสุดทุกคน เมื่อถึงเวลาหนึ่ง เธอเหนื่อยล้าและอยากหันหลังให้กับงานที่ทำเพื่อพักผ่อน จึงโอนกรรมสิทธิ์ให้บุตรธิดาหมดสิ้นแล้วอพยพตัวเอง ทิ้งสังคมไฮโซฯ เลือกใช้ชีวิตสมถะที่กระต๊อบหลังเล็กๆในหมู่บ้าชาวประมงน้ำตื้น ริมชายหาด แหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต กิจวัตรในแต่ละวันมีความสุขกับการได้พูดคุย ทำขนมแจกเด็กๆ ชาวบ้านและเดินตรวจตราริมชายหาด…

    อ่านมาถึงตอนนี้ชาตรียิ่งจดจ่อมากยิ่งขึ้น เพราะสถานที่ที่ว่านี้คือ ชายหาดที่เขาและครอบครัวเพิ่งจะกลับมาจากการพักร้อนเมื่อวันก่อน เขารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว เมื่ออ่านพบประโยคที่ว่า

    …กิจวัตรของเธอคือ เสาะหาตรวจตราเก็บเศษแก้วและของมีคมบนผืนทรายใส่ตะกร้าหวายใบเล็กแล้วนำไปทิ้ง เพียงเพื่อจะไม่เป็นอันตรายต่อเด็กๆ และนักท่องเที่ยว…!!!

    ชาตรีอ่านข้อความนี้ด้วยใจเต้น และเมื่อเพ่งมองที่ภาพใบหน้าของคุณหญิงพิมลพร เขาถึงกับอึ้ง

    เพราะใบหน้าเหี่ยวย่นของคนที่เขาตราหน้าว่าเป็นแก๊งลักเด็ก ที่จะทำร้ายลูกของเขา คือ คนคนเดียวกัน…!!!


    * * * * * * * * * *

    หมายเหตุ
    1.แต่งขึ้นจากประเด็นสั้นๆ เพียงไม่กี่บรรทัดซึ่งแปลจากหนังสือต่างประเทศ แล้วฟอร์เวิร์ดต่อๆ กันมา
    2.วาระตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร “มหาสนุก” ฉบับวันที่ 18-24 กุมภาพันธ์ 2004

    จากคุณ : เจ้า..ชายน์ติ๊ง - [ 26 ต.ค. 47 10:16:09 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป