เรื่องเล่า
ปลายสตั๊ด
โดย มนุษย์หิน
ตอนที่ 3
และหลังจากงานยนตรกิจคัพผ่านไป พวกเราก็ยังเล่นบอลโกล์หนูกันอยู่ และดูเหมือนว่าสมาชิกของเราเริ่มที่จะเป็นปึกแผ่นและถาวรขึ้น การเล่นบอลของเราเริ่มมีเซนส์และอ่านทางบอลกันง่ายขึ้นและที่สำคัญกำลังของเราเริ่มมาไม่เหนื่อยง่ายเหมือนเมื่อก่อน การฉลองชัยแชมป์ยนตรกิจคัพของทางวิภาวดีฯ ผ่านไป แต่ดูเหมือนว่าบอยกับต้อมยังคงเตะบอลกันอยู่ ก็เนื่องมาจากการเล่นให้กับทีมวิภาวดีฯ นั่นแหละครับทำให้พวกที่เล่นบอลกันในทัวร์นาเมนต์นั้นต่างสนใจในตัวสองคนนี้แล้วก็ชวนไปเล่นกับทีมโน้นทีมนี้ไปเรื่อยๆ เรียกได้ว่าสองคนนี้ขายดีมากๆ ครับ ส่วนพวกเราก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเล่นบอลโกล์หนูของเราภายในอู่กันมาเรื่อยๆ โดยมีความคิดว่าวันหนึ่งเราคงมีทีมบอลจากศูนย์ของเราไปเล่นในงานยนตรกิจคัพในปีหน้า ซึ่งตัวจักรสำคัญอย่างบอยกับต้อมก็พร้อมที่จะร่วมหัวจมท้ายไปกับเราด้วยหากศูนย์เราตั้งทีมบอลขึ้นมาได้จริงในอนาคต โดยมันให้ความเห็นว่าถ้าหากเราตั้งทีมพวกเราได้นะพี่ ผมอยู่กับพวกเราแน่ บอยบอกกับเราอย่างนั้น ประมาณชาติต้องมาก่อนอะไรอย่างนี้ บุรุษอีกผู้หนึ่งที่ผมอยากจะพูดถึงก็คือ นุ้ย นุ้ยเป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบฟุตบอลและก็ถือเป็นตัวหลักคนหนึ่งในการเล่นบอลในอู่ในแต่ละวัน ทุกเย็นนุ้ยมักจะเป็นคนที่ถามคนโน้นคนนี้อยู่เสมอว่าเย็นนี้เตะบอลมั๊ยและมักจะเป็นคนกระตุ้นให้คนเหล่านั้นเตะบอลกันในตอนเย็น แต่นั่นจะเกิดในกรณีที่นุ้ยต้องการเล่นบอลเท่านั้น เพราะว่าในทางกลับกันถ้าหากวันไหนเห็นนุ้ยเฉยๆ หรือว่าใครบางคนไปถามกับนุ้ยว่าเย็นนี้เตะบอลหรือเปล่า และนุ้ยมีท่าทางอ้อมๆ แอ้มๆ นั่งไม่เป็นที่เป็นทางเป็นอันรู้กันได้เลยว่าตอนเย็นหลังจากเสียงออดเลิกงานเพียงไม่กี่วินาทีนุ้ยจะใช้ช่วงชุลมุนในขณะที่พวกเรากำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อมาเตะบอลกัน เดินหนีหายไปเฉยๆ หันไปหันมาออกมาดูอีกทีพบเห็นหลังของนุ้ยไวๆ เดินออกจากบริษัทไปแล้ว ไปกันเฉยๆ ไม่บอกไม่กล่าว ไปมันซะอย่างนั้น นี่แหละครับ
.นุ้ย!
แล้วจู่ๆ มาวันหนึ่งเราก็ได้สมาชิกเตะบอลอีกคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา เค้าคนนั้นชื่อว่า อาทร และอาทรนี่แหละครับที่ผมถือว่าเป็นเสมือนเชือกเส้นเล็กๆ ที่เชื่อมต่อให้เราตั้งทีมบอลชุดใหญ่ขึ้นมาได้ ซึ่งผมจะเขียนถึงในภายหลัง การมาถึงของอาทรก็เหมือนๆ กับสมาชิกคนใหม่ทั่วๆ ไปกล่าวคือถ้าหากว่ามีสมาชิกใหม่มาเตะบอลกับเรา ผมรู้สึกว่าวันนั้นการเล่นบอลของเราจะสนุกและมันมีสีสันขึ้นมาอย่างไรก็ไม่ทราบ คงเนื่องมาจากหนึ่งคือพวกเราที่มีแต่หน้าเดิมๆ เล่นกันมาก็เป็นระยะเวลาที่ถือว่าพอ สมควร การเล่นบอลก็รู้ขากันประมาณว่าอ่านทางกันได้น่ะครับ แต่พอมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นมาซึ่งเรายังไม่เคยเห็นเค้าเล่นไม่รู้ว่าเค้ามีฝีเท้าระดับไหน นี่กระมังครับที่ผมเข้าใจว่าทำให้แต่ละครั้งที่เรามีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นมาจึงทำให้เรารู้สึกว่าเล่นบอลกันสนุกขึ้น และผ่านไปประมาณ 2-3 วันหลังจากที่อาทรได้เข้ามา วันหนึ่งหลังจากที่เราเตะบอลกันเสร็จแล้ว อาทรก็ได้พูดเปรยๆ กับผมเหมือนๆ กับเค้าจะรู้ว่าพวกเราเตะบอลกันนั้นมีจุดมุ่งหวังคือการตั้งทีมใหญ่ในนามสาขาของเราไปแข่งในรายการยนตรกิจคัพปีหน้า วันนั้นอาทรได้บอกกับผมว่าถ้าพวกเราจะตั้งทีมบอกได้นะ เดี๋ยวผมจะลองคุยกับหัวหน้าผมดูให้เค้าคุยกับผู้ใหญ่ให้ ผมได้ฟังดังนั้นจึงนำความไปบอกกับพวกเรา ดูๆ ทุกคนจะกระตือลือล้นและคุยกันโขมงโฉงเฉง แต่ก็ยังมีบางคนที่คิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ แต่จะอย่างไรก็ตามอีกไม่กี่วันต่อมาบุคคลสำคัญอีกคนหนึ่งก็ปรากฎกายขึ้นที่เวมบลีย์น้อยของเรา นั่นก็คือคุณเจี๊ยบผู้จัดการฝ่ายขายที่อาทรพูดถึง คุณเจี๊ยบเค้าไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแต่เค้ามานั่งดูพวกเราเล่นบอลกัน ซึ่งวันนั้นมันก็บังเอิญซะเหลือเกินที่สมาชิกของเรามากันค่อนข้างเยอะ ซึ่งมีทีมถึงประมาณ 5 ทีมเลยทีเดียว สำหรับผมผมรู้สึกว่านี่คงจะเป็นสัญญาณในการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างเพียงแต่ว่าผมไม่อยากที่จะพูดอะไร เพราะกลัวอย่างหนึ่งว่าสิ่งที่ผมคิดจะไม่ได้เป็นอย่างที่เป็นน่ะแหละ
และในวันรุ่งขึ้นข่าวดีสำหรับทีมเราก็เกิดขึ้น พี่มาโนชขึ้นมาบอกให้ผมฟังว่า คุณเจี๊ยบสนใจจะตั้งทีมบอลในนามสาขาเราว่ะ
จากคุณ :
มนุษย์หิน
- [
6 พ.ย. 47 12:27:33
A:203.107.168.150 X:
]