หลังจากโปรยข่าวว่าอยากได้คอนโดดีๆ ซักแห่ง
ขอแค่ราคาอย่าแพงนัก ที่ตั้งอย่าไกลไป
สำคัญที่สุดต้องปลอดภัย
แม้คนถูกบอกจะทำหน้าว่า...อย่างแก ใครเค้าจะเอาไปทำอะไร
แต่ฉันก็ยังย้ำให้มั่นใจว่าขอที่ที่ปลอดภัยจริงๆ
ไม่ช้า ไม่นาน ใครบางคนที่หายไปนานก็ติดต่อมา
เพื่อนเก่าคนคุ้นเคยที่ครั้งหนึ่งเคยหยอกล้อเคยต่อเถียง
พอถามว่า ไหนลองบอกซิ
ว่านอกจากคอนโดของนายเข้าซอยไปไม่ไกล
และเพิ่งสร้างได้ไม่ถึงปี มีกล้องนิรภัยตรงระเบียง
นอกเหนือจากเรื่องพวกนี้ มีเหตุผลอะไรอีกที่ฉันควรจะไปดู
อีกฝ่ายโฆษณาอย่างมั่นใจว่าเหตุผลนี้คงกล่อมฉันอยู่หมัด
จากระเบียงห้องนี้เห็นดวงจันทร์นะ
แล้วฉันก็ตกลงจะไป
กับเขา...ข่าวล่าสุดที่ได้ยินมา คือเขากำลังจะแต่งงาน
แต่ข่าวใหม่กว่าคือ เขาจะขึ้นไปทำงานทางเหนือ
และงานแต่งงานที่ว่าก็ถูกเลื่อน...เลื่อนอย่างไม่มีกำหนด
เพราะทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวไม่คิดว่าควรจะกำหนด
ฉันไม่สนิทกับคนที่เกือบจะได้เป็นเจ้าสาวของเขานัก
แต่ด้วยความที่เขาคบกับเธอมานาน
จะบอกว่าไม่รู้จักเลย...ก็ไม่ได้
เคยส่งยิ้มให้เธอยามเจอกันโดยบังเอิญ
เคยถามไถ่ ว่าสบายดีไหม สุขใจหรือเปล่า ยามสังสรรค์
บอกว่าไม่รู้จักกัน...คงไม่ได้
เธอแสนดี
เขาก็น่ารัก
จะบอกว่าไม่สมกัน...ก็คงไม่ได้
เย็นนั้น เขารอฉันตามที่นัด
ห้องพักเป็นอย่างที่ฉันฝัน
ไม่เก่าเกินไป ไม่ใหม่เท่าหวัง
ไม่ใหญ่จนรู้สึกอ้างว้าง ไม่เล็กจนอึดอัด
ข้าวของในห้องมีไม่มากนัก
ประสาห้องชายโสดที่มีห้องเอาไว้ใช้ซุกหัวนอนจริงๆ
"มีอะไรที่ฉันควรจะรู้มั้ย
แบบว่าเคยมีคนตาย
หรือดึกๆ มีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยี่ยมบ้างหรือเปล่า"
ปากฉันถาม แต่ใจฉันวาดฝันกับกำแพงโล่งๆ
ตรงนี้ฉันจะให้ช่างมาทำชั้นหนังสือเต็มกำแพง
เขาหัวเราะ
"นายจะไปที่โน้นเมื่อไหร่" ฉันถามอีก
ครั้งนี้ไม่มีเสียงหัวเราะ
เขาตอบฉันด้วยประโยคคำถาม
ไม่รู้เหรอ ตกลงเขาไม่เปลี่ยนงานแล้วนะ เขาบอกด้วยยิ้มแห้งๆ
ค่าที่ใจเร็วเกินสมอง
"อ้าว งั้นนายก็ไม่เลิกกับแฟนแล้วสิ"
ฉันสวนทันที
นี่ล่ะจุดอ่อนอย่างหนึ่งของฉัน
ที่คิดเสมอว่าชีวิตเป็นตรรกะง่ายๆ ที่ไร้ความซับซ้อน
ถ้าคนสองคนถูกใจกัน
ในเวลาเดียวกัน ไม่ก็ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันมากๆ
ก็เลยรักกัน คบกัน...ไม่ใช่เหรอ
แล้วถ้าคนรักกันสองคนต้องตัดสินใจให้อิสระกัน
เพราะกลัวเงื่อนไขของระยะทาง
ในเมื่อเงื่อนไขนั้นหายไป...
เขาก็ควรจะรักกันเหมือนเดิม ไม่ใช่เหรอ
แต่จากการที่เขาหลบสายตาฉันไป
ฉันก็รู้ทันทีว่า...มันไม่ได้มีอะไรแค่นั้น
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอยากจะเห็นว่าห้องห้องนี้จะเห็นดวงจันทร์ตามคำสัญญาของเจ้าของห้องหรือเปล่า
หรือถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้
ก็คงเป็นเพราะบางอย่างในแววตาคู่นั้นที่จะว่าเศร้าก็ไม่ใช่ โล่งใจก็ไม่เชิง
ตอนเขาหันมาตอบฉันว่า...เปล่า เรื่องนั้นยังเหมือนเดิม
ก่อนจะสำทับด้วยรอยยิ้มอายๆ บอกฉันว่า
อย่าทำหน้าอย่างนี้สิ...มันเป็นการจากลากันด้วยดี
เรานั่งคุยกันที่ระเบียง
เพื่อหาว่าเรื่องของเขากับเธอมันผิดตรงไหน
เขาถามฉันว่า ฉันจำความรู้สึกตอนตัดสินใจจะเดินจับมือกับคนที่ชอบเป็นครั้งแรกได้มั้ย
ฉันพยักหน้า
แล้วเขาก็ถามอีกว่า
แล้วจำความรู้สึกตอนที่พอมันนานๆ เข้า
การจับมือนั้นกลายเป็นภาระ
แล้วเราอยากจะปล่อยมือเค้าแล้ว แต่ไม่กล้า
เพราะกลัวเค้าจะโกรธได้มั้ย
ฉันก็พยักหน้าอีก
แม้จะไม่แน่ใจนักว่าเคยคิดอยากปล่อยมือคนที่รักมั้ยก็เหอะ
แต่ฉันก็พยักหน้า
เขาบอกว่าเขากับผู้หญิงคนนั้นมันเป็นอย่างนั้นมาพักใหญ่แล้ว
พวกเขาต่างจับมือกัน เพราะจับมือกันมานานเกินไป
หากจะปล่อยก็กลัวอีกฝ่ายจะโกรธ
จนมาเจออะไรที่ทำให้ยังไงก็ต้องปล่อยมือ...ในที่สุด
และพอได้ปล่อยแล้ว
ถึงได้รู้ว่า...น่าจะทำอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว
เราจับมือกันไว้ เพราะกลัวความโดดเดี่ยวยามไม่มีใครคอยกุม
แต่พอปล่อยแล้ว ก็รู้ว่า...เราไปต่อตามลำพังได้
ข้างหน้าที่ไม่มี 'เขา' ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
"ในตอนนั้น เราไม่คิดจะขอให้เค้าเสียสละทุกอย่างที่เขามีในวันนี้
เพื่อติดตามเราไปสร้างอนาคตในวันข้างหน้า
ที่น่าเจ็บใจกว่าก็คือ เค้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน
เค้าไม่คิดว่าเค้าพร้อมจะทิ้งทุกอย่างตรงนี้เพื่อเราได้"
แล้วพวกเขาก็คิดได้ว่า
พวกเขาทู่ซี้อยู่ด้วยกัน
เพราะความเคยชิน
เพราะความหวาดกลัวที่จะต้องอยู่คนเดียว
แต่มันไม่เป็นไรนี่นะ...
ก่อนจะมีเขา...เราก็เคยอยู่คนเดียวมาได้
"อ้าว งั้นนายจะขายคอนโดนี้ให้ฉันทำไมล่ะ"
ฉันถามด้วยความแปลกใจ
แถมหวงด้วย เพราะฉันตั้งใจจะโทรตามช่างทันทีที่กลับ
ฉันจะเอาห้องห้องนี้...เขาจะมาเปลี่ยนใจตอนนี้ไม่ได้นะ
เขาไม่ตอบอะไร แต่กลับชี้ให้ดูจันทร์บนฟ้า
เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าฟากนี้เห็นดวงจันทร์ เขาบอก
ดวงจันทร์กลมโต สวยจริงๆ นั่นแหละ
แต่อยากบอกเหลือเกินว่าฉันไม่สนใจหรอกว่าจะเห็นดวงจันทร์หรือเปล่า
เพราะถามฉันตอนนี้ว่าห้องที่อยู่ทุกวันนี้ เห็นดวงจันทร์มั้ย ฉันก็ยังตอบไม่ได้
ฉันอยากรู้สาเหตุที่นายจะขายห้องนี้ทิ้งมากกว่า
หวังว่าคงไม่ใช่เพราะน้ำไม่ไหล ไฟดับบ่อย หรือลิฟต์ไม่เดิน
และหวังอย่างยิ่งว่าคงไม่ใช่เพราะมีตัวอะไรชอบโผล่มายามวิกาลบ่อยๆ
ดีนะ...ที่ไม่ปากไวเหมือนทุกที
เพราะคำตอบที่ได้ชัดเจนในตัวมันเอง
"ตอนจะซื้อ เค้าบอกให้เอาห้องฝั่งนี้ เพราะเห็นดวงจันทร์สวยกว่า
ทั้งที่ฟากโน้นมองไปเห็นสวนสาธารณะ..."
เขาพูดแค่นั้น
เราลากันแค่นั้น
ลงมานั่งรอคนที่สัญญาว่าจะมารับ
ฉันนั่งดูคู่รักที่เดินผ่านไป
พยายามเดาเรื่องราวของพวกเขาจากวิธีการเดิน วิธีการจับมือ
หญิงสาวที่จับมือคนรักอย่างแน่นหนา...เป็นเพราะกลัวเขาจะทิ้งเธอไว้หรือเปล่า
ชายหนุ่มที่กุมมือหญิงคนรักไว้แน่น...เป็นเพราะเขาเป็นฝ่ายตกหลุมรักเธอก่อนใช่มั้ย
แล้วคู่นั้นล่ะ คู่ที่เกาะเกี่ยวกันแค่ปลายนิ้วก้อย
เป็นเพราะรักกันมานาน จนความรักชักเบาบางจนห่างเหิน
หรือเป็นเพราะเพิ่งคบกันใหม่เลยยังขัดเขิน เอียงอาย
จะเพราะด้วยเหตุใด...นั่นก็สุดแท้แต่จะเดา
ฉันคิดถึงเพื่อนที่เพิ่งเจอ ฉันคิดถึงดวงจันทร์ และฉันก็คิดถึงเจ้าชายน้อย
ฉันคิดถึงสุนัขจิ้งจอกที่สอนเจ้าชายน้อยให้ทำให้มันเชื่อง
ฉันคิดถึงสุนัขจิ้งจอกที่ว่า ทันทีที่มันเชื่องแล้ว ทุ่งข้าวสาลีจะทำให้มันเจ็บปวดเพราะคิดถึงเขา
วันนี้ ฉันได้พบผู้ชายคนหนึ่งที่พบว่า
เขาถูกฝึกให้เชื่อง...ไม่ใช่รัก
ดวงจันทร์ก็ทำให้เขาเจ็บปวด
จนต้องหนีไปให้พ้นๆ
แล้วคนที่รอก็มา...มาพร้อมรอยยิ้มกว้างที่ฉันรัก
เขายื่นมือมาให้ ฉันมองมือนั้น คิ้วขมวดมุ่นด้วยความสงสัย
เขาพยายามจะทำให้ฉันเชื่องอยู่หรือเปล่าหนอ
ฉันไม่อยากเชื่องนี่
ฉันอยากรัก...
ฉันไม่อยากจะรู้สึกว่าต้องการเขา
เพราะการมีเขา ดีกว่าไม่มีใคร
"ทำไมต้องจูงมือฉันด้วย ฉันเดินเองได้น่า ไม่หลงหรอก"
ฉันตอบกึ่งท้าทาย
ฉันเดินเองได้นี่...จริงมั้ย
เดินได้มาตั้งนานแล้ว
เขาเลิกคิ้วสูงใส่ ตอบว่า
รู้น่าว่าเดินเองเป็น
แต่ก็เดินด้วยตัวเองมาทั้งวันแล้ว
จะกุมมือกันหน่อยจะเป็นอะไร
ใช่ ฉันเดินตามลำพังมานานแล้ว
ได้เพื่อนร่วมทางที่เต็มใจอย่างนี้...ใจจะกลัวอะไร
ใช่ว่าตัวเองจะไม่อยากจับมือเขาซะเมื่อไหร่
เดินคนเดียวก็อิสระดี
แต่มีคนดีๆ เดินข้างๆ อย่างนี้...ดีกว่า
เป็นเพราะรัก หรือเพราะถูกฝึกให้เชื่อง...ไม่รู้
รู้แต่ว่า...ไม่เป็นไร
ตอนนี้มีเขา...โลกก็สวยดี ฉันเองก็สุขใจ
เอาวะ ในเมื่อเขาอยากทำให้เชื่อง จะยอมทำตามก็ได้
ถ้ารางวัลที่ได้เป็น "รัก"
:)
จากคุณ :
นารูมิ
- [
8 พ.ย. 47 09:52:28
]