ตอนที่ 1 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3117976/W3117976.html
เรื่องการ์ตูน ก็เป็นอีกเรื่อง ที่แม่ผมชอบว่าอยู่จนทุกวันนี้ เพราะว่าผมยังอ่านอยู่เลย เพียงแต่ไม่มากเหมือนก่อน จำได้ว่าการ์ตูนเรื่องแรกที่อ่านคือโดราเอมอน ตอนนั้นเล่มละ 10 บาท มีหลายสำนักพิมพ์ แล้วก็พวกนินจาฮาโตริ ปาร์แมน เรื่องที่ชอบมากคือตำรวจกาลเวลา เป็นเรื่องของเด็กหนุ่มคนนึง ได้รับอันตรายถึงชีวิต แต่มีคนมาช่วย โดยคนๆ นั้นมาจากอนาคต บอกว่าตัวเจ้าหนุ่มคนนี้เป็นคนสำคัญของโลก รู้สึกว่าจะไปช่วยใครซักคน แล้วใครซักคนที่ว่า ก็ไปช่วยใครซักคน แล้วก็ช่วยกันเป็นทอดๆ ประมาณสองถึงสามทอด จนสุดท้าย เป็นนายแพทย์ที่มีบทบาทสำคัญกับโลก แต่ผมก็จำไม่ได้ว่าเป็นอะไร นานมากแล้ว และก็ไม่ได้พิมพ์ใหม่ออกมาเลย
อีกเรื่องนึงที่ตอนนี้ยังไม่จบ แต่ผมก็เลิกอ่านแล้ว คือเรื่องคำสาบฟาโรห์ ตอนนั้นจำได้ว่าซื้อทีเดียวยกชุด 19 เล่ม แต่ไม่จบ ปัจจุบันนี้ ก็ยังไม่จบ ไม่รู้ว่าจะยืดยาวไปอีกกี่ตอน ตอนนี้ไม่ได้อ่านแล้ว ครับ รู้สึกว่ามันย่ำอยู่กับที่ ไม่มีอะไรใหม่ๆ น่ะ
ตอนม. 1 ผมได้รู้จักวิชาที่ชอบมากอีกเหมือนกัน คือภาษาอังกฤษ ความจริงก็เรียนมาตั้งแต่ตอน ป.5 แล้ว แต่ก็ไม่ได้ชอบอะไรมากมาย เรียกว่าเฉยๆ ได้มากกว่า พอมาตอน ม.1 มีอาจารย์ท่านสอนดี เข้าใจพวกแกรมม่าร์ ประกอบกับเริ่มพังเพลงน่ะ เป็นเพลงฝรั่ง ชื่อว่าอาลีบาบา ของใครก็ไม่รู้ จนบัดนี้ก็ไม่รู้ว่าใครร้อง และเห็นพ่ออ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ รู้สึกว่ามันเท่ห์ -_-
แล้วพ่อก็ฟังวิทยุ VOA (The Voice of America) ทุกๆ เช้า ช่วงประมาณ 7.45 น. ก่อนผมไปเรียนตอน 8 โมงเช้า มันเป็นช่วง Special English เป็นรายงานข่าว แต่ว่าจะช้า แต่ก็ฟังไม่ออกอยู่ดีอ่ะนะครับ แต่ก็จะคุ้นกับสำเนียงภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน
เพื่อนผม ตอนนี้เป็นตำรวจอยู่ มันเรียนเก่งมาก ประเภทที่หนึ่งของห้อง ให้ผมฟังชุด Rainbow English เป็นการฝึกภาษาอังกฤษสำเนียงอังกฤษ โดย BBC เป็นชุดที่มีประโยชน์มากจริงๆ ศัพท์ แกรมม่าร์ อยู่ในหัวผมตั้งแต่บัดนั้น จนบัดนี้ เลยกลายเป็นคนชอบภาษาอังกฤษไปเลย เรียนกับชุดนี้อยู่ 2 ปีกว่า เรียนเอง ไม่มีใครบังคับ เป็นความชอบส่วนตัว ผลพลอยได้คือผมไม่เคยกลัวที่จะต้องพูดกับคนต่างชาติ ตอนนั้นก็งูๆ ปลาๆ นึกถึงตอนเรียนมหาวิทยาลัย ที่เชียงใหม่ฝรั่งเยอะ เรียนภาษาตอนปีหนึ่ง ต้องมีสัมภาษณ์ ผมก็พูดผิดพูดถูก แต่สนุกดี ตอนฝึก ฝึกสำเนียงอังกฤษ แต่ตอนนี้พูดภาษาอังกฤษสำเนียงไทยน่ะครับ -_-
ถึงประมาณ ม.3 ได้อ่านหนังสือที่ชอบมากเหมือนกัน คือหนังสือประวัติศาสตร์ ตอนนั้นไม่ค่อยสนใจประวัติศาสตร์ไทยเท่าไหร่ จะชอบประวัติศาสตร์โลกมากกว่า โดยเฉพาะประวัติศาสตร์พวกอียิปต์ สงสัยอิทธิพลของคำสาบฟาโรห์
ตอนม. 3 ขึ้น ม.4 ผมก็ได้คัดให้เรียนต่อ ม.4 เลยไม่ต้องไปดิ้นรนสอบที่ไหน เพื่อนๆ เค้าไปต่อปวช กันมั่ง (ผมไม่รู้จักเลย มันคืออะไร บางคนก็มาสอบเรียนต่อโรงเรียนเตรียมอุดม ผมก็ไม่รู้จักอีก ว่าไอ้โรงเรียนนี้น่ะ มันดียังไง บางคนก็ไปเรียนต่อยุพราช ที่เชียงใหม่ ผมไม่รู้จักซักที่นึง มารู้ว่าบางคนไปเรียนต่อที่อื่น คือเปิดเทอม แล้วเพื่อนๆ บางคนหายไปน่ะ
ตอนประมาณปิดเทอมตอน ม.3 ผมก็ได้ไปเข้าค่ายที่เขาใหญ่ จำได้ว่ามีเดินป่า รู้จักตัวทาก ด้วย รู้จักเพื่อนๆ ต่างจังหวัดกัน จำได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่สนุกมาก เลยติดใจ ม.4 ก็ไปเข้าค่ายเยาวชน ของ สยช จัดที่มศว บางแสน (ชื่อในตอนนั้น) ตอนม.5 ก็ไปเข้าค่ายวิทย์ ที่เชียงใหม่ ที่จัดโดยคณะวิทยาศาสตร์ แบบว่าติดใจ อิอิ
ตอนม.3 ก็มีความฝัน อิอิ ตอนนี้ฝันนั้นก็ยังไม่เป็นจริง ฝันว่าอยากไปเที่ยวยุโรปแบบ back pack เพราะว่าอ่านสกุลไทย เค้ามีแนะนำให้ซื้อตั๋วยูเรลพาสต์ ไปได้ทั่วยุโรป แต่ตังค์ไม่มี ตอนนี้ก็ยังไม่มีตังค์อยู่ดี ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ฝันจะเป็นจริง TT
ตอน ม.4 ก็มีเรื่องน่าเบื่ออีกเรื่องนึง คือตอนม. ต้น จะเป็นการเรียนลูกเสือ ตอนม. ปลาย จะเป็นการเรียน รด. ผมไม่อยากเป็นทหาร ไม่เคยมีอยู่ในความคิดเลย ตอนปิดเทอมม.4 เพื่อนผมครึ่งห้องได้มั้ง ไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารกัน ไปกันยี่สิบกว่าคน ติดเข้าไปเรียนได้คนเดียว ตอนม.5 ก็มีสอบติดไปอีก 4 5 คน ตอนม.6 ก็มีอีก 2 3 คน
แต่ก็นะ ถึงแม้จะไม่ชอบเป็นทหารแค่ไหน แต่ผมก็ไปเรียน รด. ทุกครั้งไม่เคยขาดเลย ตลอด 3 ปี เค้าให้ขาดได้ 4 ครั้ง ไปถึงก็ไม่มีอะไรมาก จะเป็นการฝึกพวกระเบียบแถว วิดพื้น วิ่ง เป็นส่วนใหญ่ มีเข้าชั้นเรียน ผมก็นั่งด้านหลัง แล้วก็หลับ ที่ต้องไปทุกวัน ก็เพราะว่าผมเอารถมอเตอร์ไซด์ไป ขี่ไปประมาณ 10 นาทีก็ถึง ผมมีเพื่อนนั่งซ้อนไปด้วยนะ
มันก็เป็นการเรียนที่ไม่ค่อยหนัก นศ วิชาทหารปีหนึ่งกับปีสอง มีฝึกหนักๆ สองวันเต็ม จะเป็นการใช้สีพรางหน้า คือเอาสีดำ ทาให้เต็มหน้า เป็นการพรางตัวในเวลากลางคืน แต่ครูฝึกให้ทาตอนกลางวัน กลับมาโฟมล้างหน้าเอาไม่ออก ผมเลยใช้ผงซักฟอก ล้าง ตามด้วยโฟมล้างหน้า ผมก็มีสิวขึ้นด้วย เพราะให้สีนั่นแหล่ะ
เป็นนักศึกษาวิชาทหารตอนปี 3 ก็เหมือนเดิม ได้รู้จัก ผกค ไม่รู้ตอนนี้จะปรับปรุงหลักสูตรหรือยัง เพราะ ผกค สาบสูญไปกว่า 20 ปีแล้ว ได้รู้จักปืน รถถัง รุ่นต่างๆ ผมก็ฟังหูซ้าย ทะลุหูขวา ได้สนใจอะไรเลย ถ้าถูกเกณฑ์ไปรบ สงสัยเป็นได้แค่พวกที่รับลูกระสุนแทนน่ะ
แต่มีอย่างนึง คือการฝึกภาคสนาน ผมไปฝึกที่โรงเรียนป่าไม้ จังหวัดแพร่ เป็นเวลา หนึ่งสัปดาห์ ฝึกบุคคลทำการรบ ในเวลากลางวัน และเวลากลางคืน เรื่องของเรื่องก็คือได้อาบน้ำเฉพาะวันไป แล้วก็วันกลับ เท่านั้นเอง อีก 5 วันที่เหลือก็ซักแห้งเอา แต่ผมก็แอบมาอาบตอนกลางคืน ตอนที่เค้าปล่อยให้พักแล้ว อากาศก็ค่อนข้างเย็น เพราะเป็นป่า ประมาณ เดือนกุมภาพันธ์ ที่จำได้ เพราะว่าวันกลับ เป็นวันประกาศผลสอบโควต้า เข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่พอดี ผมก็ไปสอบกะเค้าด้วยครับ เดี๋ยวค่อยบอก ว่าสอบติดอะไร อิอิ
การเรียนตอนม. ปลาย ผมก็ยังคงเรียนพิเศษวิชาเลข เหมือนเดิม กับอาจารย์ท่านเดิม เนื่องจากชอบการสอน และก็เรียนฟิสิกส์ อีกวิชานึง เวลาเรียนรู้เรื่อง ก็ชอบอีก เรียนสองวิชานี้พอ วิชาที่ชอบมากอีกอย่างนึงคือชีววิทยา ที่ไม่ชอบเลยคือวิชาเคมี ทั้งๆ ที่พ่อผมเป็นอาจารย์สอนเคมีอยู่ที่ราชภัฏแท้ๆ ลูกไม้หล่นใกลต้น
การเรียนตอน ม.ปลาย มีเรื่องที่ต้องทำ คือการสอบเอนทรานซ์ แต่ของที่บ้านผม จะมีการสอบโควต้า เค้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก่อน ประมาณเดือนมกราคม ซึ่งต้องเป็นการเตรียมตัวล่วงหน้านานๆ ได้ข่าวว่าตอนนี้กำลังจะเปลี่ยนเป็นระบบแอดมิสชั่น ไม่รู้ว่าจะดีหรือแย่กว่าเดิมหรือเปล่า เลยวัยมานานแล้วอ่ะ
ตอนปิดเทอม ม.4 ผมได้ไปเข้าค่ายที่ มศว บางแสน เป็นค่ายผู้นำเยาวชนของ สยช ได้เจอเพื่อน จากทั่วประเทศ น่าเสียดาย ช่วงนั้นมันไม่มีอินเตอร์เน็ท เลยไม่ได้ติดต่อกันเท่าไหร่ ปัจจุบันไม่ได้ติดต่อใครเลย ช่วงแรกๆ ก็มีเขียนจดหมายติดต่อกันบ้าง ถ้าเป็นปัจจุบันคงแลกเปลี่ยนอีเมล์ แล้วค่อย เอ็มเอสเอ็นคุยกันนะ
ตอน ม.5 กับ ม.6 ก็เรื่อยๆ ผมก็อ่านนิยาย การ์ตูน หนังสือเรียนบ้าง สลับกันไป เรื่องที่ต้องบันทึกไว้ คือตอนขณะนั้น ผมค่อนข้างจะเก่งภาษาอังกฤษ อยากไปเมืองนอก ก็เลยไปสอบ เอเอฟเอส ได้ติดเข้าไปเป็น หนึ่งในสี่ ของผู้ที่ได้สัมภาษณ์ แล้วก็ได้เป็นที่หนึ่ง ที่ส่งมาที่เอเอฟเอสที่กรุงเทพฯ แต่ไม่ได้ไป เนื่องจากในตอนนั้น จะต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนสี่พันดอลล่าห์ ตอนนั้นก็ราวหนึ่งแสนบาท ครอบครัวผมตอนนั้นไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น ก็เลยต้องสละสิทธ์ไป เสียดายและเสียใจเหมือนกัน ว่าทำไมเราต้องจ่ายเงิน รุ่นก่อนๆ ที่ได้ไป ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย แต่ก็เอาเถอะ ซักวันก็คงได้ไป ความฝันของผมอย่างนึง คือไปเป็นนักเรียนนอก แต่ความขนขวายไม่เพียงพอ ปัจจุบันได้เรียนอยู่ในขั้นสูงสุด ก็ยังเป็นการเรียนในประเทศอยู่ดี แต่ก็ได้ไปทำวิจัยในสหรัฐตั้ง 3 เดือนแน่ะ ที่มีเรื่องส่งลงในถนนฯ กับที่เจเจ น่ะครับ อย่าเข้าใจผิดว่าไปเที่ยวอย่างเดียว นั่นเป็นผลพลอยได้เฉยๆ
ตอน ปิดเทอม ตอน ม.5 โรงเรียนส่งผมไปเข้าค่ายวิทยาศาสตร์ที่เชียงใหม่ อย่าคิดว่าผมเก่ง หรืออะไรนะครับ คือมันไม่มีคนสมัคร มีผมสมัครอยู่คนเดียว เค้ารับ 2 คน มีคนสมัครคนเดียว จะไม่ได้ได้ไงล่ะครับ ตอน ม.4 ที่ไปที่บางแสนก็เหมือนกัน รับ 5 คน สมัคร 4 คน ได้ชัวร์ๆ อิอิ
เดือน มค ปี 2534 ผมเรียนอยู่ชั้น ม.6 ผมก็ได้สมัครสอบโควต้า เข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตอนนั้นเค้าให้เลือกได้ 3 อันดับ ผมเลือกวิศวกรรมศาสตร์เป็นอันดับหนึ่ง คณะวิทยาศาสตร์เป็นอันดับสอง และเศรษฐศาสตร์ เป็นอันดับสาม ใครทายถูกบ้างครับ ว่าผมสอบติดอะไร
ผมสอบติดได้เข้าเป็นนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะที่มีหนุ่มหล่อมากที่สุดในมอ (ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นล่ะ อิอิ)
ตอนต่อไปคงเป็นชีวิตในมหาวิทยาลัยนะครับ
ปล. บางคนอาจหมั่นไส้ผมน่ะ เพราะดูแล้ว ผมเป็นในสิ่งที่ผู้ใหญ่อยากให้เป็นน่ะ เรียกว่าเป็นเด็กดี ของพ่อกับแม่ เอาไว้ให้พ่อกับแม่คุยว่า ลูกชั้นเป็นงั้น ลูกชั้นเป็นงี้ แต่จริงๆ ผมไม่รู้หรอกว่า ผมน่ะ อยากเป็นอะไร หรืออยากทำตัวแบบใหน จะว่าไป จนบัดนี้ ก็ยังไม่รู้เลยนะเนี้ยะว่า อยากประกอบอาชีพอะไร ใครที่ได้อ่าน อยากให้ค้นหาตัวเองให้เจอเร็วๆ อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไปน่ะครับ แล้วได้การที่สอบเค้าคณะวิศวะ ความจริงแล้วเลือกตามเพื่อน ผมอยากเรียนเศรษฐศาสตร์ ผมชอบมากที่สุด ปัจจุบันนี้ อ่านแต่พวกนี้ทั้งนั้น เพราะว่าชอบมาก หนังสือเรียน จะอ่านก็ต่อเมื่อต้องใช้เท่านั้นเอง ที่ไม่เลือกเศรษฐศาสตร์เพราะว่าพ่อกับแม่จะเสียใจ แม่ผมก็ร้องไห้เลย เมื่อรู้ว่าผมจะเลือกเศรษฐศาสตร์ พ่อผมก็ว่าต่างๆ นาๆ มันไม่ดีตรงไหนเนี้ยะ จนบัดนี้ผมก็ไม่ได้คำตอบ ว่าเศรษฐศาสตร์ ไม่ดีอย่างไร เค้าอยากให้เรียนหมอกัน แต่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่
อ่านแล้ว โปรดลงชื่อเป็นกำลังใจด้วยครับผม _/\_
จากคุณ :
กริชครับผม
- [
17 พ.ย. 47 16:56:45
]