ห่างออกไปสามลี้ด้านทิศตะวันตกของค่ายบู๊ตึ๊ง
ศิษย์บู๊ตึ๊งจำนวนสี่คน นำหน้ากลุ่มคนหลายสิบคนซึ่งแต่งกายเยี่ยงชาวบ้าน คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นอิสตรี ทว่าก็มีที่เป็นบุรุษรวมอยู่ด้วยจำนวนสองคน โดยคนทั้งสองอยู่ในสภาพที่อ่อนเปลี้ย ต้องให้ผู้คนคอยประคับประคอง มิหนำซ้ำตามเนื้อตัวยังมีบาดแผลใหญ่น้อยจำนวนหลายแห่ง คราบเลือดเกรอะกรัง ดูทีคงบาดเจ็บมิใช่เล็กน้อย ทั้งหมดเดินทางด้วยความรีบเร่ง สีหน้าปรากฎเค้าความกังวลจนเห็นได้ชัด ที่สำคัญพวกมันเลือกเส้นทางที่ทุรกันดารเป็นพิเศษ เสมือนจงใจหลีกเลี่ยงกับการพบปะกับผู้คน
ทว่าพวกมันแม้นรีบเร่ง ยังสามารถรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยแยกเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละประมาณสิบคน แต่ละกลุ่มนำหน้าด้วยคนผู้หนึ่ง กลุ่มแรกนำอยู่ด้วยหญิงชราวัยกลางคนซึ่งก็คือศิษย์น้องของแม่ชีกล้วยไม้ขาว แม่ชีกล้วยไม้หยกเอง!
ส่วนกลุ่มที่สองนำหน้าด้วยเด็กสาวหน้ากลมป้อม ใบหน้าสดใสสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบ ราวกับเด็กสาวทั่วๆ ไปในชนบท ซึ่งมีนามว่า "หยงหยง" มีฐานะเป็นศิษย์ผู้น้องของเหวินเหม่ยชิง
ส่วนอีกสามกลุ่มที่เหลือผู้นำขบวนก็ศิษย์พี่ศิษย์น้องของ "หยงหยง" ได้แก่ อาซิม อาเห็ง และเสี่ยวเงี้ยว ตามลำดับ
การเดินทางเป็นไปอย่างทุลักทุเลไม่น้อย เนื่องจากเส้นทางที่รกชัฏ และยังมีคนเจ็บมาด้วยอีกสองคน อีกอย่างคือทั้งหมดต้องพยายามไม่หักร้างถางพงจนปรากฎร่องรอยให้ฝ่ายศัตรูติดตามมาพบได้อีกด้วย!
ทว่าโดยที่ทั้งหมดมิรู้สึกตัว ได้มีกลุ่มคนในชุดเขียวซุ่มดูพวกมันอยู่บนคาคบไม้ใหญ่ และพุ่มไม้อันหนาทึบโดยรอบ การแต่งกายด้วยชุดสีเขียวเช่นนี้แน่นอนว่าจะเป็นพวกใดไปมิได้ พวกมันเป็นคนของฉิกจับอิด!!!
ชุดสีเขียวของมันกลับเหมาะสมอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่เป็นป่าทึบเช่นนี้ และยิ่งเหมาะสมที่สุดเมื่อใช้ในการสะกดรอยฝ่ายตรงข้าม!!!
เนื่องเพราะสีของชุดพวกมันกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม จนแทบมิสามารถจำแนกแยกออกได้เลย!!!
........
..........................
ห่างออกไปประมาณครึ่งลี้ บนเนินเขาเตี้ยๆ แห่งหนึ่ง กลุ่มคนนับร้อยคน แบ่งออกเป็นสี่หมวดหมู่ กำลังจัดเตรียมค่ายพัก และหุงหาอาหาร พวกมันแม้มีจำนวนนับร้อย ทว่าเคลื่อนไหวโดยเงียบเชียบ ส่วนเนินเขาดังกล่าวพื้นที่ตรงกลางเป็นลานกว้าง โดยรอบสุมซ้อนไปด้วยต้นไม้ทั้งน้อยใหญ่จนหนาแน่น หากมิสังเกตจนถี่ถ้วน จะมิมีทางรู้ว่าด้านในเป็นพื้นที่โล่งกว้างแห่งหนึ่ง
นับว่าเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมแก่การซุกซ่อนกองกำลัง มีประโยชน์ในการจู่โจมเข้าใส่ศัตรูโดยมิทันพบเห็นเป็นอย่างมาก
และคนเหล่านี้คือ...พวกหัวซานเอง!!!!
เหลียงหย่งรองเจ้าสำนักหัวซาน เวลานี้ยืนเคียงคู่กับหลิวหยงเคอเจ้าสำนัก
"ศิษย์พี่ พวกเราฉวยโอกาสนี้ตะลุยไปให้ถึงตัวสำนักฉิกจับอิดเลยดีหรือไม่?"
หลิวหยงเคอยิ้มแล้ว
"อาหย่ง เจ้าต้องการให้พวกเราออกไปเสี่ยงชีวิตกับคนของฉิกจับอิดหรือ? คนระดับหลี่เฉินเชียงจะทิ้งสำนักว่างเปล่าเอาไว้หรือ? และต่อให้พวกเรายึดได้จะเป็นเช่นไร? ตัวสำนักว่างเปล่ามีประโยชน์อันใดกับพวกเรา อย่าว่าแต่พวกเรามีกำลังเพียงเท่านี้"
"ถ้าเช่นนั้นสมควรทำเช่นไร?" เหลียงหย่งยังคงถามต่อ
หลิวหยงเคอยิ้มเล็กน้อยกล่าวเพียงคำเดียว
"รอ!!!"
หลิวหยงเคอที่ยกกำลังมาไกลถึงที่นี้ เพียงเพื่อรอเท่านั้นหรือ? แล้วมันรอสิ่งใด? มันใช่กระทำตนเป็นสุนัขป่า รอคอยราชสีห์เฒ่า และกระทิงหนุ่ม ต่อสู้กันจนบาดเจ็บล้มตาย ค่อยฉกฉวยหรือไม่?
ปัญหาเหล่านี้ย่อมมิมีผู้ใดทราบ ถ้าจะมีก็คงเพียงสวรรค์กับตัวมันเองเท่านั้น!
.........
.........................
กองกำลังคุนหลุน เส้าหลินเทียนซาน นำโดยหัวหลินไต้ซือ เหวินเหม่ยชิง หวงอี้เฟย และฮุ่ยหลินไต้ซือพากันล่าถอยไปสมทบกับกองกำลังหันซานจำนวนห้าสิบคนที่เหวินเหม่ยชิงปล่อยให้รอคอยอยู่ระหว่างทาง เนื่องเพราะทั้งสองจำต้องเดินทางล่วงหน้าไปก่อนเพื่อความรวดเร็ว และคล่องตัว ซึ่งก็นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะทั้งสองไปได้ทันท่วงที แม้ว่าในที่สุดจะต้องประมือกับหลี่เฉินเชียง แต่ก็สามารถช่วยเหลือพวกคุนหลุนและเส้าหลินจำนวนหนึ่งกลับมาได้โดยปลอดภัย
ทั้งหมดตกลงใจมุ่งหน้าไปยังค่ายใหญ่ของบู๊ตึ้ง
"พวกเรามิควรรีรอชักช้า เร่งเดินทางเถิด!" หวงอี้เฟยกล่าวเร่งทุกผู้คน เวลานี้ตัวมันเดินนำหน้า ติดตามด้วยเหวินเหม่ยชิง ส่วนหัวหลินไต้ซือ และฮุ่ยหลินไต้ซือ พากันรั้งท้าย
"ฮุ่ยหลิน เจ้ารีบนำพาศิษย์พี่ศิษย์น้องเดินทาง มิต้องเป็นห่วงอาจารย์...อ๊อก!"
"พรวด!"
หลวงจีนชราพ่นของเหลวกระจายฟูฟ่องออกจากปากอย่างหนักหน่วง ประดุจเดียวกับน้ำพุร้อนที่พุ่งกระจายออกจากพื้นดิน เพียงแตกต่างที่ของเหลวเหล่านั้นมีสีแดง!!!
"เป็นโลหิตสดๆ"
"อาจารย์!!!!"
"ไต้ซือ!!!!"
หลวงจีนฮุ่ยหลินร่ำร้องออกมา ส่วนเหวินเหม่ยชิงได้ยินเสียงรีบหันกลับ และอดที่จะร่ำร้องอย่างตื่นตระหนกมิได้!
หลวงจีนชราทรุดนั่งลงกับพื้น ใบหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีดประดุจคนตาย เร่งเดินพลังยับยั้งอาการบาดเจ็บ
ในที่สุดหลวงจีนชราได้รับบาดเจ็บแล้ว จากการที่มันประมือกับยอดฝีมืออันดับหนึ่งเช่นหลี่เฉินเชียง
เหวินเหม่ยชิงปราดเข้าหาหลวงจีนชรา มือสองข้างร่ายรำเป็นกระบวนท่ารวดเร็วประดุจดาวตก ทั้งยังงดงามปานดอกไม้ผลิแย้ม ยังมิทันเคลื่อนที่ถึงร่างของอีกฝ่าย ฝ่ามือทั้งสองก็ระดมจี้สกัดเข้าใส่จุดสำคัญบนทรวงอกอย่างถี่ยิบ
พลังดรรชนีไร้สภาพ แหวกฝ่าอากาศทิ่มสกัดเข้าใส่ดังถี่ยิบ ใบหน้าของหลวงจีนชราค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากซีดขาว ปรากฎสีเลือดฝาดขึ้นตามลำดับ
เหวินเหม่ยชิงปราดอ้อมเข้าตบฟาดฝ่ามือเข้าใส่แผ่นหลังของหลวงจีนชรา จากนั้นเดินพลังภายในถ่ายทอดลมปราณช่วยเหลือฝ่ายตรงข้ามอีกแรงหนึ่ง
ชั่วครู่ให้หลัง หัวหลินไต้ซือค่อยระบายลมหายใจออกมา
"อมิตพุทธ เมื่อครู่อาตมาเสมือนได้เหยียบย่างไปยังขอบเหว หากมิใช่ประสกเหวินช่วยเหลือ ป่านนี้คงละทิ้งสังขารไปแล้ว"
"หามิได้ หากท่านมิต้องห่วงความปลอดภัยของพวกเรา คงไม่เร่งจู่โจมหลี่เฉินเชียงอย่างหักโหม และคงมิต้องรับบาดเจ็บบอบช้ำ" เหวินเหม่ยชิงรีบกล่าว
หวงอี้เฟยย้อนกลับมาเห็นสภาพของหลวงจีนชรา ต้องกล่าวว่า
"นึกมิถึง หลี่เฉินเชียงยังร้ายกาจกว่าที่เห็นอีก"
"อมิตพุทธ ชั่วชีวิตของอาตมายังมิเคยเห็นบุคคลที่เต็มไปด้วยความเข้มแข็งร้ายกาจถึงเพียงนี้ วิชาฝีมือของมันยิ่งล้ำลึกพิสดาร มิเพียงต้องอาศัยพลังความมุ่งมั่นอย่างยิ่งยวด ยังต้องอาศัยกิเลสเป็นตัวผลักดัน กลับแตกต่างจากหลักวิชากำลังภายในโดยทั่วไปอย่างสิ้นเชิง!!!"
เหวินเหม่ยชิงกล่าวด้วยความสงสัย
"ข้าพเจ้ามิเข้าใจ หากอาศัยกิเลสเป็นตัวผลักดัน ไยมิใช่ทำให้จิตใจสับสนพะวักพะวน สุดท้ายธาตุไฟเข้าแทรกหรอกหรือ?"
"ประสกเหวินกล่าวได้ถูกต้อง หลี่เฉินเชียงก็ถูกธาตุไฟเข้าแทรกแล้ว!!!" หลวงจีนชราตอบ
"อะไร!!!!" หวงอี้เฟยอุทานออกมา
"อมิตพุทธ มันมิเพียงถูกธาตุไฟเข้าแทรก ร่างกายของมันก็ถูกไฟธาตุเผาผลาญ เพียงแต่มันมีจิตที่มุ่งมั่น บวกกับวิชาที่แปลกประหลาดของมัน กลับสามารถอาศัยกิเลสเป็นตัวขับเคลื่อน สามารถดึงพลังจากธาตุไฟเสริมเข้ากับกิเลสอันมากมายมิมีสิ้นสุด แปรเปลี่ยนเป็นกำลังภายในแขนงใหม่ นอกจากมิเกิดอาการคลุ้มคลั่ง พลังฝีมือยังเปลี่ยนเป็นเข้มแข็งสุดหยั่งคาด น่าเสียดายๆ"
"ท่านไต้ซือ มีอันใดน่าเสียดาย? พลังฝีมือยิ่งเข้มแข็งมิใช่ยิ่งเป็นการดีหรอกหรือ?" หวงอี้เฟยรีบถาม
"อมิตพุทธ ประสกหวง เดิมทีพวกเราฝึกฝีมือนั้นเพื่อเหตุใด? ท่านลองตอบอาตมาที"
หวงอี้เฟยงงงัน มิทราบว่าคำถามนี้เกี่ยวอันใดกับเรื่องที่มันถาม ดังนั้นยามกระทันหันมิสามารถตอบได้
"เอาเถอะท่านเมื่อมิสามารถตอบ อาตมาจะตอบแทนท่านเอง อันกำลังฝีมือนั้นพวกเราฝึกเพื่อเสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแรง มีชีวิตยืนยาว น่าเสียดายต่อมาภายหลัง แต่ละคนเพียงมุ่งหวังเป็นผู้เก่งกล้าเกินกว่าผู้ใด ดังนั้นลืมเลือนจุดประสงค์ที่แท้จริงในการฝึกฝีมือไปจนสิ้น!!!" หยุดนิดหนึ่งค่อยกล่าวต่อ
"และผู้ที่ลืมเลือนสิ่งเหล่านี้มากที่สุดก็คงเป็นหลี่เฉินเชียงเอง!!! มันแม้เป็นยอดอัจฉริยะที่หายากยิ่งในแผ่นดิน สามารถบัญัติวิชาที่มิมีผู้ใดเคยฝึกสำเร็จ ถ้าจะกล่าวให้ถูกคือ มิเคยมีผู้ใดกล้าคาดคิดว่าจะทำได้จะถูกต้องกว่า ทว่าแนวทางการฝึกปรือของมันกลับเพียงมุ่งหวังเอาชัยไม่คำนึงถึงความสูญเสีย ขัดกับหลักการเบื้องต้นของผู้ฝึกยุทธเป็นอย่างมาก"
"นั่นคือ...พลังฝีมือที่มันฝึกฝนมิเพียงไม่เสริมสร้างร่างกาย และทำให้ชีวิตยืนยาว ในทางตรงข้ามกลับบั่นทอนอายุด้วยซ้ำ!!!
เหวินเหม่ยชิงที่นิ่งฟังอยู่นานพลันกล่าวโต้แย้ง
"ข้าพเจ้ากลับมิเห็นว่ามันมีความผิดปกติใดๆ ยังคิดว่ามันเข้มแข็งยิ่งกว่าบุคคลทั่วไปเสียอีก"
"อมิตพุทธ เรื่องราวนี้อาตมาเองก็มิสามารถเข้าใจ ทว่าเมื่อพื้นฐานมิถูกต้อง ลงท้ายต่อให้สามารถก้าวข้ามขึ้นสู่จุดสุดยอดของพลังฝีมือได้ แต่ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนมิใช่น้อยเป็นแน่!!!" หลวงจีนชรากล่าวเช่นนี้ย่อมหมายความว่า หลี่เฉินเชียงเมื่อฝึกวิชาผิดแนวทางสุดท้ายย่อมมิบังเกิดผลดี
"อาตมาค่อยทุเลาแล้ว พวกเราเดินทางต่อเถิด" หลวงจีนชราตัดบท ทิ้งให้ทั้งหมดรู้สึกหวั่นเกรงปนชื่นชมไปกับความสามารถของหลี่เฉินเชียงมิได้!
จากคุณ :
ทีมแต่งนิยาย
- [
18 พ.ย. 47 16:58:31
]